สายลมยามดึกหอบความเย็นเยียบและกลิ่นไอเค็มจากมหาสมุทรลอยเข้าปะทะจมูก ชายกระโปรงเดรสสั้นคลุมเข่าของหญิงสาวที่ยืนอยู่ริมหาดแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการกระพือขึ้นลง เส้นผมดำขลับยาวสยายถูกลมตีจนยุ่งเหยิง ดวงตาสีเขียวอมฟ้าไม่เหมือนชาวเอเชียของเธอทอดมองเบื้องหน้า มองไปยังเวิ้งน้ำอันไกลโพ้น
ใต้แสงจันทร์กระจ่างที่ส่องกระทบผิวน้ำทะเลอ่าวไทยเป็นสีน้ำเงินเข้มเหลือบทองระยิบระยับ เธอคล้ายจะได้ยินเสียงเพลงจากความทรงจำ นอกจากนั้น ยังมีบางสิ่งกำลังเพรียกหาเสียงคลื่นกระทบฝั่ง ฟังเหมือนเสียงกระซิบเชิญชวนจากห้วงสมุทร
ในที่สุดรองเท้าแตะก็ถูกถอดทิ้งไว้เบื้องหลัง ท่อนขาเรียวยาวพาเจ้าของร่างก้าวลงสู่ทะเล
ก้าวเท้าตรงไป ลึกขึ้น ลึกขึ้น ลึกจนน้ำท่วมตาตุ่มลึกขึ้น ลึกขึ้น ลึกจนน้ำท่วมหัวเข่า ลึกขึ้น ลึกขึ้น ลึกจนน้ำท่วมเอว ลึกขึ้นลึกขึ้น ลึกจนน้ำท่วมอก ลึกขึ้น ลึกขึ้น ลึกจนน้ำท่วมคอ
แผลสดบนต้นแขนซึ่งถูกพันไว้ลวกๆ ด้วยผ้าลายตาราง แสบแปลบอย่างร้ายกาจในช่วงแรกที่ต้องน้ำเค็ม แต่เธอไม่ใส่ใจอีกแล้ว รู้ดีว่าอีกเดี๋ยวมันจะไม่เป็นไร ท้องทะเลไม่เคยใจร้ายกับเธอ
ลึกขึ้น ลึกขึ้น...
หญิงสาวจมหายไป
ส่วนหญิงสาวสบดวงตาสีเขียวอมฟ้าของเธอเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มโทนอบอุ่นของนักร้องนำผู้โดดเด่นด้วยหมวกโบเลอร์ปีกโค้งมนที่ครอบทับเส้นผมหยักศก
เพลง Octopus’s Garden ของวง The Beatles
“เป็นลูกครึ่งหรือครับ”
หลังจบคิวการแสดงร่วมสองชั่วโมงไปแล้วครู่หนึ่ง นักร้องนำของวงก็ก้าวเข้ามานั่งบนเก้าอี้สตูลบาร์ตัวที่อยู่ติดกันกับเธอทั้งยังเป็นฝ่ายทักทายก่อน เพื่อนสาวทั้งสองที่มาด้วยกันพร้อมใจกันเปิดทางโดยทำทีเป็นปลีกตัวแยกไปห้องน้ำ สัญชาตญาณไวนักเชียว
“คุณมีคำตอบในใจอยู่แล้วนี่คะ” วาหัวเราะเบาๆ สีดวงตาเธอเด่นเสียขนาดนี้ แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนแรกที่ถาม
“ที่คุณพูดก็ถูก” นักร้องผมหยักศกยิ้มตอบ “ผมก็แค่อยากหาเรื่องมาคุยเพื่อทำความรู้จักคุณเท่านั้นเอง”
แล้วเราก็ได้พูดคุยทำความรู้จักกันมากขึ้นตามที่อีกฝ่ายปรารถนา เขาชื่อคุณสุ มีอาชีพนักร้องกลางคืนตระเวนไปร้องเพลงตามร้านนั้นบ้างร้านนี้บ้างในกรุงเทพฯ ร่วมกับวงดนตรีแจ๊สที่เกิดจากการรวมตัวของญาติพี่น้องที่มีความชอบเหมือนกัน ส่วนหญิงสาวเองก็เปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวให้อีกฝ่ายรู้บ้างตามแต่บทสนทนาจะพาไป เป็นต้นว่าเธอชื่อวา และเหตุที่มีดวงตาสีนี้ก็เพราะเป็นลูกครึ่งจริงๆ
“วาเป็นชื่อย่อใช่ไหมขอทายได้ไหมครับว่าชื่อเต็มของคุณคืออะไร”
“ฉันเป็นลูกครึ่งอะไรคุณเดามาสามนาทีแล้วยังไม่ถูกเลย นี่ยังจะมาขอเดาชื่อเต็มฉันอีก?” หญิงสาวหัวเราะร่วน “เอาสิคะ ถ้ายังไม่เข็ดก็ลองดู”
“วาเนสซ่า!” คุณสุดูจะมั่นใจมาก
แต่วาส่ายหน้ายิ้มๆ
“อ้าว แย่จริง...” เขาจิ๊ปากเสียดาย ทว่ายังไม่ยอมแพ้ “งั้น...วาเลนติน่า?”
หญิงสาวยังคงส่ายหัว
”แวนด้า?”
เธอฟังแล้วยิ่งขำเข้าไปใหญ่ “มั่วจริง แวนกับวามันไปด้วยกันตรงไหนน่ะคุณ”
“ก็ขึ้นต้นด้วยตัวดับเบิลยูตามด้วยเอไง” เขาแถไปเรื่อย รอยยิ้มกว้างยังคงประดับบนใบหน้าอย่างชวนมอง “เอาล่ะๆ ผมยอมแพ้แล้ว คุณเฉลยทีสิ”
“ชื่อของคุณก็ย่อมาจากคำอื่นหรือเปล่า” วากลับไพล่ถามเสียอย่างนั้น
คุณสุเลิกคิ้ว “ใช่ เดาเก่งนี่ คุณลองทายดูบ้างไหมว่าชื่อผมย่อมาจากอะไร”
“ฮ่าๆ ฉันไม่ชอบทายหรอก ชอบการแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อมากกว่า” เธอโบกมือไปมา หลิ่วตาสีสวยหยอกเขากลับบ้าง “เอางี้ คุณบอกของคุณก่อนแล้วฉันจะยอมบอกของฉัน ดีไหม”
นักร้องหนุ่มหยักริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม โคลงหัวเล็กน้อยเป็นเชิงไม่เห็นด้วย
“แต่ผมชอบความท้าทาย แข่งเดาชื่อเต็มของกันและกันน่าสนุกกว่าตั้งเยอะ”
“ฮะๆ แต่อีกไม่นานร้านก็ปิดแล้ว เรามีเวลาไม่มากนักหรอกค่ะ”
“เวลาน้อยไปอย่างนั้นเหรอ
คุณสุยกแก้วเครื่องดื่มในมือขึ้นจิบ หากแต่สายตายังคงไม่ละไปจากใบหน้าของเธอราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง กระทั่งโมฮีโต้ของเขาเหลือแต่แก้วเปล่า ชายหนุ่มจึงเอื้อนเอ่ยประโยคต่อมาด้วยดวงตาพราวระยับว่า
“ถ้าอย่างนั้น คุณวา คืนนี้ไปต่อกันไหม”
หลังจากคืนนั้นเราก็ยังติดต่อกันมาเรื่อยๆ เขาอ้างว่าเขายังทายชื่อจริงเธอไม่ถูกเลย เพราะงั้นขอต่อเวลาพิเศษอีกหน่อยน่า
คุยกันถูกคอกว่าที่คาด เข้ากันได้ดีกว่าที่คิด การต่อเวลาพิเศษยืดยาวมาหลายสัปดาห์ทีเดียว
แต่ใครจะรู้...ก็มีบางเรื่องที่ทำให้เราเข้ากันไม่ได้อยู่นะ
ปลา ปลา ปลา ปลา ปลา ปลา ปลา ปลา ปลา ปลา ปลา
ตรงนั้นมีปลาสิบตัว [1]
ค่ำคืนนี้ฝูงปลาด้านใต้ระเบียงที่ยื่นไปเหนือแม่น้ำเจ้าพระยาก็ยังคงว่ายน้ำตามเสียงแซคโซโฟน ท่วงทำนองของออร์แกนไฟฟ้า และจังหวะของกลองชุดเช่นเคย ส่วนหญิงสาวก็มานั่งที่ร้านเดิมกับเพื่อนสาวทั้งสองอีกครา เธอในชุดเดรสสายเดี่ยวสีขาวยาวคลุมเข่ายืนมองสิ่งมีชีวิตใต้ผืนน้ำแล้วฮัมเพลงคลอไปด้วย อยากลองดูว่าจะทำให้พวกมันเปลี่ยนใจจากว่ายตามเพลงแจ๊สมาเป็นตามเสียงของตนได้หรือเปล่า เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผลก็ขัดใจ ดูท่าเธอจะติดนิสัยชอบการแข่งขันเอาชนะของคุณสุมาไม่น้อยเหมือนกัน
“คุณคุยกับปลาบ่อยกว่ามองผมอีกนะวันนี้”
หลังจากสิ้นสุดคิวร้องตอนเที่ยงคืนคุณสุก็แยกตัวจากเพื่อนร่วมวงตรงมาหาเธออย่างทุกที และเพื่อนสาวๆ ของวาก็แยกตัวไปนั่งอีกโต๊ะโดยอัตโนมัติ ทุกคนชินกันหมดแล้ว
วายิ้มรับคำแซว ยังคงเท้าแขนกับระเบียงน้ำเหมือนเดิมขณะเอ่ยตอบว่า “ดนตรีน่ะใช้หูฟังก็พอนี่คะ ฉันใช้ตามองอย่างอื่นที่น่าสนใจบ้างไม่ได้เหรอ”
อีกฝ่ายยกมือขึ้นจับหมวกโบเลอร์คู่ใจแล้วชะโงกหน้ากวาดสายตาลงไปในน้ำบ้าง “อ้าว ไหนล่ะปลา ผมไม่เห็นเลยสักตัว”
“พอพวกคุณเล่นจบเพลง พวกมันก็ไปแล้วค่ะ” หญิงสาวยักไหล่นิดๆเอ่ยยิ้มๆ “มีดนตรีในหัวใจจนฉันกลุ้มเลยเชียว กำลังคิดอยู่ว่าจะช่วยพวกมันได้ยังไง”
“ช่วย?”
“อืม บางคนตกปลา เพื่อมีไว้ขายเป็นเงินเป็นทอง” วาทอดสายตามองริมฝั่งน้ำติดกับร้านอาหารที่คลื่นนิ่งสงบ “แต่พวกปลาก็ดูจะไม่ตระหนักเลยสักนิดว่าหากอยู่แถวนี้จะเกิดอันตรายได้แค่ไหน...ทั้งที่ชีวิตอยู่ในกำมือของตัวเองแท้ๆ ยังมัวมาหลงเสียงดนตรีให้พวกที่อยู่ตรงโฮมสเตย์ใกล้ๆ ดีใจว่าลาภปากเสียได้ น่าสมเพชจริง"
คุณสุนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดขำออกมา “ไม่อยากจะขัดฟีลคุณนะ แต่ว่าปลาไม่มีมือนี่ครับ เพราะงั้นจะกำชะตาตัวเองได้ยังไงใช้ครีบเหรอ”
คราวนี้วาหัวเราะตามเขาจนได้ “คุณนี่นะ ฉันแค่เปรียบเทียบไหมล่ะ!
“ก็ได้ๆ ผมไม่ขัดแล้ว คุณนักปรัชญาเอกของโลก” คู่สนทนายกมือขึ้นยอมแพ้ ทว่ายังไม่วายบ่นพึมพำ “แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมคุณต้องห่วงพวกมันขนาดนั้น”
“ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะ” หญิงสาวใช้ดวงตาสีเขียวอมฟ้ามองเขาตอบ “...ว่าทำไมพวกมันถึงเอาแต่ว่ายตามเสียงเพลงของพวกคุณอย่างกับถูกมนตร์สะกดกันแบบนั้น”
คุณสุตัวเกร็งขึ้นมาฉับพลัน แผ่นหลังเหมือนจะสั่นสะท้านเป็นวูบสั้นๆ แต่แล้วก็กลับไปนิ่งสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เสียที่ไหนล่ะ
“กะแล้วเชียว คุณวาไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ด้วย”
บริเวณสะบักหลัง เสื้อเชิ้ตสีดำของเขาพลันเหมือนมีอะไรบางอย่างพยายามดันออกมา และแล้วเนื้อผ้าก็ฉีกแควกออกเป็นทางยาวเปิดทางให้วัตถุประหลาดเหยียดตัวออกจากแผ่นหลังของคุณสุ ครู่แรกยังมองเห็นเป็นรูปร่างไม่ชัดเจนนัก แต่เมื่อมันคลี่สยายจึงค่อยประจักษ์แก่สายตาว่ามันคือปีกนกขนาดยักษ์คู่หนึ่ง
ไม่ใช่แค่คุณสุเท่านั้น บรรดานักดนตรีในวงต่างก็จ้องเขม็งมาทางนี้ ปีกใหญ่ผุดขึ้นจากแผ่นหลังของพวกเขา แรงกระพือหนเดียวกวาดโต๊ะเก้าอี้โดยรอบล้มคว่ำระเนระนาด คนในร้านกรีดร้องตะเกียกตะกายหนีตายกันอลหม่าน บ้างก็เหยียบกันเอง บ้างก็ใจกล้าหน่อยหยิบมือถือมาถ่ายรูปแชะสองแชะแล้วค่อยกลับหลังหันจ้ำอ้าว
แต่หญิงสาวยังคงยืนอยู่อย่างเดิมประจันหน้ากับชายหนุ่มนักร้องนำ
เพื่อนทั้งสองของเธอก็เช่นกัน บัดนี้พวกหล่อนลุกพรวดมายืนขนาบข้าง ไม่กลัวเกรงต่อภาพที่ปรากฏแต่อย่างใด
“ศักดิ์ศรีของครุฑหายไปไหนหมดแล้ว คุณสุบรรณ” วากล่าวเสียงเรียบ “จงใจล้ำเข้ามาในส่วนของน่านน้ำ ใช้มนตร์สะกดกับปลาบริเวณนี้เพื่อล่อให้นาคที่เห็นความผิดปกติเข้ามาติดกับใช่ไหม”
ชายตรงหน้าแค่นหัวเราะหึ “ช่วยไม่ได้ ช่วงหลังๆ พวกนาคเริ่มมีเครือข่ายอิทธิพลริมแม่น้ำเจ้าพระยามากไป อย่าคิดว่าชาวครุฑไม่รู้นะว่าหนึ่งในแหล่งรวมตัวที่ใหญ่ที่สุดของนาคอยู่แถวเอเชียทีค เหอะๆ ถ้าปล่อยไว้จนกลายเป็นเหิมเกริมคงไม่ดี ต้องคอยเบรกไว้บ้าง”
“สาเหตุที่นาคหลายตนหายตัวไปในช่วงนี้เหมือนจะมาจากพวกคุณจริงๆ” หญิงสาวหรี่ตาลง เอ่ยกลับอย่างหยามเหยียด “แล้วเขาจะรวมตัวกันมันเกี่ยวอะไรกับพวกคุณ ขัดแข้งขัดขากันเก่งเหลือเกิน ให้คนอื่นเขาลืมตาอ้าปากกันบ้างเถอะ นาคไม่ใช่เบี้ยล่างของครุฑเสียหน่อย”
“อยู่ต่ำกว่าในห่วงโซ่อาหาร ถึงไม่ใช่ก็เหมือนใช่นั่นแหละ”
มือของสุบรรณงุ้มเข้าหากัน ผิวเนื้อบริเวณนั้นแปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บอย่างนกอินทรี แล้วเขากับพวกนักดนตรีก็กางปีกพุ่งเข้ามา เพื่อนสาวของเธอเห็นแล้วก็แสยะแยกเขี้ยว ลิ้นสองแฉกแลบปลาบ พริบตาเดียวร่างกายท่อนล่างก็กลายเป็นงูโผเข้าโรมรันกับศัตรูตามชะตากรรมอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่สนว่าฝ่ายตนเสียเปรียบด้านจำนวน
ความขัดแย้งตั้งแต่รุ่นบรรพกาลนำมาสู่การต่อสู้ที่ไม่จบไม่สิ้น น่าหงุดหงิดยิ่งกว่าตระกูลมอนตากิวของโรมิโอกับตระกูลคาปุเล็ตของจูเลียต และยิ่งน่ารำคาญเข้าไปอีกก็ตรงที่นาคถูกลิขิตให้ตกเป็นอาหารของครุฑ
นาคหลายตนโอดครวญ เรียกสิ่งนี้ว่า "คำสาป" ที่ไร้ซึ่งความยุติธรรม
สู้ไม่ได้เลย...ธรรมชาติรังแต่จะคอยตอกย้ำว่าสู้ไม่ได้
และการพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดหลายพันปีมานี้ทำให้ฝ่ายศัตรูยิ่งผยอง จองหองพองขนกันจนน่าหมั่นไส้
"มัวยืนเหม่ออะไร ถ้าไม่พอใจนักแน่จริงก็มาสู้กัน!"
คุณคุณสุปล่อยให้พวกครุฑที่เหลือตบตีกับเพื่อนนาคของเธอ ส่วนตนเองก็กางปีกโฉบเข้าหา เร็วเสียจนหมวกโบเลอร์คู่ใจปลิวคว้างหลุดจากศีรษะ
"หน้าไม่อาย! เลิกใช้บุญเก่ามาทำกร่างใส่คนอื่นทีเถอะ ต่างคนต่างอยู่มันยากตรงไหนนะ!!" หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบ ล้วงตลับแป้งพัฟกับบรัชออนในกระเป๋าถือออกมาปาใส่สุบรรณอย่างโมโห ถ่วงเวลาพลางก็ขยับเท้าถอยไปใกล้ราวกันตกตรงระเบียงพลาง
"ยอมรับแล้วล่ะสิว่าสู้ไม่ได้" กรงเล็บของสุบรรณตะปบหมับเข้าที่ต้นแขนซ้ายของเธอจนเหวอะได้เลือด "จำนนซะ ธรรมชาติของเผ่าพันธุ์กำหนดมาอย่างนี้ เธอจะเปลี่ยนอะไรได้"
การต้องปาลิปสติกสีโปรดใส่หน้าศัตรูเป็นอะไรที่ชวนเจ็บปวดยิ่งกว่าแผลบนแขนเสียอีก วาชักจะเดือดแล้วจริงๆ
"ไม่คิดบ้างเหรอว่านาคก็ไม่ได้อยากเกิดมาแบกรับบาปของบรรพบุรุษที่ให้พวกคุณรังแกเล่น! แต่ในเมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องดิ้นรนหาวิธีเอาชีวิตรอดกันไป ใครจะยอมโดนกระทำไปตลอดกาล"
"อย่างเช่นยอมกินหิน เพื่อให้ครุฑที่จ้องจะจับนาคกินโดนหินพวกนั้นถ่วงจนตกทะเลตายเสียเองใช่ไหม" สุบรรณยกเรื่องราวเมื่อครั้งกระโน้นอันเป็นต้นกำเนิดของรูป 'ครุฑยุดนาค' มากล่าวถึง หัวเราะเหยียด พลางจับจ้องร่างของเธอที่กระโดดขึ้นไปยืนบนราวระเบียงไม้ "น่าขำ แค่ครุฑจับนาคมาห้อยหัวเขย่าๆ ก่อนกินพวกมันก็อ้วกก้อนหินออกมาหมดแล้ว ลูกไม้ตื้นๆ"
"อืม นั่นน่ะมุกเก่า" วาตอบรับ ดวงตาสีเขียวอมฟ้าเป็นประกายคมกล้า "แต่การหาทางทลายความบัดซบของโชคชะตาไม่ได้จบแค่นั้นหรอก ทุกวันนี้โลกเราไปถึงไหนแล้ว ยังเร็วไปที่จะยอมแพ้"
หญิงสาวทิ้งตัวหงายหลังจากราว ร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำเจ้าพระยาเป็นเสียงตูมใหญ่ น้ำกระจายซ่าเป็นวงกว้าง
ความเย็นฉ่ำโอบล้อมรอบตัวเป็นสัญญาณบอกว่าเธอได้กลับมาสู่อาณาเขตที่คุ้นเคยอีกครั้ง
“อย่าคิดว่าแค่มุดหัวลงน้ำแล้วนาคอย่างเธอจะแข็งแกร่งกว่าครุฑอย่างฉัน!" แว่วเสียงเย้ยหยันดังมาจากเบื้องบน เงาของคนมีปีกโฉบผ่านไป
วาไม่ได้ต่อปากต่อคำ เธอคืนร่างเดิม ว่ายวนอย่างเงียบเชียบดวงตาสีเขียวอมฟ้าจับจ้องเบื้องบนเขม็ง กระทั่งเงาร่างมนุษย์กึ่งนกแล่นผ่านสายตาอีกครั้งหญิงสาวก็ดีดตัวพุ่งขึ้นจากผิวน้ำด้วยความเร็วสูง
ม้วนตัวกลางอากาศ สะบัดหางปลาขนาดยักษ์ตวัดฟาดครุฑกระเด็นโครมกลับไปกลางเวทีร้าน พวกที่เหลือซึ่งกำลังโรมรันกับนาคทั้งสองหยุดชะงัก หันขวับมาหาเธอที่ทิ้งตัวกลับมายืนบนราวระเบียงอีกรอบ ขาเรียวยาวสองข้างยังอยู่ครบเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือมีหางปลาสีเงินเป็นประกายงอกมาจากสะโพกด้านหลัง
“สวัสดีหนุ่มนักดนตรีทั้งหลาย ฉันชื่อวารี และฉันไม่เคยพูดสักคำนะว่าตัวเองเป็นนาค พ่อฉันเป็นเงือกชาวไทย” หญิงสาวหัวเราะคิกคัก ฉับพลัน ปีกนกสีแดงขนาดยักษ์ก็สยายออกจากกลางหลัง “...ส่วนแม่ฉันเป็นไซเรน ครึ่งคนครึ่งนกจากเมดิเตอร์เรเนียนจ้ะ ทายกันไม่ถูกเลยล่ะสิ ถ้าไม่อยากเจอดีก็ปล่อยเพื่อนฉันเดี๋ยวนี้"
เธอกางปีกหมุนควงสว่านผ่าเข้ากลางวง พวกครุฑผงะถอยกรูดแต่พอได้สติก็คำรามลั่นอย่างเกรี้ยวกราดแกว๊กๆ อย่างกับแองกรี้เบิร์ด ละความสนใจจากนาคสาวทั้งสองแล้วเปลี่ยนมาบินไล่ล่าเธอกลางฟ้าแทน รวมทั้งสุบรรณที่กำลังโกรธจนเลือดขึ้นหน้าด้วย
“นี่เป็นเรื่องของสองเผ่าพันธุ์ เกี่ยวอะไรกับตัวประหลาดครึ่งๆ กลางๆ อย่างเธอไม่ทราบ!" คุณสุหนุ่มรูปหล่อดูเหมือนจะเริ่มพาลแล้ว
“ในเมื่อธรรมชาติบอกว่านาคสู้ครุฑไม่ได้ พวกเขาก็เลยใช้วิธีที่ชาญฉลาดอย่างการหาพันธมิตรไงล่ะ” วารีกางกรงเล็บอย่างนกบ้าง ฟาดเข้าหน้าพวกครุฑที่ฉวัดเฉวียนเข้าใส่ “และฉันก็มีสิทธิ์เต็มที่ที่จะไม่พอใจวิธีการล่อนาคมาติดกับของพวกคุณ หนึ่ง ใช้มนตร์สะกดกับพวกปลา นั่นหยามหน้าเผ่าพันธุ์ใต้น้ำมากรู้ไหมพ่อหนุ่ม พวกคุณล้ำเส้นเกินไปแล้ว”
ระหว่างที่กำลังพูดอยู่ ทันใดนั้นครุฑตนหนึ่งคว้าหางของวาไว้ได้ เขากระชากแรงเสียจนเธอเสียหลักกลางอากาศถูกเหวี่ยงไปกระแทกป้ายไฟนีออนที่เรียงเป็นชื่อร้าน One Night Screwdriver แรงจนป้ายแทบหักครึ่ง
วาไถลกลับไปบนพื้น นาคสาวทั้งสองที่สภาพสะบักสะบอมพอกันรีบเลื้อยมาประคองเธอไว้
“ส่วนข้อที่สองคืออะไรรู้หรือเปล่า..." หญิงสาวหอบหายใจ ข่มกลั้นความจุกหยัดยืนขึ้นอีกครั้ง สีหน้ายิ่งทวีความเย็นชายามจับจ้องฝูงครุฑที่บินอยู่เบื้องบน "พวกคุณไม่รู้จักเสียงดนตรีที่แท้จริงด้วยซ้ำ ฉันจะสอนให้รู้เองว่ามันเป็นยังไง"
ไซเรน แม่ของเธอเป็นพรายน้ำที่มีรูปลักษณ์ภายนอกเป็นครึ่งคนครึ่งนกจัดเป็นอสุรกายที่มีน้ำเสียงไพเราะทรงเสน่ห์ มีอำนาจในการสะกดผู้คนให้ตกในภวังค์ มักจะนั่งร้องเพลงอยู่บนโขดหินเพื่อล่อลวงให้กะลาสีที่แล่นเรือผ่านไปมาลุ่มหลงและตกเป็นเหยื่ออันโอชะ
ดังนั้น พวกนักดนตรีที่ใช้เสียงเพลงในการหลอกล่อผู้อื่นให้ติดกับในสายตาของวา...
...ทั้งยังอัดแน่นด้วยมนตร์สะกดอันลึกล้ำ
"I'd like to be under the sea
In an octopus's garden in the shade
He'd let us in, knows where we've been
In his octopus's garden in the shade"
ไพเราะเสียยิ่งกว่าบทเพลงจากปากคุณสุในวันวาน ล่อลวงด้วยมนตราประจำเผ่าพันธุ์
บรรดาครุฑที่ตอนแรกมีทีท่าจะดิ่งลงมาฉีกกระชากเธอกับเพื่อนเป็นชิ้นๆ กลับกลายเป็นชะงักงันไปกลางอากาศ ดวงตาที่ก่อนหน้านี้ฉายแววแข็งกร้าวกลับกลายเป็นเหม่อลอย
วารีหยักยิ้มใช้ดวงตาสีเขียวอมฟ้าซึ่งบัดนี้โชนแสงจ้าไล่สบตาหนุ่มๆ เป็นรายบุคคล สองขาแบบบางก้าวนำไปยังระเบียงริมน้ำอย่างช้าๆ พวกครึ่งนกมองตาม เธอเองก็ร้องเพลงต่อไปพลางผายมือไปยังแม่น้ำเจ้าพระยาไปพลาง
มันไม่ใช่ท้องทะเลอย่างในบทเพลงที่เธอกำลังขับร้อง แต่ใครจะสนล่ะ?
ตอนนี้พวกเขาว่าง่ายจะตาย
"I'd ask my friends to come and see
An octopus's garden with me
I'd like to be under the sea
In an octopus's garden in the shade"
หญิงสาวเก็บปีก ทิ้งกายลงสู่ผืนน้ำอีกครั้ง และหนนี้หนุ่มๆ บนฟ้าก็ทิ้งตัวตามลงมาอย่างไร้สติ โหยหาอยากฟังท่วงทำนองแสนหวานจากเธอต่อจนยอมสละได้กระทั่งชีวิต
มาเถอะ ตรงนี้รับรองว่าสนุกกว่าข้างบนนั่นเป็นไหนๆ
ลงไปสำรวจก้นแม่น้ำด้วยกันกับฉันดีไหม
เสียงเพลงของวารียังคงขับขานแม้จะอยู่ใต้ผืนน้ำ ทั้งยังทรงพลังยิ่งกว่าเดิม...เสียงเดินทางในน้ำได้ดีกว่าในอากาศ เหยื่อทุกรายเมื่อถูกลวงมาใต้น้ำแล้วไม่มีวันรอดไปได้
นกสำลักน้ำตาย สุดท้ายกลายเป็นอาหารของปลาเสียเอง
วารีหัวเราะ ว่ายวนรอบตัวคุณสุผู้โอหังคนนั้นที่ลอยเท้งเต้งตามกระแสน้ำ จุมพิตริมฝีปากของเขาเบาๆ หนึ่งทีอย่างมันเขี้ยว เขาหน้าตาหล่อเหลาน่ารักจนเธออยากเขมือบเขาเป็นอาหารมื้อดึกเสียเดี๋ยวนี้เลย แต่ต้องอดใจเก็บไว้กินไกลๆ เพราะหากมีคนมาพบโครงกระดูกในแม่น้ำเจ้าพระยาคงเป็นที่โกลาหลน่าดู แค่ข่าวลือว่าร้านอาหารริมน้ำมีครึ่งคนครึ่งนกอาละวาดก็สุ่มเสี่ยงต่อการเปิดเผยการมีอยู่ของเผ่าพันธุ์อมนุษย์อย่างพวกเธอมากเกินพอแล้ว
“คุณวารี ขอบคุณมากนะคะ” ตอนนั้นเอง นาคสาวทั้งสองที่มีรอยแผลโดนทึ้งข่วนเต็มตัวก็ว่ายน้ำตามลงมา แม้ท่าทางจะอิดโรยจากการต่อสู้แต่ประกายตาก็ดูแช่มชื่นดี “ถ้าไม่มีคุณเราคงเอาชนะครุฑกลุ่มนี้ไม่ได้คุณเป็นเหมือน...
“พวกคุณเองก็เป็นฮีโร่ของเผ่าพันธุ์เหมือนกันนะ” วาตอบกลับยิ้มๆ “ถ้าพวกคุณไม่มาบอกฉันว่าครุฑพวกนั้นก่อความวุ่นวายอะไรไว้บ้างฉันก็คงไม่มีโอกาสได้มาช่วยหรอกจริงไหม ดีใจกับชัยชนะครั้งนี้ด้วยจริงๆ ที่ผ่านมาคงทนทุกข์กันมามากสินะ”
“คุณวา...” สองสาวเหมือนใกล้จะร้องไห้แล้ว
“แต่มันยังไม่จบแค่นี้หรอก พยายามต่อไปล่ะ จำไว้ว่าคำสาปก็เหมือนกฎหมาย มีช่องโหว่เสมอ”
ใช่แล้ว นาคสู้กับครุฑตรงๆ มีแต่แพ้กับแพ้
มาบัดนี้ พวกเขาจึงเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ ดิ้นรนเพื่อก้าวข้ามชะตากรรมเฮงซวยแห่งเผ่าพันธุ์
รวบรวมพันธมิตรมาต่อกร...พอกันทีกับการแพ้ทางที่ฟ้ากลั่นแกล้ง
วารีนึกชื่นชมอยู่ในใจว่าพวกนาคนี่ก็ใจสู้ไม่เบา ถึงแพ้มากี่ครั้งก็ยังหาหนทางเอาตัวรอดจนได้ พอนึกถึงตรงนี้เธอก็ปรายตากลับไปมองสุบรรณ ขมวดคิ้ว แล้วจึงเอื้อมมือไปบีบคอเขาแน่นขึ้นเมื่อเห็นว่าเหมือนจะยังไม่ตายสนิท ร่างนั้นกระตุกอีกสองสามทีแล้วจึงค่อยนิ่งไปโดยสมบูรณ์
“ครุฑที่เหลือคงไม่ปล่อยวางง่ายๆ” จากนั้นหญิงสาวก็หันไปส่งยิ้มหวานให้เผ่านาคเบื้องหน้า “อยากได้ใครมาสนับสนุนเพิ่มอีกไหม เพื่อนๆ คราเคนแถบยุโรปเหนือเพิ่งบอกฉันว่าจะมาเที่ยวประเทศไทยช่วงปลายเดือนพอดีเลย”
หลังจบเรื่องแล้ว วารีก็ดำผุดดำว่ายล่องตามแม่น้ำเจ้าพระยา หยอกล้อกับฝูงปลาที่ว่ายตามเธอมาตลอดทาง กระทั่งถึงทางออกสู่ทะเลก็กางปีกบินขึ้นฝั่งชั่วคราว ลอบนำโครงกระดูกครุฑไปแยกเป็นส่วนๆ ทิ้งบริเวณโรงฆ่าสัตว์ ฉกผ้าขาวม้าของชาวบ้านสักคนแถวนั้นซึ่งตากทิ้งไว้มาฉีกเป็นแถบที่มีขนาดเล็กลง แล้วจึงลงมือพันแผลบนต้นแขนซ้ายอันเกิดจากกรงเล็บของสุบรรณ พอจัดการตัวเองเสร็จก็ค่อยบินร่อนมานั่งพักใต้ต้นสนริมชายหาด
วันนี้เหนื่อยมาก เธอนอนอาบแสงจันทร์ผ่องอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงค่อยยันตัวลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ ก่อนจะหลุดซี้ดปากเมื่อเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้นแขนยังมีแผลอยู่ ให้ตายสิ ผู้ชายคนนั้นนิสัยแย่จริงๆ รู้อย่างนี้ทำให้เขาได้สติคืนมาสักหน่อยระหว่างจมน้ำเสียก็ดี จะได้ลิ้มรสว่าวิธีตายที่ทรมานที่สุดน่ะมันเป็นยังไง
แต่ช่างเถอะ...ใครสักคนเคยเอ่ยไว้ว่านักรบย่อมมีบาดแผล ข้อเท็จจริงดังกล่าวแสนจะธรรมดาสามัญแต่ก็จริงที่สุด
ได้แต่หวังว่าผ้าขาวม้าคงจะพอช่วยซับความเจ็บปวดนี้ให้หายไปได้บ้าง
สายลมยามดึกหอบความเย็นเยียบและกลิ่นไอเค็มจากมหาสมุทรลอยเข้าปะทะจมูก ชายกระโปรงเดรสสั้นคลุมเข่าของหญิงสาวที่ยืนอยู่ริมหาดแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการกระพือขึ้นลง เส้นผมดำขลับยาวสยายถูกลมตีจนยุ่งเหยิง ดวงตาสีเขียวอมฟ้าไม่เหมือนชาวเอเชียของเธอทอดมองเบื้องหน้า มองไปยังเวิ้งน้ำอันไกลโพ้น
ถึงเวลากลับบ้านแล้วสินะ
ใต้แสงจันทร์กระจ่างที่ส่องกระทบผิวน้ำทะเลอ่าวไทยเป็นสีน้ำเงินเข้มเหลือบทองระยิบระยับ เธอคล้ายจะได้ยินเสียงเพลงจากความทรงจำ นอกจากนั้น ยังมีบางสิ่งกำลังเพรียกหาเสียงคลื่นกระทบฝั่งฟังเหมือนเสียงกระซิบเชิญชวนจากห้วงสมุทร
ในที่สุดรองเท้าแตะก็ถูกถอดทิ้งไว้เบื้องหลัง ท่อนขาเรียวยาวพาเจ้าของร่างก้าวลงสู่ทะเล
ก้าวเท้าตรงไป ลึกขึ้น ลึกขึ้นลึกจนน้ำท่วมตาตุ่ม ลึกขึ้น ลึกขึ้น ลึกจนน้ำท่วมหัวเข่า ลึกขึ้น ลึกขึ้นลึกจนน้ำท่วมเอว ลึกขึ้น ลึกขึ้น ลึกจนน้ำท่วมอก ลึกขึ้น ลึกขึ้น ลึกจนน้ำท่วมคอ
แผลสดบนต้นแขนซึ่งถูกพันไว้ลวกๆ ด้วยผ้าลายตาราง แสบแปลบอย่างร้ายกาจในช่วงแรกที่ต้องน้ำเค็ม แต่เธอไม่ใส่ใจอีกแล้ว รู้ดีว่าอีกเดี๋ยวมันจะไม่เป็นไร ท้องทะเลไม่เคยใจร้ายกับเธอ
ลึกขึ้น ลึกขึ้น...
หญิงสาวจมหายไป
พร้อมกับเสียงเพลงท่อนหนึ่งซึ่งดังแผ่วคลอไปกับสายลมและเกลียวคลื่น
"I'd like to be under the sea..."
****************************************************
1]บางส่วนจากบทกวีคำซ้ำเรื่อง "ปลา" ใน จ่าง แซ่ตั้ง. คำซ้ำ (ฉบับสองภาษา: ไทย - อังกฤษ). PAMELA ARCHER and GIOVANNI CUTOLO , บรรณาธิการ. แปลโดย MAYARA VISEKUL และ PRAKIN ZUMSAI(อัดสำเนา), 1967-1968.
[2] ความรู้สึกหลังทำงานเสร็จ
การต้องเขียนงานตามหัวข้อที่ถูกกำหนดให้ไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะมีวัตถุดิบมากมายที่จำเป็นต้องใช้ทั้งที่มันดูไปด้วยกันไม่ได้สักนิดต้องอาศัยการคิดนอกกรอบ &แถจนสีข้างถลอกไม่ใช่น้อย
ตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะเขียนเรื่องรักเศร้าๆ ประมาณว่าอกหักเลยมานั่งดื่มในบาร์แจ๊สริมแม่น้ำ อะไรทำนองนั้น
แล้วมันกลายมาเป็นสงครามข้ามเผ่าพันธุ์สุดแฟนตาซีที่มีทั้งของไทยและเทศได้ยังไง
นั่นสิ ฉันก็สงสัยเหมือนกัน อาจเป็นเพราะตามใจตัวเองมากไปหน่อยด้วย พอเห็นอะไรที่น่าจับมาเล่นก็รีบคว้าแล้วยัดใส่เรื่องเลย (จึงออกมายาวอย่างที่เห็น...) ส่วนจะเกลาให้เข้าธีมยังไงก็ไว้ค่อยว่ากันอีกที ตายเอาดาบหน้า 5555
ก็การได้เขียนในสิ่งที่ "อยากเขียน" บ้าง...มันสนุกกว่าการเขียนในสิ่งที่ "ต้องเขียน" แบบเพียวๆ ตั้งเยอะนี่นา
****************************************************
ผู้สนใจสามารถคลิกที่ชื่อเรื่องเพื่อเข้าถึงงานเขียนเรื่องนั้นๆ
ผลงานชุด “ชะตากรรม” ประกอบด้วยเรื่อง
- เรื่องสั้น “กรำชะตา” โดย พิชญา วินิจสร
- เรื่องสั้น “กำชะตา” โดย ณิชมน จันทวงศ์
ผลงานเรื่องอื่นๆ สืบเนื่องจากกิจกรรม "เล่นแร่แปรวัตถุดิบ"
ผลงานชุด “เด็กเด็กเด็ก” ประกอบด้วย
- ความเรียง “ฉันผิดที่เป็นเด็กสายศิลป์” โดย ธนวิชญ์ นามกันยา
- เรื่องสั้น “คุยกับเด็กในความทรงจำ” โดย ปิยภัทร จำปาทอง
- เรื่องสั้น “ดอกแก้วแลดาวเหนือ” โดย กัลยรัตน์ ธันยดุล
ผลงานชุด “LUNCH” ประกอบด้วย
- เรื่องสั้น “อาหารฝันกลางวัน” โดย ชัญญานุช ปั้นลายนาค
- เรื่องสั้น “อาหารกลางวันบนชั้น 21” โดย วรันพร ตียาภรณ์
- เรื่องสั้น “อาหารกลางวันที่เจ้าบ้านหายไป” โดย ณิชา เวชพานิช
ผลงานชุด “ความทรงจำ” ประกอบด้วย
- ความเรียงเรื่อง “ให้ความทรงจำเป็นเหมือน ‘ขยะ’” โดย สิริโชค โกศัลวิตร
- เรื่องสั้น “ชื่อที่ไม่มีวันลืม” โดย ปุณยาพรสุข ศาลาสุข
- เรื่องสั้น “This white dog and that white wolf” โดย พิมพ์ภาณิณ โชติมา
ผลงานชุด “ต้นไม้” ประกอบด้วยเรื่อง
- เรื่องสั้น “พักพิง” โดย บุณฑริกา จิตพินิจกุล
- เรื่องสั้น “ต้นไม้โตขึ้นบ้าง หรือ กระถางเล็กลงหน่อย” โดย ธีรศักดิ์ คงวัฒนานนท์
- เรื่องสั้น “ ‘กระถิน’ ปลูกลงดินไม่ได้” โดย จุฬารัตน์ กุหลาบ
ผลงานชุด “หมู่บ้านล้านดอก” ประกอบด้วย
- เรื่องสั้น “ดอกบัว” โดย นันทวัน มงคลสถิต - เรื่องสั้น “กะฮอม” โดย เมธินี โสภา - เรื่ิองสั้น “ดาวเรือง” โดย ณฐพร ส่งสวัสดิ์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in