เรื่องสั้นโดย... ณฐพร ส่งสวัสดิ์ ผลงานลำดับที่ 6 ในคอลัมน์ "เล่นแร่แปรวัตถุดิบ"
คลิกเพื่ออ่าน.....บทนำ: เล่นแร่แปรวัตถุดิบ...รวมเรื่องชุดโดยนักเรียนเขียนเรื่อง 2018 ได้ที่นี่
ภายในป่าต้นไม้สูงชะลูด แสงสีส้มแดงเลือนรางของดวงจันทร์ส่องให้เห็นเงาร่างของชายหนุ่มที่กำลังวิ่งอย่างรวดเร็วฝ่าดงกิ่งไม้ที่ดูจะผลัดกันกระทบร่างกายเขาจนเลือดสีแดงซ่านกระเซ็น เสียงหอบหายใจของเขาดังสะท้อนไปทั่วป่า เสียงหัวใจเต้นโครม ๆ อยู่ในรูหู ทว่าขาทั้งสองของเขาไม่อาจหยุดเคลื่อนไหว
อันตรายถึงชีวิตกำลังไล่ตามเขามา
เสียงฝีเท้าของกลุ่มผู้ไล่ล่ากระชั้นเข้ามาทุกขณะแข่งกับเสียงใบไม้แห้งที่ดังกรอบแกรบในทุกย่างก้าว ชายหนุ่มรู้สึกมืดแปดด้าน เขากำลังวิ่งไปอย่างไม่รู้ทิศ มองไม่เห็นแม้กระทั่งหนทางเบื้องหน้า ดวงตาทั้งสองเริ่มพร่าเลือน ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาสวนทางกับสติที่ค่อย ๆ เลือนรางลงทุกที
นี่กูต้องมาตายที่นี่จริง ๆ เหรอวะเนี่ย
ชายหนุ่มหลุดอุทานลั่นเมื่อแสงจันทร์เผยให้เห็นเงาทะมึนลักษณะเหมือนหินก้อนใหญ่ตั้งขวางทางอยู่ห่างไปไม่ถึงเอื้อมมือ ยังไม่ทันที่จะได้เตรียมตัวเตรียมใจ ชายหนุ่มก็ชนเข้ากับเงานั้นอย่างจังจนล้มกลิ้ง
เขาพยายามยันตัวลุกขึ้นจากดินเปียกชื้นแต่ก็ต้องส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผลอันนับไม่ถ้วนบนร่างกาย เเต่ขณะที่กำลังทำใจยอมรับความตายที่ไล่ตามมาถึงตัว ชายหนุ่มกลับได้เห็นสิ่งที่น่าสยองขวัญยิ่งกว่า
เงาที่เขาเคยคิดว่าเป็นก้อนหินใหญ่ ณ บัดนี้ลุกขึ้นมาจากผืนดินราวกับมีชีวิต ร่างนั้นหันมาทางเขาอย่างช้า ๆ ใบหน้าเล็กเรียวเต็มไปด้วยดินโคลนสีดำสนิท ดวงตาที่เปล่งประกายในความมืดเบิกโพลง จ้องเขม็งมาทางชายหนุ่มจนทำให้เขาตัวแข็งทื่อ แต่สิ่งที่ทำให้เลือดในกายเขาเย็นเฉียบคือรูปทรงอันบิดเบี้ยวของศีรษะเงาร่างตรงหน้า...ศีรษะทรงเรียวรูปไข่แบบมนุษย์ถูกต่อเติมด้วยแท่งเรียวบางยืดขึ้นด้านบน มีรูปทรงเป็นวงกลมเล็กตรงสุดปลาย ซ้อนทับกับดวงจันทร์บนฟ้าอย่างพอดิบพอดีจนดูราวกับเรืองแสงสีเลือดออกมาในความมืด
“อ...อะ..” ชายหนุ่มเปล่งเสียงออกมาไม่เป็นภาษาด้วยความตกตะลึง ในขณะที่เงาร่างนั้นดูจะรับรู้ถึงความผิดปกติของเขา และหันไปประจันหน้ากับกลุ่มนักล่าปริศนาที่วิ่งเข้ามาจนถึงตัวอย่างพอดีดิบพอดี
“รีบหนีสิวะ ไอ้โง่!”
“นึกถึงตอนนั้นแล้วตลกเป็นบ้าเลยว่ะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
ชายหนุ่มร่างสูงพูดแล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะลั่น ทำเอาผู้คนที่นั่งดื่มกาแฟยามเช้าในร้านกาแฟใหญ่ประจำ
“เบา ๆ สิวะ ไอ้นาย” หญิงสาวบ่นอุบอิบ แถมแขวะเข้าให้ “ตอนนั้นล่ะหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ร้องเอาร้องเอาว่าจะกลับบ้าน ทีตอนนี้ล่ะมาทำเป็นเก่ง”
“ก็มันตลกจริงนี่หว่า แกเข้าไปทำอะไรนะ ขุดหลุมแล้วเอาหัวตัวเองฝังดินทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมงในคืนพระจันทร์สีเลือดใช่ไหม” นาวินพูดแล้วขำจนน้ำตาไหล “ตำราไหนวะเนี่ย ยังกะพิธีกรรมโบราณ”
ฌาฟาหัวเราะหึ ๆ แล้วจิบกาแฟดำของตัวเองโดยไม่ตอบโต้อะไร
เช้าวันนี้ดูจะมีแสงแดดสดใสกว่าทุกวันทำให้ดอกไม้สีชมพูปนเหลืองที่งอกอยู่บนศีรษะเธอคลี่บานมากกว่าปกติจนหญิงสาวรู้สึกได้ และดูเหมือนลูกค้าคนอื่น ๆ ในร้านก็จะสังเกตเห็นเช่นกันจึงทำให้สายตาที่จับจ้องด้วยความรำคาญไปที่นาวินในตอนแรกเปลี่ยนมามองเธอกับดอกไม้ดอกเล็กบนศีรษะแทน
เธอเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ชาวบ้านละแวกนี้เรียกกันว่าชาวผกากรอง กลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้กับเขตป่าของหมู่บ้าน พวกเธอทุกคนล้วนมีดอกผกากรองขึ้นอยู่บนศีรษะ เป็นสีชมพูสลับเหลืองบ้าง เหลืองสลับแสดบ้าง ดอกเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ว่ากันว่าสมัยที่บรรพบุรุษของชาวผกากรองอพยพเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้ใหม่ ๆ เมื่อกว่า 70 ปีที่เเล้ว พวกเขามีดอกไม้ชนิดนี้ขึ้นอยู่บนศีรษะเป็นช่อใหญ่สวยงามจนดูเหมือนมงกุฎดอกไม้ทีเดียว เเต่ด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่อาจทราบได้ ดอกไม้เหล่านั้นกลับค่อย ๆ ลดลงจากรุ่นสู่รุ่นจนเหลือเพียงดอกเดี่ยว ๆ ขึ้นอยู่บนศีรษะของรุ่นหลานรุ่นเหลนอย่างพวกเธอเท่านั้น
ฌาฟานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยขณะที่ปล่อยให้นาวินโม้ประสบการณ์ในโรงเรียนทหารที่เขาเพิ่งสอบเข้าได้ไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ได้ตั้งใจฟังนัก เธอเบนสายตาไปยังหิ้งบูชาของร้านที่มีก้อนนุ่นตั้งอยู่บนดอกบัวประดิษฐ์ ก่อนที่ภาพบนหน้าจอโทรทัศน์ข้างหิ้งบูชาจะดึงความสนใจของเธอไป
หน้าจอโทรทัศน์ขนาดกะทัดรัดแสดงรูปถ่ายของชาวบ้านหลายคนในละแวกนี้ที่ทยอยหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย การหายตัวอย่างเป็นปริศนาของชาวบ้านเหล่านี้เป็นคดีที่เกิดขึ้นมาหลายปีต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันโดยไม่มีเบาะแสใด ๆ ได้รับการเปิดเผยสู่สาธารณชน และในขณะที่ชาวบ้านเริ่มหวาดกลัวกับคดีนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ความหวาดระแวงต่อ กลุ่มคนร้าย ที่อาจอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน... ฌาฟาพยายามหลบเลี่ยงสายตาของคนในร้านที่เหลือบมองมาทางเธออย่างพร้อมเพรียงกันหลังจากข่าวเรื่องคดีการหายตัวฉายขึ้นบนจอโทรทัศน์แล้วยกกาแฟขึ้นดื่มอีกอึก ก่อนจะส่งเสียงเออออไปกับเรื่องเล่าของนาวิน
อันที่จริงแล้วเธอก็เคยคิดเหมือนกันว่าเหตุการณ์ที่นาวินถูกตามทำร้ายโดยกลุ่มคนที่สวมโม่งคลุมศีรษะอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับการหายตัวอย่างเป็นปริศนาของชาวบ้านก็ได้ แต่น่าเสียดายที่ในวันนั้นพวกเธอคิดแต่จะเอาชีวิตรอด เลยรีบฟาดคนเหล่านั้นแล้วรีบวิ่งหนีกันป่าราบโดยไม่ได้ใส่ใจจะเปิดเผยตัวตนของพวกผู้ไล่ล่า ทว่าในขณะที่เธอไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับคดีการหายตัวหรือว่าการล่าแม่มดของชาวบ้านที่พยายามตามหาดอกกะฮอมศักดิ์สิทธิ์กันแน่ นาวินกลับพูดอย่างมั่นใจว่าโชคร้ายของเขาจะต้องเกี่ยวข้องกับคดีการหายตัวแน่นอน
“ไม่แน่นะว่า... ที่พวกมันใส่โม่งก็อาจจะเพราะอยากปิดดอกผกากรองบนหัวก็ได้”
นาวินเคยพูดเช่นนั้นออกมาหน้าตาเฉยจนเธอถึงกับอึ้งไป ถ้าแม้แต่เพื่อนสนิทของเธอยังมีความคิดว่าชาวผกากรองอยู่เบื้องหลังคดีการหายตัวนี้ แล้วชาวบ้านจะคิดกับพวกเธอยังไงกัน...
พอดีกับที่กาแฟของเธอกำลังจะหมดแก้ว นาวินก็หมดเรื่องเล่าเกี่ยวกับโรงเรียนทหารของตัวเองพอดิบพอดี เธอถือโอกาสดื่มกาแฟรวดเดียวหมดแล้วทวงถามธุระจากฝ่ายตรงข้าม
“แล้วไหนเรียกฉันออกมาบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะบอกไง... คงไม่ใช่เรื่องโรงเรียนทหารของแกหรอกนะ”
“โถ่ ไอ้ฌา คนอย่างฉันบอกว่ามีเรื่องใหญ่ ก็ต้องเรื่องใหญ่จริง ๆ สิวะ” นาวินเบ้หน้าใส่เล็กน้อยเเล้วรีบกล่าวต่อ “มีแหล่งข่าววงในบอกมาว่า มีอีกวิธีนึงที่น่าจะเอาดอกไม้บ้า ๆ บนหัวของแกออกได้ ถ้าแกอยากลอง”
สิ้นคำของนาวิน ฌาฟาก็เบิกตากว้างอย่างตื่นเต้น
เธอพยายามเอาดอกผกากรองออกจากหัวเธออย่างจริงจังมาหลายปีแล้ว แต่ไม่ว่าจะดึง จะหัก ตัดด้วยกรรไกรตัดกิ่ง หั่นด้วยเลื่อยไฟฟ้า หรือทำตามวิธีต่างๆ นานาที่เว็บไซต์ คน ปะทะ ผกากรอง ลงเอาไว้ในกระทู้ (การเอาหัวปักดินในคืนพระจันทร์สีเลือดที่เพื่อนของเธอดูจะล้อเลียนไปจนวันตายก็เป็นหนึ่งในนั้น) ก็ไม่สามารถเอามรดกจากบรรพบุรุษนี้ออกไปจากศีรษะของเธอได้ หรือถ้าจะให้พูดตามตรงแม้แต่จะทำให้ดอกผกากรองของเธอเกิดรอยขีดข่วนยังแทบเป็นไปไม่ได้เลย
เพราะประสบการณ์ของฌาฟาสอนเธอว่า ต่อให้รัฐจะป่าวประกาศให้คนเคารพกัน หรือมองที่ส่วนอื่นของร่างกายที่เหมือนกันมากกว่าดอกไม้ที่ขึ้นเด่นอยู่บนหัวนี่มากแค่ไหน ทางเดียวที่คนในหมู่บ้านจะปฏิบัติกับพวกเธออย่างเท่าเทียมได้ก็มีแต่ต้องกำจัด ความแตกต่าง จุดเดียวในร่างกายเธอออกไปเท่านั้น
“วิธีอะไรวะ”
นาวินโน้มตัวมาด้านหน้า “แกรู้จักดอกดาวเรืองใหญ่ใช่ไหม”
“แกหมายถึง...ดอกดาวเรืองยักษ์ที่อยู่ในศาลาว่าการเมืองหลวงน่ะเหรอ” ฌาฟาถามอย่างไม่แน่ใจ
นาวินพยักหน้า
“แหล่งข่าวของฉันบอกมาว่าเคยมีชาวสาบเสือ... พวกคนที่มีต้นไม้ขึ้นบนหัวจากหมู่บ้านอื่นน่ะ เข้ามาดูดอกดาวเรืองตอนช่วงที่เขาเปิดให้เข้าศาลาว่าการ แต่เข้าไปคนเดียวนะ แล้วพอออกมาต้นสาบเสือบนหัวก็หายไป ฉันก็เลยคิดว่าดอกผกากรองของเเกก็น่าจะหายไปได้ด้วยเหมือนกัน”
“ไม่จริงน่า... เกิดอะไรขึ้นข้างในนั้นกันแน่”
“ไม่รู้สิ แหล่งข่าวของฉันก็บอกมาแค่นี้” นาวินยักไหล่ “แล้วแกอยากลองไหมล่ะ”
“อยากสิ” ฌาฟาตอบโดยแทบไม่ต้องคิด “แต่...ศาลาว่าการเมืองหลวงมันเป็นพื้นที่หวงห้ามไม่ใช่รึไง ถ้ารัฐไม่ได้เปิดให้เยี่ยมชมก็เข้าไม่ได้นี่”
หญิงสาวพูดยังไม่ทันจบประโยค นาวินก็หัวเราะหึ ๆ ออกมาราวกับขำขันเต็มทน
“แกลืมแล้วเหรอว่าฉันเป็นลูกใคร”
“...เดินทางเมื่อไหร่”
ลืมไปเลยว่ามันเป็นลูกนายพล... ฌาฟาคิดแล้วถอนหายใจเบา ๆ
รถตู้ที่พ่อของนาวินจัดหาให้พาคู่หูทั้งสองมาส่งที่บริเวณด้านหลังของศาลาว่าการเมืองหลวงในคืนวันถัดมา ทันทีที่ก้าวลงมาจากรถ นาวินก็เดินเข้าไปพูดอะไรสองสามคำกับนายทหารที่เฝ้าอยู่บริเวณประตูหลังของศาลาว่าการ ก่อนที่นายทหารผู้นั้นจะหลบทางให้ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ
พวกเธอเดินไปตามโถงทางเดินเพดานสูงที่ตกแต่งอย่างหรูหราอลังการ ทางเดินปูพรมนุ่มหนา เสาสูงแกะสลักเป็นลวดลาย โคมไฟระย้าประดับคริสตัลเจียระไนบนเพดานสะท้อนแสงเรืองสีส้มเหลืองจากโคมไฟบนยอดเสาจนเกิดเป็นแสงวิบวับ ฌาฟาที่ตื่นเต้นกับการมาเยือนศาลาว่าการเมืองครั้งแรกหันซ้ายหันขวาดูของประดับไปตลอดทางพลางเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว จนนาวินต้องกระซิบบอกให้เดินช้า ๆ ย้ำเตือนเธอว่าพวกเธอลอบเข้ามาโดยละเมิดกฎระเบียบ ไม่ใช่อาคันตุกะที่ได้รับเชิญเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย
สุดทางเดินเป็นประตูไม้แกะสลักสีแดงจัดสูงจรดเพดาน
ขณะที่ฌาฟากำลังตื่นตากับความสวยงามที่ตามมองไม่หวาดไม่ไหว แสงสีเหลืองอ่อนจากห้องด้านในที่พุ่งออกมาใส่หลังจากที่นาวินเปิดประตูสีเเดงบานนั้นออกกลับทำให้เธอลืมสิ่งที่สนใจอยู่ไปหมดสิ้น หญิงสาวเบิกตากว้างมองดูดอกดาวเรืองขนาดยักษ์ที่ผลิบานเต็มที่ด้วยความตื่นตะลึง ก้านสีเขียวเข้มของมันแทงขึ้นมาจากพื้นกระเบื้องด้านล่าง ยืดยาวออกไปเกือบจรดเพดานห้องที่สูงเทียบเท่าตึกสองชั้น กลีบบางสีเหลืองสว่างอัดรวมกันเป็นช่อใหญ่ไม่ผิดจากบอลลูนลมร้อนขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่ในอากาศ เเละดูราวกับจะเปล่งเเสงออกมาได้เองใต้โดมกระจกที่เปิดให้เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืน
นี่เองคือ ดอกดาวเรืองใหญ่ ดอกไม้คู่บ้านคู่เมืองของประเทศ
“ถ้าอย่างนั้นฉันปล่อยให้แกอยู่ในนี้เลยนะ เดี๋ยวอีกสิบห้านาทีถ้ายังไม่มีอะไร แกก็โทรบอกฉันแล้วกัน ฉันจะมารับออกไป” ชายหนุ่มบอกแล้วรีบเดินออกจากห้องพร้อมปิดประตูให้เสร็จสรรพ ปล่อยให้เพื่อนสนิทยืนนิ่งอึ้งจับจ้องดอกดาวเรืองยักษ์ที่เพิ่งเคยได้เห็นชัด ๆ เป็นครั้งแรก
ฌาฟาเดินวนอย่างช้า ๆ ไปรอบก้านของดอกไม้ดอกโต ที่ผ่านมาเธอเคยเห็นมันผ่านจอโทรทัศน์เท่านั้น ภาพของดอกดาวเรืองใหญ่ที่ถ่ายทอดผ่านจอช่างดูเล็กจ้อยและไร้สีสันจนครั้งหนึ่งเธอถึงกับเคยสงสัยว่า คุณป้าที่ร้องห่มร้องไห้ออกทีวีหลังจากที่ได้เห็นดอกดาวเรืองใหญ่กับตาเป็นครั้งแรก พลางพูดวนไปวนมาว่า “ต่อให้ฉันต้องตายก็จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายดอกดาวเรืองแน่
แต่เมื่อเธอได้มาเห็นกับตา ฌาฟาก็เริ่มจะเข้าใจคนที่ออกมาปกป้องดอกดาวเรืองใหญ่นี้ขึ้นมาบ้างแล้ว
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าช่างยิ่งใหญ่ งามประหลาด และเปี่ยมด้วยความรู้สึกแห่ง... ชีวิต
ดวงตาของเธอรื้นน้ำตาอย่างไม่รู้สาเหตุ ฌาฟาพยายามรวบรวมสติอีกครั้งขณะที่ปาดน้ำตาออก พอได้เข้ามาอยู่ที่นี่จริง ๆ แล้วหญิงสาวก็รู้สึกเคว้งแปลก ๆ เธอรู้แต่เพียงว่าการอยู่กับดอกดาวเรืองใหญ่ตามลำพังอาจทำให้ดอกไม้ของเธอหายไปได้ แต่ด้วยวิธีไหนกันล่ะ? ฌาฟานึกในใจพลางมองสำรวจไปรอบห้อง แต่ก็ไม่มีอะไรที่ดูจะช่วยตัดดอกไม้บนศีรษะของเธอออกไปได้เลย
รอบบริเวณที่ก้านสีเขียวของดอกดาวเรืองใหญ่แทงยอดขึ้นมามีเชือกกั้นสีแดงขึงอยู่ทั้งสี่ทิศพร้อมกับป้าย “ห้ามจับ” หญิงสาวยืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินในลอดแนวกั้นเข้าไปสำรวจเพิ่มเติม
รอยแตกในบริเวณที่ดอกดาวเรืองใหญ่แทงยอดขึ้นมาดูจะเป็นรอยแตกตามธรรมชาติ ราวกับว่าจู่ ๆ ก็มีดอกดาวเรืองขึ้นอยู่ใต้อาคารแห่งนี้ และเกิดเติบโตแข็งแรงกระทั่งสามารถผุดพ้นชั้นคอนกรีตหนาขึ้นมาได้ ฌาฟาย่อตัวลงเพื่อดูรอยแตกใกล้ ๆ ก่อนจะพบว่ามีรูเล็ก ๆ ระหว่างก้านดอกกับขอบของรอยแตกที่พอจะส่องผ่านลงไปชั้นล่างได้ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองดอกดาวเรืองและกวาดตาดูโดยรอบห้องอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้มั่นใจว่ายังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและยังไม่มีใครเข้ามาตรวจตราความเรียบร้อย ก่อนที่จะนอนคว่ำลงกับพื้นแล้วเอาตาแนบเข้าไปชิดกับรูโหว่นั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าจะมีอะไรอยู่เบื้องล่าง
ในตอนแรกภาพที่เธอเห็นยังคงไม่ชัดเจนนัก แต่เมื่อเธอลองขยับหามุมให้ดีก็พบว่า ด้านล่างของดอกดาวเรืองใหญ่เป็นผืนดินสีน้ำตาลที่อยู่ห่างออกไปมากราวกับว่ามีชั้นใต้ดินคั่นอยู่อีกชั้นหนึ่ง และเมื่อเพ่งมองให้ชัด ๆ ก็เห็นโครงร่างอะไรบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวเอนไปเอนมา และโครงร่างอีกส่วนที่วางเรียงกันอยู่บนพื้นดินใกล้ ๆ กัน ราวกับว่า...
ร่างกายของฌาฟาเย็นเฉียบเมื่อเธอประมวลผลสิ่งที่ประจักษ์ชัดแก่สายตาได้ในที่สุด ใช่ มันดูเหมือนกับ...
ศพ
และคนที่กำลังขุดหลุมฝังศพเหล่านั้น
หญิงสาวลุกพรวดขึ้นมาจากพื้นกระเบื้องด้วยความรู้สึกคลื่นเหียน ฌาฟาไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง ในศาลาว่าการของเมืองหลวงจะมี ศพ อยู่ได้อย่างไร เธอเพียงแค่ตาฝาดไปเอง หรือว่าด้านล่างอาจเป็นสุสาน... แต่สุสานของใครกันล่ะ?
ฌาฟาถอยห่างออกมาจากรอยแตกบนพื้นนั้นด้วยความรู้สึกขยะแขยงที่พุ่งพล่านขึ้นมาในร่างกาย เธอเซถอยหลังออกมาจนสะดุดเข้ากับเชือกกั้นเเละหงายหลังล้มลงกับพื้น ดวงตาของหญิงสาวมองตรงขึ้นไปบนดอกดาวเรืองเบื้องบนด้วยอาการช็อค แต่กลับพบว่าช่อดอกดาวเรืองสีเหลืองทองอันงดงามไม่ได้ชูช่ออยู่ติดกับโดมบนเพดานอีกแล้ว
ช่อกลีบสีเหลืองขนาดยักษ์ในขณะนี้กำลังเคลื่อนเข้าหาเธอราวกับมีชีวิต ดูไม่ผิดจากสัตว์เลื้อยคลานที่กำลังชูหัวอันใหญ่โตสำรวจเหยื่อของมันอย่างเงียบเชียบ ดอกสีเหลืองสุกขยับเข้ามาหยุดอยู่เหนือปลายจมูกของฌาฟาครู่หนึ่ง ก่อนที่กลีบดอกทั้งหมดจะปริออกราวกับถูกตัดผ่าเป็นแปดส่วน เผยให้เห็นภายใน ท้อง ที่เป็นช่องโหว่สีดำสนิท เเละกล้ามเนื้อสีอมม่วงที่เต้นตุบตับในเมือกหนืดเหนียว
เพียงอึดใจต่อมา ดอกดาวเรืองยักษ์ก็ตรงเข้า “เขมือบ” ศีรษะของหญิงสาว กลืนกินดอกผกากรองของเธอเข้าไปสมใจอยาก
นาวินกำลังเดินออกมาจากทางลับหลังกำแพงอย่างระมัดระวัง แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อร่างของเพื่อนคนสนิทยืนนิ่งจ้องเขาอยู่บนทางเดินตรงหน้า ร่างกายของหญิงสาวดูแข็งเกร็ง ใบหน้าเครียดเขม็ง ศีรษะที่ไร้เงาของมรดกจากบรรพบุรุษเปรอะเปื้อนเมือกเหนียวไหลเยิ้มลงมาตามเส้นผม
คนทั้งสองยืนจ้องหน้ากันอย่างตื่นตะลึงเป็นครู่สั้น ๆ ก่อนที่นาวินซึ่งยังปั้นหน้าไม่ถูกจะโดนร่างของฌาฟาวิ่งเข้ากระแทกอย่างจัง
“เฮ้ย ไอ้ฌา
หญิงสาวอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายถูกกระแทกล้มลงวิ่งลงไปตามบันไดสู่ใต้ดินอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดรับฟังคำพูดใด ๆ เธอวิ่งไปตามบันไดคับแคบอยู่นานจนหลุดออกมาสู่แสงสว่างในที่สุด
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือชั้นใต้ดินใหญ่โตที่มีลำต้นสีเขียวสดของดอกดาวเรืองยักษ์แทงยอดขึ้นมากลางห้อง พื้นบริเวณที่ดอกดาวเรืองเติบโตลามมาจนถึงบริเวณที่เธอย่ำอยู่ล้วนเป็นดินสีน้ำตาลเข้มชื้นแฉะที่นูนสูงเพราะถูกรากของดอกไม้ยักษ์ดันขึ้นจนปูดโปน โครงสร้างของตึกที่อยู่โดยรอบถูกแบ่งเป็นลำดับชั้นที่มีระเบียงยื่นยาวเข้าไปใกล้ลำต้นอันใหญ่โต บนระเบียงแต่ละชั้นปรากฏร่างของทหารตั้งแต่ยศสูงไปจนถึงทหารใหม่ประจำการอยู่และสั่งการกันวุ่นวาย ชั้นบนสุดมีทหารติดเครื่องยศเต็มอกกำลังฉีดพรมละอองน้ำลงบนใบที่แตกกิ่งออกมาจากดอกไม้ยักษ์อย่างทะนุถนอมพลางปรึกษาหารือกับสุภาพบุรุษเเต่งตัวภูมิฐานที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ใกล้ ๆ กัน
และ... ที่บริเวณโคนต้น มีทหารชั้นผู้น้อยที่กำลังขุดหลุมอยู่ข้างร่างไร้ชีวิตที่นอนเรียงกันเป็นแถวยาว เหมือนกับภาพที่เธอเห็นจากด้านบนไม่ผิดเพี้ยน
“ไอ้ฌา
“นาวิน” หญิงสาวดูจะไม่เเยเเสกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด สายตาเธอยังคงจับจ้องไปที่เหล่าร่างไร้ชีวิตที่นอนเรียงกันอยู่ตรงโคนต้น “ศพพวกนั้น...”
“อ๋อ นั่น...” ชายหนุ่มมองตามสายตาของเพื่อนแล้วก็ยิ้มกว้าง ยืดอกอย่างภาคภูมิใจ “เราเรียกเขาว่ากลุ่มผู้หวังดีที่ไม่ประสงค์ออกนาม พวกเขาคือคนที่เต็มใจสละชีพเพื่อดอกดาวเรือง กลายเป็นสารอาหารในดินให้ดอกไม้ได้เติบโตคงอยู่ต่อไป” นาวินอธิบายด้วยท่าทางตื้นตันใจ “ถ้าไม่มีการเสียสละอันทรงเกียรติของพวกเขา ดาวเรืองใหญ่อาจจะตายไปแล้วก็ได้”
ฌาฟานิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นโดยไม่ตอบโต้อะไร สีหน้าของเธอซีดเผือดลงทุกขณะ
“เอ้อ จริงสิ เมื่อกี้ฉันลงมาคุยกับพ่อ” นาวินยังคงพูดต่อไปโดยไม่มีทีท่าจะรับรู้ถึงความผิดปกติของอีกฝ่าย “เขาบอกว่า ถ้าเธอเอาดอกไม้ออกจากหัวได้จริงก็อย่าเที่ยวไปบอกชาวบ้านล่ะว่าทำได้ยังไงเพราะถ้าชาวผกากรองหายไปหมดละก็ พวกเราจะเดือดร้อนกันหมด— อ้าวเฮ้ย
หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากสะกดกลั้นอาการอยากอาเจียนขณะวิ่งสวนกลับขึ้นไปด้านบนด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต
ผู้เต็มใจสละชีพเพื่อดอกดาวเรืองอย่างนั้นหรือ
สามศพในแนวร่างไร้วิญญาณที่เรียงรายยาวเหยียดเหล่านั้นคือใบหน้าที่เธอเห็นในโทรทัศน์เมื่อเช้าวันก่อน... ใบหน้าของผู้สูญหายอย่างเป็นปริศนาที่หายตัวไปจากหมู่บ้านเมื่อเดือนที่ผ่านมา ใบหน้าของผู้โชคร้ายที่ไม่มีโอกาสได้ร่ำลาบุคคลอันเป็นที่รัก ใบหน้าของผู้สูญเสียที่ครอบครัวยังคงหลั่งน้ำตาให้ด้วยความทรมานจากคดีที่ไม่เคยได้รับความกระจ่าง ซ้ำร้าย ในบรรดาศพทั้งหมดนั้นไม่มีชาวผกากรอง ชาวสาบเสือ หรือใครก็ตามที่มีลักษณะผิดแปลกไปจากคนในหมู่บ้านใหญ่เเม้เเต่คนเดียว
ผู้เต็มใจสละชีพเพื่อดอกดาวเรืองอย่างนั้นหรือ
ไม่ใช่ ไม่ใช่เลย
พวกเขาถูกกำหนดให้ตาย เพื่อให้คนบางกลุ่มรักษาดอกดาวเรืองที่คิดกันว่าสวยงามหนักหนาเอาไว้ต่างหาก
เเละสาเหตุที่พวกเรา... ชาวผกากรอง จำเป็นต้องคงอยู่ ก็เพื่อรับบาปที่เป็นปุ๋ยชั้นดีให้ดาวเรืองได้เติบโตอย่างไรเล่า...
น้ำตาของฌาฟาไหลออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ขณะที่เธอตะกายกลับออกมาทางประตูหลังของศาลาว่าการ หญิงสาวอาเจียนออกมาไม่หยุดท่ามกลางความแตกตื่นของทหารเวรที่อยู่ในบริเวณนั้น
ฉันต้องกลับบ้าน ฌาฟาคิดขณะพยายามพยุงตนเองขึ้นยืน ต้องกลับไปที่หมู่บ้าน เพื่อจะบอกกับทุกคนว่าเกิดอะไรขึ้น...
ทว่าเมื่อสายตาของเธอเพ่งมองผ่านความมืดของถนนตรงหน้า เธอกลับพบกับความว่างเหล่าที่ก่อตัวขึ้นมาในอก
เธอไม่รู้ทางกลับบ้าน
ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าจะกลับบ้านอย่างไร แต่ความสามารถในการรับรู้ทิศทางของเธอดูจะหายไปหมดสิ้น หญิงสาวเห็นเพียงภาพบ้านใกล้ชายป่าเลือนรางในความทรงจำ แต่เธอจำไม่ได้... จำไม่ได้ว่าจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร ราวกับเป็นเพียงสถานที่แห่งความทรงจำในดินแดนแสนไกลที่ไม่อาจย้อนคืน
เธอหลงทางเสียแล้ว
หลงทางในประเทศของตัวเอง
หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ร่างกายอ่อนแรงเปรอะเปื้อนไปด้วยเมือกเหลว เลือดเป็นสายค่อย ๆไหลออกจากจุดที่เคยมีดอกผกากรองขึ้นอยู่ก่อนจะล้นทะลักออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง ฌาฟาสัมผัสของเหลวที่ไหลลงมาเป็นทางจากใบหน้าแล้วยกขึ้นมองด้วยสายตาว่างเปล่า... เธอไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกทรมาน มีเพียงความว่างโหวงในร่างกายที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดใด ๆ
ในวินาทีที่เธอหันมองทางตรงหน้าอีกครั้งและภาพของบ้านค่อย ๆ เลือนรางลงทุกทีในความทรงจำ ฌาฟาก็รู้ได้ในทันที
เธอไม่อาจกลับสู่ที่ที่เธอจากมาได้อีกเเล้ว
กว่าจะเป็นงานเขียนชิ้นนี้
เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขียนออกมาในแนวของตัวเองจริงๆ เป็นครั้งแรกในวิชานี้ค่ะ 555 ครั้งสุดท้ายที่เขียนเรื่องสั้นแนวนี้คือช่วงก่อนเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย (ประมาณ 3-4 ปีมาแล้ว) แต่คราวนี้ต่างออกไปจากสมัยก่อนตรงที่มีการลองเล่นกับสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในเรื่อง แล้วก็มีการประยุกต์ใช้แนวคิดและทฤษฏีต่าง ๆ ที่ได้เรียนมาจากวิชาอื่น ๆ ด้วย เป็นอีกเรื่องนึงที่นั่งพลอตเรื่องอย่างสนุกสนานมาก (โดยเฉพาะการพลอตกลุ่มที่บันเทิงมากๆ) แต่มามีปัญหากับการเรียบเรียงเขียนให้ดี อาจจะเพราะห่างหายจากการเขียนแบบนี้มานานก็ได้ ก็เลยทำให้รู้สึกว่ายังมีความเเออัดยัดเยียดของการให้ข้อมูล เเละความไม่ปะติดปะต่อในการบิ๊วท์อารมณ์ของแต่ละฉากอยู่บ้าง ส่วนเรื่องภาษาที่ดูยืดเยื้อไม่เหมาะกับเรื่องสั้นเป็นปัญหาส่วนตัวที่มีมานานแล้ว แก้เท่าไหร่ก็ไม่หายซักที 5555 เป็นสิ่งที่ต้องพยายามต่อไปค่ะ
เรื่องการนำวัตถุดิบมาใช้ก็เป็นอีกเรื่องที่ท้าทายมาก เราพยายามหาความเชื่อมโยงของวัตถุดิบทั้งหมดก่อน ก่อนที่จะมานั่งพลอตเรื่อง ตอนแรกคิดว่าเป็นโจทย์ที่ยากมาก ๆ จะทำได้ยังไงกับวัตถุดิบที่เยอะขนาดนี้ แต่สุดท้ายแล้วเราก็ทำได้ในระดับที่เราพอใจ ก็ถือว่ามีความสุขค่ะ 5555 ส่วนเรื่อง "หลงทางในประเทศของตัวเอง" เราไม่ได้ยกตัวบทมาลง เเต่ใช้เป็นธีมหลักของเรื่องไปเลยเเล้วใส่ชื่อเรื่องเเอบไว้แบบ (ไม่) เนียนในเนื้อหาเเทน ซึ่งเคยเห็นว่าเป็นวิธีที่นักเขียนตะวันตกบางคนชอบใช้กัน ถ้าคนที่รู้จักบทกวีเเล้วไปอ่านเพิ่มเติม ก็จะเข้าใจสิ่งที่เราพยายามจะสื่อผ่านเรื่องสั้นของเรามากขึ้น
ปล.เรื่องนี้เป็นการลองเขียนเรื่องโดยใช้สัญลักษณ์จัดเต็มสุด ๆ เป็นเรื่องเเรกเลย แต่พยายามให้ทั้งมีรสชาติสนุกแล้วก็สื่อความหมายอย่างตรงไปตรงมามากขึ้น ไม่รู้ว่าเราผูกสัญลักษณ์ขึ้นมาได้ดีเเค่ไหน ไม่รู้ว่าคนอ่านทั่วไปจะเข้าใจแค่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกสนุกไปกับเรารึเปล่า ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่รอฟีดแบคจากผู้อ่านค่ะ 5555
---------------------
ผู้สนใจสามารถคลิกที่ชื่อเรื่องเพื่อเข้าถึงงานเขียนเรื่องนั้นๆ
ผลงานชุด “หมู่บ้านล้านดอก” ประกอบด้วย
- เรื่องสั้น “ดอกบัว” โดย นันทวัน มงคลสถิต - เรื่องสั้น “กะฮอม” โดย เมธินี โสภา - เรื่ิองสั้น “ดาวเรือง” โดย ณฐพร ส่งสวัสดิ์
วัตถุดิบ
- บทกวีคำซ้ำเรื่อง “ดอกไม้” ของ จ่าง แซ่ตั้ง
- บทกวีเรื่อง “หลงทางในประเทศของตัวเอง” ของ โรสนี นูรฟารีดา
- ความเรียงเรื่อง “บัว...ดอกไม้ของวันวานและวันนี้” ของ รักษิตา
- คำว่า “หวังดี” ในคลังคำ ของ รศ.ดร.นววรรณ พันธุเมธา
---------------------
ผลงานเรื่องอื่นๆ สืบเนื่องจากกิจกรรม "เล่นแร่แปรวัตถุดิบ"
ผลงานชุด “ชะตากรรม” ประกอบด้วยเรื่อง
- เรื่องสั้น “กรำชะตา” โดย พิชญา วินิจสร
- เรื่องสั้น “กำชะตา” โดย ณิชมน จันทวงศ์
ผลงานชุด “เด็กเด็กเด็ก” ประกอบด้วย
- ความเรียง “ฉันผิดที่เป็นเด็กสายศิลป์” โดย ธนวิชญ์ นามกันยา
- เรื่องสั้น “คุยกับเด็กในความทรงจำ” โดย ปิยภัทร จำปาทอง
- เรื่องสั้น “ดอกแก้วแลดาวเหนือ” โดย กัลยรัตน์ ธันยดุล
ผลงานชุด “LUNCH” ประกอบด้วย
- เรื่องสั้น “อาหารกลางวันบนชั้น 21” โดย วรันพร ตียาภรณ์
- เรื่องสั้น “อาหารฝันกลางวัน” โดย ชัญญานุช ปั้นลายนาค
- เรื่องสั้น “อาหารกลางวันที่เจ้าบ้านหายไป” โดย ณิชา เวชพานิช
ผลงานชุด “ความทรงจำ” ประกอบด้วย
- ความเรียงเรื่อง “ให้ความทรงจำเป็นเหมือน ‘ขยะ’” โดย สิริโชค โกศัลวิตร
- เรื่องสั้น “ชื่อที่ไม่มีวันลืม” โดย ปุณยาพรสุข ศาลาสุข
- เรื่องสั้น “This white dog and that white wolf” โดย พิมพ์ภาณิณ โชติมา
ผลงานชุด “ต้นไม้” ประกอบด้วยเรื่อง
- เรื่องสั้น “พักพิง” โดย บุณฑริกา จิตพินิจกุล
- เรื่องสั้น “ต้นไม้โตขึ้นบ้าง หรือ กระถางเล็กลงหน่อย” โดย ธีรศักดิ์ คงวัฒนานนท์
- เรื่องสั้น “ ‘กระถิน’ ปลูกลงดินไม่ได้” โดย จุฬารัตน์ กุหลาบ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in