เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เล่นแร่แปรวัตถุดิบ...รวมเรื่องชุดโดยนักเรียนเขียนเรื่องอ่าน-คิด-เขียน
ความทรงจำ: This white dog and that white wolf
  • เรื่องสั้นโดย...พิมพ์ภาณิณ โชติมา ลงานลำดับที่  17  ในคอลัมน์ "เล่นแร่แปรวัตถุดิบ" 
    คลิกเพื่ออ่าน.....บทนำ: เล่นแร่แปรวัตถุดิบ...รวมเรื่องชุดโดยนักเรียนเขียนเรื่อง 2018 ได้ที่นี่


    ไม่มีใครได้ยินเสียงหอนของหมาป่ามานานแล้ว ได้ยินครั้งล่าสุดเขาว่ากันว่าก็รุ่นคุณปู่นั่นล่ะ ตั้งแต่สมัยสงครามชิงบัลลังก์นู่นเลย ใครเกิดทันยุคนั้นจะรู้ดีว่าเจ้าของเสียงโหดเหี้ยมและดุร้ายมากเพียงใด ถ้าหากต้องมาได้ยินกันอีกครั้ง คงนั่งไม่ติดที่เป็นแน่ ตรงกันข้ามกับเด็กๆ วัยรุ่นวัยผู้ใหญ่ ที่เรียกร้องอยากได้ยินเสียงหอนนั้นซักครั้งหนึ่ง ฟังแล้วคงรู้สึกตื่นเต้น เกิดฮึกเหิมขึ้นมาแน่ๆ เพราะตามตำนานแล้วเสียงร้องนั้นน่ะ จะนำความพินาศมาให้ศัตรู และพาเสียงโห่ร้องยินดีของกลุ่มคนหนุ่มดังก้องตามมาด้วยเพียงแค่ออกปากว่าจะยอมติดตามเขาไป ก็จะเข้าร่วมงานฉลองอันไม่สิ้นสุดนี้ได้ จากคำบอกกล่าวนี้นี่แหละที่สร้างความหวังให้กับคนรุ่นนี้กันมาก จนเกิดกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันมารวมตัวกันอยู่ทั่วทุกหัวเมือง เพื่อโหมกระพือความหวังที่เคยเกิดขึ้นแล้วให้กลับมาลุกโชนอีกครั้ง

    ลึกเข้ามากลางป่าแต่ไม่ไกลจากที่พักชั่วคราวของผู้ปกครองอาณาจักร ในกระโจมผ้าสีขาวกะบังดูมอซอจากการผ่านการใช้งานมายาวนานแล้วนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนในวัยที่ไม่ต่างกันมากนัก แม้ใบหน้าจะดูเหนื่อยล้าแต่หากจ้องมองเข้าไปในดวงตาแล้ว จะเห็นประกายบางอย่าง หรืออาจกล่าวก็คือ ไฟได้ถูกจุดขึ้นในตัวผู้คนเหล่านี้แล้ว เสียงพูดคุยดังอยู่ทั่วบริเวณ แต่ที่มุมกระโจมอันเกือบจะเป็นจุดอับสายตานั้น มีชายผมสีดอกเลาคนหนึ่งในเสื้อคลุมขนสัตว์สีนวลเทานั่งมองทุกอย่างอยู่เงียบๆ แม้ภาพลักษณ์ภายนอกจะดูแก่ชราไปมาก แต่บุคลิกของเขายังคงความน่ายำเกรงและดูสง่าผ่าเผยอารมณ์มั่นคงอย่างคนผ่านเรื่องราวต่างๆมามากแสดงออกมาผ่านทางสายตา เป็นเหตุให้เขาดูไม่แปลกแยกจากบรรยากาศรอบตัวอีกทั้งยังกลมกลืนไปกับคนหนุ่มสาวภายในกระโจม หากมองลึกเข้าไปในตัวเขา ราวกับไฟในตัวเขาเคยลุกขึ้นมาแล้วและตอนนี้ยังคงคุอยู่คงที่ เขาขยับตัวเล็กน้อยหลังมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินตรงมานั่งลงที่ที่นั่งข้างๆเขา


    “คุณตา คุณตามาคนเดียวเหรอ” เสียงสดใสถามขึ้น ความกระตือรือร้นอันไร้เดียงสานี้ต่างหากที่ดูขัดแย้งกับคนในกระโจมเหล่านี้ ชายสูงวัยนั่งนิ่งและจ้องมองตรงไปด้านหน้า


    “ไอ้หนุ่มเอ็งนั่นแหละ มาเดินเล่นไกลนะ”


    “เฮ้ตา ผมรู้หรอกน่า ว่าเขามาทำอะไรกันที่นี่”


    “ข้าก็คิดว่าพอรู้จนกระทั่งมาเจอเอ็งเนี่ย ถึงไม่ค่อยแน่ใจ”


    “เขาก็มาชุมนุมเตรียมการล้มอำนาจราชินีกันไงล่ะ!


    “เฮ้อ ก็ถึงได้บอกไงว่าที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่น เกิดข้าเป็นคนของฝ่ายราชินีมาสอดแนมเจ้าก็เพิ่งปล่อยไก่ออกมาตัวเบ้อเร่อ”


    “แต่ตาไม่ใช่นี่ แก่ออกปูนนี้ แล้วผมก็เห็นตามานั่งตรงนี้ประจำมาสองสามวันแล้ว ผมเอาข้าวมาเผื่อตาด้วยนะ” คนสูงวัยกว่าถอนหายใจยาวผลักมือที่ถือจานข้าวของเด็กหนุ่มออกช้าๆ


    “ไม่เป็นไรขอบใจเอ็งมาก ว่าแต่ไอ้หนุ่ม เอ็งมากับใครรึ” จานข้าวจึงย้ายไปวางที่ที่นั่งข้างๆเด็กหนุ่มแทน เขาตักข้าวในมือตัวเองทานพลางคุยต่อ


    “มากับเพื่อนน่ะ จริงๆแล้วผมก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก แค่ช่วงหลังๆมานี้อะไรๆมันฝืดเคืองไปหมด ผมเลยหวังให้ชีวิตมันดีขึ้นมาบ้าง ทางนี้เป็นทางนึง พอเพื่อนพูดผมก็เลยตามมา”


    “ล้มราชินีนี่น่ะรึจะช่วยให้เอ็งมีกินกันขึ้นมาได้” อีกฝ่ายยักไหล่ หันมามองหน้าคุณตา


    “เค้าว่ากันมาน่ะ แต่ผมก็เห็นมันเป็นโอกาสนึงจริงๆ เหมือนสมัยเมื่อสงครามชิงบัลลังก์ที่กลุ่มหมาป่าขาวเคยทำไง”


    “พวกเอ็งหวังเอากับหมาป่าขาวเรอะ มันเรื่องสมัยไหนกันแล้ว”


    “เขาเป็นวีรบุรุษของการกบฎนะแค่อ้างชื่อเขา คนก็มีแรงใจกันแล้ว เขาเคยทำเพื่อชาวบ้านและชนะมาตลอด พวกผู้นำเลยใช้ชื่อของเขามาดึงคนไว้ด้วยกัน”


    “มันเป็นตำนานพวกเอ็งเกิดไม่ทันสมัยที่เขาลงมือทำจริงๆด้วยซ้ำ จุดประสงค์ที่เขาออกปราบคนที่เห็นต่าง ก็ต่างกับกลุ่มของพวกเอ็งในตอนนี้”


    “แต่ภาพในใจผู้คนมันเป็นอย่างนั้นไปแล้วนี่ตา จะว่าไปดูจากอายุคนในกระโจม ก็มีแต่ลุงนี่แหละมั้งที่เกิดทันยุคนั้น” เขามองไปรอบๆแล้วหันมาจับแขนชายสูงวัยด้วยดวงตาเปี่ยมความอยากรู้ “ตา! ตาเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังทีสิ”


    แต่มือของเขาพลันหลุดจากแขนของคุณตา เมื่ออีกฝ่ายลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและหันหลังออกจากกระโจมไป ผ้าคลุมขนสัตว์ของเขาสะบัดเล็กน้อย“ข้าจะกลับแล้ว”


    “อ้าวตา เดี๋ยวสิ ผมพูดอะไรไม่ดีออกไปรึเปล่า ตา ผมขอโทษนะ!” เขาตะโกนตามหลังไป แล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อนึกถึงอะไรขึ้นมาได้และบ่นกับตัวเองเบาๆ “ตรงนั้นมันมีช่องให้เดินออกไปได้ด้วยรึไงนะ”

     

     

    เมื่อชายแก่เดินออกมาจากกระโจมแล้ว เขาก็ตรงเข้าไปรวมกลุ่มกับชายวัยกลางคนอีกสามสี่คนที่หลบอยู่หลังต้นไม้ คืนนี้เป็นคืนเดือนมืดและพวกเขาอาศัยเพียงแสงสว่างที่ลอดออกมาจากกระโจมเท่านั้นในการเคลื่อนไหว พวกเขาน้อมคุกเข่าลงตรงหน้าและยื่นดาบยาวคืนให้แก่ชายสูงวัยในผ้าคลุมขนสัตว์


    “พรุ่งนี้เราจะมากันอีกครั้งหลังฟ้ามืด”เขาออกคำสั่ง และเดินนำกลุ่มไปขึ้นหลังม้าหายไปในความมืด

     

     

    ป่าที่ล้อมรอบที่พักชั่วคราวของผู้ปกครองอาณาจักรนั้นเงียบสนิท ยิ่งเป็นคืนที่ไร้ดวงจันทร์ส่องแสงยิ่งทำให้คบไฟจากหน้าทางเข้าปราสาทส่องสว่าง ชายชรานั่งมองแสงไฟนั้นอยู่ไกลๆจากหน้ากระท่อมของตน ข้างกายเขาเป็นหมาป่าสีขาวตัวใหญ่อายุมากที่อยู่กับเขามาตั้งแต่สมัยยังหนุ่มมันเป็นเหมือนคู่หูของเขาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมทำเรื่องราวต่างๆด้วยกันมามากมาย

    ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เขาลอบเข้าสังเกตการณ์การชุมนุมลับๆของเมืองนี้ เพราะเรื่องนี้กล่าวขานกันทั่วในหมู่ประชาชน เพียงแค่เดินเข้าไปในตัวเมืองและนั่งดื่มเครื่องดื่มสักถ้วยก็พอจะได้ยินเรื่องชุมนุมที่ต้องการเรียกร้องชีวิตที่ดีขึ้นจากราชินี เขาที่ถึงแม้จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ปกครองหญิงคนปัจจุบันอีกแล้วเพียงแค่ฟังก็อดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ แม้จะยังไม่มีแผนจะลงมือห้ามปรามอะไรชาวบ้าน แต่เขาก็เรียกประชุมลูกน้องเก่าและเริ่มสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนจนได้ที่ตั้งของกลุ่มชุมนุมมาได้ เขาเข้าไปนั่งสังเกตการณ์อยู่สองวันก็ได้ข้อมูลมามากโข เพราะคนในกระโจมพูดคุยกันเสียงดังเปิดเผย ว่าสาเหตุความไม่พอใจองค์ราชินีมาจากสถานการณ์เศรษฐกิจฝืดเคือง ราคาซื้อขายแพงขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนไม่มีกิน และทั้งหมดนี้เกิดจากความเพิกเฉยของราชินี เขาที่ตัดขาดจากโลกภายนอกมานานเมื่อมาได้ยินสาเหตุดังนี้ก็นึกฉงนใจ เพราะกระท่อมที่พักของเขาอยู่ไม่ห่างจากรั้ววังมากนักเขาเห็นว่าราชินีก็ยังส่งคนจากปราสาทไปทำงานต่างๆอยู่เป็นนิจ เป็นเรื่องที่ขัดจากสิ่งที่เขาเห็นยิ่งนัก และมีวันนี้ที่เขาได้ยินเรื่องใหม่จากเด็กหนุ่มนั่นก็คือ ผู้นำการก่อกบฎครั้งนี้ใช้ตำนานหมาป่าขาวมารวมผู้คน เขาลอบขำออกมาเบาๆคนพวกนี้ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ หรือไม่แน่ว่าผู้นำนั่นคงคิดว่าเจ้าของตำนานตายไปแล้วจึงคิดจะนำเรื่องราวนี้มาบิดเบือนอย่างไรก็ได้ เขาลูบหัวหมาป่าข้างตัวเขาเบาๆ

     

    “ข้าเองก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นนี้มานานแล้วเหมือนกันนะ” เขาหลับตาลงช้าๆ มือสอดเข้าไปในกระเป๋าผ้าคลุมขนสัตว์ที่มีกระดาษเก่าๆสองใบอยู่ด้านใน

     

    คืนวันผ่านไป...เขาก็ดูอยู่ไกลออกไปทุกที อาจเป็นเพราะนางนั้นสูงขึ้นและไม่มีเวลาจะก้มลงมองหาเขาเหมือนก่อน หรืออาจเป็นเพราะเขาและนางต่างทิศทางไปและเขาเองเริ่มออกเดินทางไกล... เช่นกัน

     

     

     

    -เมื่อห้าสิบปีก่อน-

    เสียงหอนของหมาป่าดังก้องแทนที่เสียงลั่นระฆังฉุกเฉินของเมืองหลวง ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องยินดีของคนหนุ่มในกลุ่มหมาป่าขาว ชาวบ้านที่หลบอยู่หลังประตูล้วนกอดคนที่ตัวเองรักและปิดหูอยู่ในที่พักของตนเอง ถึงแม้จะไม่เคยได้ยินว่ากลุ่มหมาป่าขาวเข้าสังหารประชาชน แต่เสียงฟาดฟันและเสียงร้องของทหารบนถนนหลักก็ดังชัดเจนในความรู้สึกพวกเขา วันนี้กลุ่มของคนทะยานอยากในบัลลังก์รุดมาถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่ว่าจะในหัวของคนเมืองหลวงคนใดต่างก็คิดเช่นนี้กันทั้งนั้น

    บลาซ หัวหน้ากลุ่มหมาป่าขาวยืนกำดาบยาวของตน พลางมองรอบกายเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าจะไม่มีศัตรูคนใดลุกขึ้นมาทำร้ายเขาและคนในกลุ่มของเขาได้อีก หลังมั่นใจว่าจบศึกแล้วเขาจึงเก็บดาบเข้าฝัก เรียกทุกคนให้ตามเขาออกจากเมืองไปหน้าที่ของเขาจบแล้ว เพียงแค่เรียกความสนใจของราชาและทหารให้มาอยู่นอกรั้ววังเพื่อให้เอ็ททา หรือพระราชธิดาองค์โตของรัชกาลก่อนได้มีโอกาสเข้ายึดอำนาจจากลุงของเธอ เขากำลังจะปีนขึ้นหลังม้าแต่ก็มีหญิงสาวในชุดดำปิดมิดชิดคนหนึ่งกระโดดเข้ามากอดเขาจากด้านหลังเอาไว้ บลาซซึ่งกำลังจะเอื้อมมือไปแตะดาบพลันหยุดมือหลังได้ยินเสียงหัวเราะจากเธอ


    “บลาซ! สำเร็จแล้วนะ!


    “เอ็ททาเจ้ามาทำอะไรนอกวัง แล้วยิ่งในเวลาแบบนี้” หญิงสาวยอมคลายอ้อมกอดลงเพื่อให้เขาหันมาเห็นหน้าเธอได้ชัดๆ “และเจ้าควรปล่อยข้า ตัวข้ามีแต่คราบเลือด”


    “เรื่องยึดอำนาจน่ะข้าทำสำเร็จตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามดี เขากลัวเจ้าและเสียงหอนนั้นมากนะ แค่ข้าเดินเข้าไปเขาก็แทบจะยอมทิ้งบัลลังก์ลงแล้ว และเรื่องคราบเลือดน่ะช่างเถอะ เพราะข้าก็ออกมาช่วยเจ้ารักษาคนเจ็บอยู่ก่อนแล้ว เปื้อนก่อนมากอดเจ้าเสียอีก”


    “เอ็ททาเจ้ากำลังจะเป็นราชินี เพิ่งยึดอำนาจมา ใครเขาออกมาตะลอนๆช่วยกบฏรักษาแผลกัน”


    “จะเป็นไรไปที่พวกเจ้ากบฏก็กบฏเพื่อข้า และเรื่องในวังข้าก็ฝากคนดูให้แล้ว มาแจ้งข่าวดีกับเจ้า แล้วค่อยกลับไปทำให้มันเป็นไปตามขั้นตอนก็ไม่เสียหาย”


    “มันกำลังจะเสียหายเพราะตอนนี้เจ้ามาอยู่ที่นี่เนี่ยแหละ กลับไปซะ” หญิงสาวหน้าบึ้ง เธอกระโดดขึ้นหลังม้าแล้วเชิดหน้าขึ้น


    “อยากให้ข้ากลับเข้าวังนักก็พาข้ากลับ กว่าข้าจะเดินกลับเอง คงไม่ทันใจเจ้ากระมัง” บลาซถอนหายใจพลางหันมามองลูกน้องที่อยู่รอบตัวเขา ทุกคนต่างทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งใดที่พวกเขาสนทนากัน เขาสั่งให้ทุกคนกลับไปพักผ่อนกันก่อนและเขาจะเข้าไปส่งองค์หญิงที่กำลังจะเป็นราชินีคนนี้ด้วยตัวเอง เขาปีนตามขึ้นไปนั่งประกบด้านหลังและออกตัว


    “ปิดหน้าเจ้าให้มิดเลยนะถ้ามีคนเห็นเข้า อย่าว่าแต่จะเป็นราชินีเลย องค์หญิงก็คงไม่มีใครอยากให้เจ้าเป็น นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่นนะ ทำตัวให้เหมาะกับสิ่งที่เจ้าเป็นด้วย” เขาเอื้อมมือไปดึงผ้าปิดหน้านางขึ้น ในขณะที่มืออีกข้างก็จับบังเหียนไปด้วย


    “เป็นสหายหรือเป็นพ่อข้ารึสั่งขนาดนี้ ข้าออกมาช่วยเจ้านะ!” เธอปัดมือเขาออกและดึงผ้าขึ้นมาปิดหน้าด้วยตัวเอง


    “พ่อเจ้าข้าก็เป็นได้ ถ้าเจ้าจะยอมเป็นเด็กดี ว่าง่ายได้บ้าง” มีเพียงเสียง เหอะดังออกมาเบาๆแทนคำตอบ


     

    ประตูวังเปิดโล่งสองคนบนหลังม้าจึงควบม้าวิ่งเข้าไปจนถึงพระราชวังชั้นใน หมาป่าขาวก็วิ่งตามเข้ามาด้วยหลังตามกลิ่นเจ้านายของตนจนเจอ


    “เจ้ารีบเข้าไปเถอะข้าเองก็จะกลับแล้ว เจอกันหลังจากนี้” เขากล่าวจากบนหลังม้าหญิงสาวหันมาตั้งใจจะกล่าวขอบคุณ แต่มีเสียงลูกธนูแหวกอากาศเข้ามาประชิดตัวชายหนุ่มเขาหลบทัน แต่ก็ยังคงเกิดบาดแผลลึก เอ็ททาตกใจหันมาเจอองรักษ์คนสนิทของตนน้าวคันธนูเล็งมายังสหายของเธอ


    “เจ้า! ทำอะไรน่ะ!


    “ใบหน้าของเขาปรากฎอยู่ทั่วไปตามประกาศจับ ข้าไม่คิดว่าจะจำหน้าเขาผิด บลาซ’ หัวหน้ากลุ่มกบฏ และยังมีหมาป่าขาวอยู่ข้างตัวเขาอีก ไม่มีทางผิดตัวเป็นแน่ องค์หญิงก็ออกห่างจากเขาเถิดพะยะค่ะ”


    “เขาเป็นสหายข้า! เขากับข้าเป็นพวกเดียวกันหากเจ้าเรียกเขาว่ากบฎ ข้านี่แหละที่เป็นผู้นำกลุ่มนี้เลย” เธอเข้ามายืนขวางทางธนูระหว่างองครักษ์ของเธอกับบลาซ “ห้ามเจ้าเล็งอาวุธใดๆมาหาเขาอีก”


    “องค์หญิง”เขายอมลดธนูลง กล่าวเสียงอ่อน


    “เจ้าเตรียมการถึงไหนแล้ว พรุ่งนี้เราจะต้องประกาศต่อประชาชนและเมืองต่างๆเรื่องเปลี่ยนราชบัลลังก์นะ” เธอเดินเข้ามายึดอาวุธในมือเขามาถือไว้เอง “และไปตามหมอหลวงมา พาเขาไปรักษาตัวด้วย”


    หลังเธอเดินหายไปชายสองคนก็ทำเพียงจ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้น


    “ข้าจะกลับแล้ว/ ท่านกรุณาลงจากหลังม้าด้วย”


    “ข้าจะกลับแล้ว”บลาซยังคงยืนยันคำเดิม


    “ท่านกลับข้าแย่แน่ ตามข้าเข้ามา” เขาเดินนำเข้าไปด้านในและไม่ได้หันกลับมามองอีก


    “คนในพระราชวังนี่ไม่มีใครคิดจะฟังคนที่คนอื่นเขาพูดซักคนเลยหรือไงนะ”บลาซยอมลงจากหลังม้า เขานำบังเหียนไปผูกกับต้นไม้และตบที่คอมันเบาๆ แล้วจึงเดินตามเข้าไปพร้อมหมาป่าขาว

     


    หลังทำแผลเสร็จเขาก็เตรียมจะออกจากพระราชวังไปแต่เอ็ททาเข้ามาพร้อมอาหารเบาๆให้เขาทาน บลาซถอนหายใจออกมาอีกเขาคิดว่ายิ่งออกไปจากที่นี่ได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แต่ว่าที่ราชินีองค์นี้กลับไม่ยอมให้เขาได้ออกไปเสียที


    “เจ้าพักเสียก่อนสิแล้วค่อยออกไป”


    “ข้าจะกลับแล้ว”เขาเตรียมจะลุก แต่หญิงสาวยื่นจานอาหารให้เขาถือเองและกดไหล่เขาให้นั่งลงอีกครั้ง


    “ทานก่อนแล้วค่อยกลับ” ชายหนุ่มก้มลงมองจานสลับกับใบหน้าฝ่ายตรงข้าม “เอ้า เร็วสิเดี๋ยวหายร้อนหมดหรอก นี่ข้าสั่งให้คนครัวทำด้วยตัวเองเลยนะ”


    “...เจ้าคิดว่าข้าจะดีใจอย่างนั้นเหรอ”


    “อื้ม ดึงดูดเจ้าด้วยอาหารในวัง เผื่อคราวหน้าเจ้าจะได้คิดกลับมาเยี่ยมเยียนข้าบ้าง”


    “เป็นแขกของราชินีนะเจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กอย่างนั้นเหรอ ที่จะให้ข้าติดต่อเข้าวังเพื่อมาทานอาหารเท่านั้นน่ะ”


    “ข้าเชิญเองก็ไม่มีปัญหาแล้ว เจ้าย้ายมาอยู่ใกล้เมืองหลวงนี้หน่อยสิ”


    “เจ้าคิดว่าตัวเองกำลังเลี้ยงหมาอยู่หรือไง เรียกให้มาก็ต้องมา เรียกให้กินก็ต้องกิน”


    “อื้มเจ้าหมาขาว เชื่อฟังข้าสิ ฟังที่ข้าพูดบ้าง”


    “ก็เพราะฟังตลอดถึงมานั่งอยู่ตรงหน้าเจ้าอย่างนี้ไงเล่า” เขาตักอาหารในมือเข้าปากไปหนึ่งคำ “อืม อร่อยดี” เอ็ททายิ้มกว้าง


    “ใช่มั้ยล่ะ เอ้อ แล้วชุดเจ้าน่ะ ทำไมถึงไม่มีใครเอามาให้เปลี่ยนเลยนะ” เธอเดินออกไปด้านนอกอีกครั้งหนึ่ง ปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพังกับหมาป่าขาว เขาทานจนหมดจาน เอ็ททาจึงกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง เธอกอดเสื้อผ้าเนื้อดีและผ้าคลุมขนสัตว์สีขาวผืนโตเข้ามาด้วย


    “เอ้าเปลี่ยนซะ ผ้าคลุมนี้น่ะ ข้าได้มาจากต่างแดน ข้ารักมากเลยนะแต่มันดูเหมาะกับเจ้ามากกว่า เพราะใครๆก็เรียกเจ้าว่าหมาป่าขาวใช่มั้ยล่ะ เพราะงั้นเอาไปใส่ซะ” หญิงสาวยื่นให้และนั่งลงข้างๆเขา


    “หมาป่าขาวน่ะเขาเรียกหมาป่าของข้าต่างหาก ไม่ใช่ข้า” เมื่อพูดถึง มันก็เงยหน้าขึ้นมาทำเสียงในลำคอเบาๆ


    “ใครๆเขาก็นึกว่าหัวหน้ากลุ่มหมาป่าขาวแปลงร่างเป็นหมาป่าขาวได้ในคืนพระจันทร์เต็มดวงด้วยนะ เจ้าว่านี่มันใช่เรื่องเล่นๆมั้ย ไอ้ความเหี้ยมโหดของเจ้ามันสร้างจินตนาการเกินจริงให้ชาวบ้านไปหมดแล้ว”


    “นำคนเขามารบนะ เขาฝากชีวิตกับข้ากันหมด มีภาพลักษณ์แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน”


    “แต่ก็เป็นได้แค่หมาในสายตาข้าเท่านั้นแหละหมาตัวสีขาว ขาว ขาว ขาว ขาว” เธอเอ่ยล้อ


    “ขอรับงั้นหมาตัวนี้ขอถามหน่อย ว่าเรื่องยึดอำนาจน่ะเรียบร้อยดีใช่หรือไม่ ข้าไม่ได้เข้ามายุ่งเรื่องในวังเพราะเจ้าขอไว้นะ”


    “แน่นอนสิตอนนี้กำลังคัดลอกจดหมายและประกาศต่างๆอยู่ รุ่งสางก็คงพร้อมแล้ว”


    “งั้นเจ้าก็ควรไปพักด้วยเช่นกัน จะเริ่มต้นรัชกาลใหม่ด้วยใบหน้าอิดโรยเช่นนั้นรึ”


    “นั่นสินะ หลังจากนี้ก็คงเหนื่อยกันอีกยาวแน่ๆ”


    “มีอะไรก็บอกข้า”เขากล่าวจริงจัง พลางมองเข้าไปที่ดวงตาฝ่ายตรงข้าม “เหนื่อยก็บอกข้าใครทำให้เหนื่อยก็บอกข้า อยากหาอะไรแก้เหนื่อยทำก็เรียกข้า”เธอตกใจอยู่ชั่วครู่ก็เผยรอยยิ้มออกมา


    “อื้ม รู้แล้ว ขอบใจเจ้ามากนะ ในจุดที่มีอำนาจมากขนาดนั้น ข้าคงเหงามากๆ ขอให้เจ้าอยู่ข้างกายข้าไปตลอดได้หรือไม่”


    “ข้ายินดีจะติดตามเจ้าตลอดไป ชีวิตข้ายอมยกให้เจ้า บัลลังก์นี้เป็นดั่งคำมั่นสัญญาระหว่างเรา


    ชายชราลืมตาขึ้นหลังได้ยินเสียงครางในคอหมาป่าข้างตัวเบาๆ เขาล้มทับเพื่อนยากของเขาพลางมองดวงดาวที่ชัดเจนเหลือเกินในคืนนี้ เขาได้ยินเรื่องตำนานหมาป่าขาวมานานแล้วก็จริง แต่ทุกครั้งก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ราวกับว่าความทรงจำนี้เขาได้เก็บเข้ากล่องและไม่ได้เปิดออกดูอีกเลยเขาไม่รู้ว่าการที่เขาเก็บมันไว้ลึกขนาดนั้นเป็นเพราะความทรงจำนี้มันมีค่ากับเขามากๆหรือเป็นเพราะมันความทรงจำที่แย่กับเขามากๆกันแน่ หลังผ่านเรื่องราวต่างๆมา หัวใจของเขาก็ไม่มีพื้นที่มากพอสำหรับการเก็บรักษาทุกอย่างอย่างดีตอนนี้เขากำลังคัดแยกขยะ ชั่งตวงวัดด้วยหัวใจ ระบุคุณค่าก่อนกดปุ่มลบทิ้งถาวรเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเจ็บอีก

    เช้าวันรุ่งขึ้นหลังเจ้าหญิงเอ็ททายึดอำนาจการประกาศสืบทอดพระราชบัลลังก์ของอาณาจักรเป็นไปอย่างราบรื่น เจ้าหญิงเอ็ททาได้กลายเป็นพระราชินีเอ็ททาโดยสมบูรณ์ แต่สิ่งที่เนื้อความในประกาศต่างไปจากการรับรู้ของประชาชน คือไม่มีการกล่าวถึงหัวหน้ากลุ่มกบฏหมาป่าขาวที่บุกรุกเข้ามาถึงพระราชฐานชั้นใน แม้ในเวลากลางคืนชาวบ้านส่วนใหญ่จะเก็บตัวอยู่ในที่พักของตนแต่หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างเงียบสงบลงกลับมีชาวบ้านพบหัวหน้ากลุ่มหมาป่าขาวควบม้าออกมาจากพระราชวัง ทำให้เกิดภาพจำของชาวบ้านในเมืองหลวงว่าเขาเป็นผู้กระหายอยากในบัลลังก์เข้าไปยึดอำนาจจากพระราชาองค์ก่อนถึงในรั้ววัง แต่เคราะห์ดีของอาณาจักรที่องค์หญิงเอ็ททาและองครักษ์ต่อสู้กับเขาจนสามารถรักษาตำแหน่งสูงสุดนี้ไว้ได้โดยไม่ตกไปอยู่ในมือของชายชั่ว ด้วยเหตุนี้ประชาชนจึงรักพระราชินีองค์ปัจจุบันเป็นอย่างมาก ยิ่งชื่อเสียงของพระราชินีขจรไกลข่าวลือเรื่องชายก่อกบฏนี้ก็ติดตามไปดั่งเงาตามตัว

     

    หลังผ่านไปได้สามฤดูหนาว บลาซมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงอีกครั้ง หลังตัดสินใจรับคำเชิญจากราชินีเอ็ททาให้เข้าพบเป็นการส่วนพระองค์ หรืออาจต้องกล่าวว่า จดหมายนั้นมีส่งมาอย่างต่อเนื่อง แต่เขายอมทำตามเนื้อความด้านใน ทั้งหมด’ เป็นครั้งแรก เพราะเขายังคงออกตระเวนไปตามเมืองชายแดนเพื่อจัดการกับพวกอำนาจเก่าของพระราชาองค์ก่อนไม่ให้คิดกระด้างกระเดื่องกับองค์ราชินีอีกมาตลอดเขาได้ข้อมูลเหล่านี้มาจากองค์ราชินี แต่เพราะเขาไม่ยอมเข้าไปพบเธอเสียที เธอจึงขู่จะไม่ส่งจดหมายมาหาเขาอีกและจะไม่มอบภารกิจใดให้ทำจนกว่าเขาจะยอมเดินทางเข้าพบเธอ

    หมาป่าขาวส่งเสียงหอนยาวเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองหลวง คนในเมืองหลวงเพียงแค่ได้ยินก็รีบหลบเข้าบ้าน ล็อคกลอนประตูหน้าต่างกันหมด ในความคิดของชาวบ้านแม้หลังการก่อกบฏครั้งใหญ่เมื่อสามปีก่อน ราชินีเอ็ททาจะปรามความทะยานอยากของพวกหมาป่านี้ไว้ได้ แต่เขายังคงก่อเรื่องที่ริมชายแดนอยู่ตลอด ภาพลักษณ์โหดเหี้ยมของเขาถูกนำมากล่าวในนิทานกล่อมเด็กต่างๆทำให้แม้แต่เด็กๆ เพียงแค่ได้ยินเสียงหมาบ้านหอนในเวลากลางคืนก็ร้องไห้จ้ายอมเข้านอนกันโดยดีเสียหมด

    คืนพระจันทร์เต็มดวงเหมาะสมกับการเดินทางเข้าเมืองหลวงยิ่งนัก บลาซสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ที่องค์ราชินีมอบให้เขาอยู่ตลอด หมาป่าขาวเงยหน้าส่งเสียงหอนลากยาวออกมาอีกครั้ง ก่อนบลาซและหมาป่าขาวจะละทิ้งคนอื่นๆไว้เบื้องหลังและลอบเข้าประตูเมืองหลวงไป

     


    เมื่อแอบเข้ามาได้ถึงพระราชฐานชั้นในชายหนุ่มพบว่าเอ็ททาสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีน้ำตาลยืนรอเขาอยู่หน้าตำหนัก เธอจามออกมาครั้งหนึ่งเพราะอากาศหนาวเย็น บลาซพร้อมสหายคู่ใจกระโดดตุบลงมาจากหลังคาส่งผลให้หญิงสาวตกใจจนตัวโยน


    “เจ้า!


    “ถวายบังคมฝ่าบาท” เขายกยิ้มมุมปากแล้วจึงก้มลงคำนับ เอ็ททาถอนหายใจ


    “ไม่เจอกันเสียนานเลยนะ”


    “อืม” ทั้งสองเดินตรงไปนั่งที่ชานเรือน “เมืองหลวงกับชายแดนใช้เวลาเดินทางด้วยม้าสิบวันจึงจะถึง เจ้ามีเหตุอันใดถึงต้องเรียกข้าเข้าวังทุกสิบห้าวันรึ”


    ได้ฟังดังนั้นหญิงสาวก็โมโหจนเอามือตบไปที่พื้นไม้ “ก็เพราะข้าเรียกเจ้าให้เข้าวังมาตั้งแต่หนึ่งเดือนหลังข้าเข้าพิธีราชาภิเษกเป็นผู้ปกครองอาณาจักรแล้วแต่เจ้าก็ยังไม่เข้ามาเสียทีเนี่ยน่ะสิเจ้าคิดว่าข้ายังควรจะรอเจ้ามาถึงสามปีหรือไม่ ต้องให้ข้าเดินทางไปหาเจ้าเองหรืออย่างไร”


    “แล้วเจ้ามีเรื่องอะไรรึ ในเมื่อเราก็ติดต่อกันทางจดหมายตลอดอยู่แล้ว”


    “เรื่องงานน่ะใช่ แต่เรื่องชื่อเสียงของเจ้าที่ทุกวันนี้ก็ยังคงถูกเรียกว่ากบฏอยู่ต่างหากที่กวนใจข้าเพราะเราร่วมมือกัน แต่ชื่อเสียงของข้ากลับกลายเป็นราชินีที่ดีปกครองอาณาจักรด้วยความร่มเย็น ทั้งๆที่งานสกปรกอะไรเจ้าก็เป็นคนรับทำหมด ข้าไม่สบายใจ”


    “นั่นก็เป็นอย่างที่มันควรเป็นแล้วไม่ใช่รึ”


    “แต่ข่าวลือพวกนั้นมันไม่ใช่เจ้า ข่าวลือล้วนลือกันไปผิดๆทั้งสิ้น”


    “ก็เพราะว่ามันเป็นข่าวลือจึงย่อมมีบิดเบือน แล้วเจ้าหวังอะไรจากชื่อเสียงของหมาป่าขาวรึ ในเมื่อเจ้าก็มีหมาตัวสีขาวตัวเดิมของเจ้าที่ภักดีและติดตามเจ้าอยู่ตลอดมา” เขาส่งยิ้มให้ เธอก้มมองมือของเขาที่ดูหยาบกร้านขึ้นและมีรอยแผลเป็นกระจายอยู่ทั่วไป


    “ข้าได้บัลลังก์มาแล้วไง ทำไมเจ้ายังต้องเอาตัวเข้าเสี่ยงตลอดแบบนี้”


    “มันเป็นคำสัญญาของข้าต่อเจ้าข้าจะรักษามันไว้ ตราบที่เจ้ายังเป็นราชินี” เอ็ททานั่งนิ่งไปชั่วครู่เธอเอามือสอดเข้าไปในแขนเสื้อ


    “พรุ่งนี้สายๆเจ้ามาพบข้าอีกทีได้หรือไม่”


    “ย่อมได้”


    “วันนี้ดึกแล้วเจ้าไปพักผ่อนก่อน คืนนี้ดูท่าหิมะคงตกแน่ รีบไปเถิด” เธอเอามือออกจากแขนเสื้อออกแรงผลักเขาจากด้านหลัง มือข้างหนึ่งเอื้อมไปด้านหน้าเล็กน้อย


    “เจ้าจะไม่ออกไปย่ำหิมะเล่นอีกใช่หรือไม่”


    “เจ้าคิดว่าตัวเองกำลังพูดถึงเรื่องเมื่อตอนไหนอยู่อย่างนั้นรึ”


    “ไม่รู้สิในหัวข้า เจ้าก็ยังวิ่งไปวิ่งมา ไม่สมเป็นราชินีแม้ซักนิด”


    “บังอาจ” ทั้งคู่ขำออกมาเบาๆ “เจ้ารีบไปเถิด จะรอจนหิมะถมทางจนเต็มหรือไง”


    ถนนพื้นสีขาวเหมาะกับหมาป่าขาว”


    “ไม่นี่ ข้าเห็นแต่หมาตัวสีขาว ขาว ขาว ขาว ขาว


    “จะให้ข้าหอนให้ฟังหรือไม่” เขาลูบหัวหมาป่าขาว สหายคู่ใจของตน เหมือนเตรียมจะบอกให้มันหอนดูซักที


    “ถ้าเจ้ายังไม่รีบไป ทั้งเจ้าและหมาของเจ้าคงเดือดร้อนแน่”


    “ขอรับฝ่าบาทกระหม่อมทูลลา” แล้วทั้งคู่ก็ลอบออกไปจากวังอย่างเงียบเชียบ ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้เอ็ททายืนกอดอกอยู่ที่เดิมอีกซักพักจึงเดินเข้าตำหนักไป


     

    เช้าวันรุ่งขึ้นหิมะตกทับปกคลุมพื้นถนนจนเป็นสีขาวโพลนไปทั่วทั้งเมืองหลวง ผู้คนต้องออกมาตักหิมะกันตั้งแต่รุ่งสาง และเช้านี้ก็มีเรื่องราวให้ชาวบ้านพูดคุยกันทั่วทุกหัวมุมซอกซอยว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงร้องของหมาป่าแต่ไม่เกิดการบุกโจมตีอะไรขึ้น พบเพียงรอยเท้าคนและสุนัขบนหิมะเท่านั้น ไม่อาจรู้ได้ว่าเวลานี้พวกกลุ่มหมาป่าขาวไปอยู่กันที่ใด ที่แตกต่างไปจากปกติก็คงมีเพียงกลุ่มทหารนอกเครื่องแบบที่แฝงตัวเข้ามาในกลุ่มประชาชนจำนวนมาก แต่ก็แยกได้ไม่ยาก ชาวบ้านที่มนุษยสัมพันธ์ดีต่างจากหน้าตาบึ้งตึงของพวกทหารลิบลับ

    สมาชิกกลุ่มหมาป่าขาวสองสามคนที่นั่งทานอาหารเช้าอยู่ในร้านได้ยินทุกอย่างและเตรียมจะกลับไปบอกให้ทุกคนระวังตัว แต่ระหว่างทางกลับพบหัวหน้าของตนเดินอย่างเปิดเผยอยู่บนถนนเมืองหลวงเสียอย่างนั้น ผ้าคลุมขนสัตว์สีขาวบนตัวช่วยปิดบังอาวุธที่เอวไว้ได้มิดชิด แต่อากาศหนาวเช่นนี้ไม่ใช่คนท้องถิ่นก็ปรับตัวได้ลำบาก เขาดึงกระชับผ้าคลุมเข้าหาตัวมากขึ้น


    “หัวหน้า” สมาชิกกลุ่มคนหนึ่งเรียกเขาไว้ และวิ่งตรงเข้ามาหาพร้อมคนอื่นๆ “หัวหน้าเข้ามาทำอะไรในเมืองเช่นนี้ มีคนรู้จักหน้าหัวหน้าอยู่มากมายไปหมด”


    “ข้ามีนัด” เขาตอบนิ่งๆ


    “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ควรออกมาเดินคนเดียวเช่นนี้ หมาป่าขาวเล่า”


    “ข้าให้มันนอนอยู่ที่กระท่อม พามันมาเดินในเวลานี้ สะดุดตาคนเกินไป”


    “หัวหน้ามาเดินในเวลานี้ก็สะดุดตาคนเหมือนกัน ตอนนี้มีทหารนอกเครื่องแบบอยู่เต็มไปหมด” เขาได้ยินดังนั้นก็มองรอบตัวเหมือนว่าพวกทหารเองก็ยังไม่ทันสังเกตพวกเขา


    “ข้าไม่อยากโจมตีหรือฆ่าใครในเมือง พวกเขาไม่ใช่ศัตรูของเรา” เขาหันหลังกลับไปเดินต่อ “เพราะฉะนั้นเราจึงควรทำตัวให้กลมกลืนไปกับพวกชาวบ้าน พวกเจ้าจะไปทำอะไรก็ไปเถิด คิดเสียว่ามาพักผ่อนก็ได้” ทุกคนมองหน้ากันเอง แล้วก็ตัดสินใจตามหัวหน้าของตนไป


    “พวกเราจะไปด้วย หากเกิดเรื่องฉุกเฉินขึ้น พื้นหิมะเช่นนี้ไม่มีใครคุ้นชิน อาจเกิดอันตรายได้”     บลาซหันมามองทุกคนแล้วยิ้มออกมา


    “ขอบคุณ”

     


    พวกเขาเดินมาจนถึงหน้าประตูวังก็พบว่าผู้คนบางตา แม้แต่ทหารก็น้อยลงอย่างผิดสังเกต


    “การป้องกันหละหลวมจริง ไปสอดแนมในเมืองกันหมดจนปล่อยประตูโล่งไร้คนเฝ้าเช่นนี้” สมาชิกกลุ่มคนหนึ่งกล่าวขึ้น บลาซเอื้อมมือมาจับฝักดาบ เขากลับเห็นแย้งกับลูกน้องด้านหลังของตน


    “ไม่ มันแปลกเกินไป”


    ทันใดนั้นก็มีเสียงระฆังฉุกเฉินดังขึ้น ทหารส่วนหนึ่งวิ่งออกมาจากบ้านคน ที่ผู้คนแถวนี้ดูบางตา คงเป็นเพราะว่าทหารได้ประกาศย้ายประชาชนออกไปจนหมดแล้วเพื่อเตรียมพื้นที่ให้เป็นสมรภูมิเล็กๆทุกคนหันหลังชนกัน เวลานี้ที่เขาไม่ได้พาหมาป่าขาวมาด้วย ก็ไม่อาจส่งสัญญาณขอกำลังเสริมใดๆได้ มีแต่ต้องพึ่งตนเองเท่านั้น เมื่อมีทหารวิ่งเข้ามาประชิดตัว ทั้งสี่คนก็เริ่มลงมือ ในระหว่างต่อสู้กันชายหนุ่มก็นึกถึงสิ่งที่เขาคุยกับเอ็ททาเมื่อคืนว่ามีสิ่งใดที่ผิดปกติหรือไม่ ทำไมอยู่ๆเขาจึงถูกโจมตีก่อนเช่นนี้ หลังผ่านไปได้ชั่วเวลาหนึ่งทั้งสี่ตัดสินใจจะหาทางถอย เพราะจำนวนของอีกฝ่ายมีมากเกินไป พลันองครักษ์ส่วนตัวของราชินีออกมายืนที่หน้าประตูวังอยู่บนหลังม้า บลาซและเขาสบตากัน รอยแผลเป็นจากลูกธนูที่เขาเคยฝากไว้ยังคงอยู่คงเปรียบเสมือนความโกรธเกลียดจากอีกฝ่ายที่ทิ้งเอาไว้บนตัวเขา บลาซแพ้ทางอาวุธธนู เขาโดนเข้าอีกดอกจากชายคนเดิม แขนของเขาใช้การไม่ได้ไปข้างหนึ่ง ลูกน้องอีกสามคนตกใจจนเกือบลืมต่อสู้กับศัตรู ทหารของราชินีอาศัยจังหวะบุกเข้าโจมตีพวกเขาอย่างต่อเนื่องจนสามารถจับกุมตัวพวกเขาได้

     


    บลาซโดนยึดเสื้อผ้าอาวุธทั้งหมดไปและถูกแยกขังเดี่ยว เขาชกผนังด้วยความหงุดหงิดใจ การเข้าเมืองหลวงครั้งนี้เสียหายใหญ่หลวงนัก เขาไม่กล้าคิดว่าคนสั่งการทั้งหมดคือเอ็ททา เพราะเมื่อวานทั้งคู่ยังดีๆกันอยู่ เคยพูดจาเล่นหัวกันอย่างไรก็อย่างนั้น เคยทำตัวใกล้ชิดอย่างไรก็อย่างนั้น...

    ใช่ เอ็ททาใกล้ชิดเขาน้อยเกินไปหน่อย หลังไม่ได้เจอกันถึงสามปีแต่เธอก็ไม่ได้โผเข้ากอดเขา และเธอยังใส่ผ้าคลุมขนสัตว์ปิดบังร่างกายอีก ถึงเธอจะชอบผ้าคลุมขนสัตว์มากขนาดไหน แต่เธอจะไม่ใส่มันออกมาข้างนอกแน่ๆ เธอห่มคลุมมันแค่ในตำหนัก แต่แล้วยังไงกัน เรื่องเล็กน้อยพวกนี้มันบอกอะไรเขาได้ สามปีเพียงพอที่การกระทำของคนจะเปลี่ยน เธอไม่จำเป็นต้องเป็นคนเดิมตลอด เขาครุ่นคิดเรื่องพวกนี้กลับไปกลับมาไปตลอดจนข้ามวัน

     

    วันรุ่งขึ้นหมาป่าขาวส่งเสียงหอนดังและยาวอย่างที่มันไม่เคยทำ ทุกคนต่างหวาดกลัว เพราะเมื่อวานทางการประกาศออกมาแล้วว่าหัวหน้ากลุ่มหมาป่าขาวถูกจับกุม แล้วเหตุใดวันนี้จึงมีเสียงหมาป่าหอนอยู่ในเมืองหลวงอีกเล่า วันนี้ชาวเมืองหลวงต่างก็ได้เห็นร่างหมาป่าขาวนี้อย่างใกล้ชิด มันวิ่งไปบนเส้นทางเดียวกับที่นายของมันเดินเท้าเข้ามาเมื่อวาน มันหยุดหอนเป็นระยะและตะกุยบนหิมะเปื้อนเลือดของเจ้านายมัน บลาซได้ยินเสียงเรียกจากคู่หูของเขาจากในคุกแล้ว ดวงตาเขาแดงก่ำเล็กน้อยจากการอดนอน สมองเขาแล่นได้ไม่ดีนัก เขามองไปรอบๆเพื่อหาทางหนีทหารในวังวิ่งวุ่นไปหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งทหารที่คุมนักโทษ เสียงหอนนี้มีผลกระทบในใจผู้คนมากเหลือเกิน ไม่นานทหารภายในวังก็ไปเตรียมรับมือที่รั้วปราสาทเกือบหมด แต่เมื่อออกมากลับพบเพียงแต่ความว่างเปล่าไม่พบคนหรือหมาป่าขาวแม้เงา


    ฝ่ายบลาซที่อยู่ในคุกใต้ดินกำลังลองถีบลูกกรงเหล็กเพื่อดูความแข็งแรงของมัน ตัวเปล่าเล่าเปลือยแบบเขาจะไปแหกคุกของวังหลวงนี้ออกไปได้อย่างไรกัน เขาลองตะโกนหาลูกน้องของเขาก็ได้ยินเสียงตอบรับกลับมา คงอยู่ไม่ไกลจากที่คุมขังของเขานัก ทุกคนเองก็กำลังหาทางหนีออกไปเช่นกันระหว่างนั้นทหารวังหลวงที่เป็นสายของบลาซก็วิ่งเข้ามา เขาเป็นทหารยศสูงนายหนึ่งที่บลาซให้คอยดูแลราชินีเอาไว้ และคอยส่งจดหมายให้เขารายงานความเป็นอยู่ของราชินีอย่างต่อเนื่อง เขาอาศัยจังหวะโกลาหลไปหยิบกุญแจมาไขให้บลาซหลบหนีออกไปได้

    “ขอบใจเจ้ามาก” ทหารนายนั้นค้อมศีรษะลง เขาสั่งให้ทหารไปช่วยลูกน้องของเขาอีกสามคนด้วยและให้ออกไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆที่เหลือ ส่วนบลาซวิ่งไปหยิบผ้าคลุมขนสัตว์และอาวุธของตน เขาทำทุกอย่างอย่างเร่งรีบ ตอนนี้เท้าของเขาก้าวไปในทิศทางตำหนักของราชินีเขาไม่รู้ว่าตอนนี้นางอยู่ที่ไหน แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าเธออาจจะอยู่ที่ห้องของตน

     


    เขากระชากประตูห้องของเอ็ททาออกอย่างแรงพบว่าเธอยังอยู่บนเตียงจริงๆ ใบหน้าของเธอบวมช้ำจากการร้องไห้ เธอหันมามองผู้บุกรุกอย่างตกใจแต่ก็กลับมายิ้มได้เมื่อเห็นหน้าเขา


    “บลาซ!


    “เจ้า” บลาซขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ นางอยู่ในวัง และน่าจะรู้ว่าเขาถูกจับกุมเหตุใดจึงไม่ไปช่วยเขา เขานึกโมโหนางอยู่ในใจแต่ดวงตาฉ่ำน้ำของเธอก็ทำให้ระดับความโกรธของเขาลดลงมาบ้าง “มีอะไรจะบอกข้าหรือไม่”


    “บลาซเจ้ายังไม่ตาย” เอ็ททารีบกระวีกระวาดจะลงจากเตียง จนลืมไปว่าสภาพของตนดูไม่เรียบร้อยนัก เธอคว้าเอาผ้าคลุมขนสัตว์สีน้ำตาลตัวเดิมมาห่มคลุมร่างกายเอาไว้ “ข้านึกว่าเจ้าตายไปแล้ว”


    “เจ้าหมายความว่ายังไง” เขาถอยหลังทุกครั้งที่เธอก้าวเข้ามา เธอจึงหยุดฝีเท้าและพยายามอธิบาย


    “เขาบอกว่าเจ้าถูกจับกุมแล้ว เขาประหารเจ้าทิ้งแล้ว”


    “เขาที่ว่าน่ะใคร องครักษ์ของเจ้ารึ” เธอพยักหน้า น้ำตาไหลลงมาอีก


    “ข้าไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นข้าวางแผนอะไรไว้นิดหน่อย ไม่นึกว่ามันจะกลับตาลปัตรเช่นนี้เจ้าปลอดภัยดีใช่หรือไม่” เธอก้าวเข้ามาอีก เขาหันไปเห็นเสื้อคลุมของชายที่ยกธนูขึ้นหาเขาเมื่อวานนี้อยู่ในห้องของเธอ เขาสูดลมหายใจลึก ยกฝักดาบขึ้นหาเธอ


    “เจ้าอย่าเข้ามาใกล้ข้า”


    “บลาซ”


    “สภาพเจ้าตอนนี้ไม่ควรมายืนคุยกับชายใดก็ตาม ทำตัวให้เรียบร้อยด้วย”


    “แต่เจ้าเข้าใจข้าใช่หรือไม่”


    “แล้วเจ้าทำได้อะไรที่ข้าควรเข้าใจผิดหรือไม่ อย่างเช่นว่า ไประเริงกับชายอื่นตอนที่รู้ว่าสหายของเจ้าถูกประหารเช่นนั้นรึ”


    “ไม่มันไม่ใช่เช่นนั้นบลาซ ตอนนั้นข้ากำลังเสียใจ”


    “ก็เลยไปมีความสัมพันธ์กับองครักษ์เจ้า” สายตาของเขาบ่งบอกว่าผิดหวังในตัวเธอเป็นอย่างมาก เสียงสะอื้นดังขึ้นเบาๆ เธอเองก็กำลังพยายามกลั้นมันไว้อย่างถึงที่สุด


    “เจ้าฟังข้าก่อนได้หรือไม่”


    “เชิญกล่าวเถิดฝ่าบาท”


    “เมื่อคืนก่อนที่เจ้ามาหาข้า ข้าแอบเอาจดหมายใส่ไว้ในเสื้อของเจ้า ข้ารู้สึกว่าองครักษ์ข้ากำลังวางแผนจะกำจัดเจ้า เลยบอกเจ้าไว้ก่อน”


    “แล้วท่านนัดข้ามาในวันรุ่งขึ้นอีกทำไม”


    “เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะเคลื่อนไหว ว่าเขามีแผนจะกำจัดเจ้าจริงๆ เขาต้องแอบฟังอยู่แน่ ข้าบอกไปในจดหมายนั้นแล้วว่าเจ้าควรพาคนมาด้วย”


    “ท่านหมายจะกำจัดเขาอย่างนั้นรึ”


    “ข้ารู้ว่ามันอันตรายเท่าที่ข้ารู้ เขาได้ขุนนางกับกำลังคนไปรวมกับเขาแล้วถึง 250 คนจากในพระราชวังเล็กๆนี้ อำนาจอยู่ในมือเขาเสียมากแล้วบลาซ ข้าไม่มั่นใจว่าจะปรามเขาได้ พอมารู้ว่าเจ้าตายแล้ว ข้าเลยคิดว่าอาจจะต้องทำเป็นร่วมมือกับเขาไปก่อนเพื่อไม่ให้เขาเหิมเกริมมากไปกว่านี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจข้าแล้วเลิกทำตัวห่างเหินกับข้าเสียที” เธอก้มหน้าลงอ้อนวอนราวกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่ไม่มีอำนาจในมือ บลาซลดดาบลงและเพิ่งคิดได้ว่าเขาปล่อยให้เธอตัวคนเดียวถึงเพียงนี้ได้อย่างไร เขาออกตะเวนตามชายแดนเพื่อเธอ แต่เธอกลับเจอปัญหามากมายอยู่ในวัง


    “เอ็ททาเจ้าอยากกำจัดเขาหรือไม่” เธอเงยหน้าขึ้น นิ่งไปชั่วครู่ แล้วจึงส่ายหน้าช้าๆ “แล้วเจ้าคิดอยากสละบัลลังก์บ้างหรือไม่” คราวนี้เธอส่ายศีรษะทันที เขาถอนหายใจ เอ่ยถามขึ้น “พี่น้องเจ้าก็มี ทำไมจึงยังรั้นจะสู้คนเดียว”


    “ส่วนหนึ่งข้าก็อยากจะแสดงให้เห็นว่าข้าเองก็ทำได้ อีกอย่างเขาบอกว่าเขาเองก็ต้องการใต้หล้านี้” ท้ายประโยคเธอลดเสียงเบาลง อีกฝ่ายขมวดคิ้วมุ่น


    “องครักษ์ของเจ้าน่ะรึ”แต่บลาซกลับเสียงเบายิ่งกว่า เธอพยักหน้า เขากำดาบในมือแน่น สุดท้ายก็ตะโกนออกไปอย่างเหลืออด “เจ้าคิดว่านี่เป็นสนามเด็กเล่นหรือยังไง ยึดอำนาจก็ยึดมาเล่นๆ พอคนใกล้ตัวเจ้าหวังจะได้อำนาจบ้าง เจ้าก็ยกให้เขาง่ายๆ แล้วดูสิ่งที่เขาทำกับเจ้าตอนที่เจ้าเสียใจซิ ถ้าหลังจากนี้เขาทำอะไรเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ไม่สนใจเจ้า ไม่สนใจราษฎร เจ้าก็จะยอมเขา ไม่ห้ามปรามเขาอีกใช่หรือไม่ นี่เจ้ารักตัวเอง รักอาณาจักร รักประชาชนบ้างหรือไม่!


    “บลาซ!  เจ้าไม่ได้เป็นคนอยู่ในวังนะเจ้าไม่เข้าใจหรอกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”


    “เจ้าเองก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าประชาชนตามชายแดนแร้นแค้นอย่างไรบ้าง พวกเขาตกเป็นเหยื่อทางการเมืองตามหัวเมืองต่างๆก็ไม่สุขสบายเหมือนคนในเมืองหลวง เจ้าไม่ควรยอมเขาง่ายๆ ที่เขาบอกว่าจะอยู่ข้างเจ้าเขาหมายความดังที่เขาว่าหรือไม่ก็ไม่รู้”


    “ข้าไม่ได้จะยกบัลลังก์ให้เขานะ เราแค่จะช่วยกันดูแลบ้านเมืองเท่านั้น” เกิดความเงียบขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ บลาซหลับตาลง ยากเหลือเกินที่จะกล่าวประโยคถัดมา


    “เจ้าก็แค่บอกว่าเจ้ารักเขา เอ็ททา ไม่เช่นนั้นเจ้าจะยอมเขาถึงเพียงนี้รึ” ชายหนุ่มหันหลังเตรียมจะเดินออกจากห้องไป หญิงสาวรีบวิ่งมากอดจากด้านหลังรั้งไม่ให้เขาไป


    “บลาซ! อย่าเพิ่งไปนะเจ้าเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของข้า อย่าจากข้าไปเลย เจ้าอยู่กับข้าที่วังนี้เลยก็ได้ เรื่องชื่อเสียงของเจ้า ข้าจะล้างมันให้หมด เจ้าจะอยู่ได้อย่างเปิดเผย ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆจากประกาศจับเช่นนี้อีก”


    “อยู่ที่นี่? อยู่ดูเจ้ารักกันอย่างนั้นรึ” หลังเริ่มเข้าใจความรู้สึกของสหายตน เธอก็ปล่อยอ้อมกอดนั้นช้าๆและจับผ้าคลุมของตัวเองให้แน่นขึ้น เธอกัดริมฝีปากตัวเองแน่น น้ำตาไหลรินออกมาอีก เธอรู้แล้วว่าเธอกำลังจะเสียเพื่อนรักคนนี้ไป


    “แล้วเรื่องชื่อเสียงอะไรนี่ก็ช่างมันเถอะ ข้าอยู่กับมันได้ หลังจากนี้เจ้าจะให้ข้าเป็นม้า เป็นวัว เป็นควาย จะจับข้าเทียม ยานพาหนะใดเพื่อคอยลากอาณาจักรให้เคลื่อนไปได้ข้าก็จะเป็นเพื่อเจ้า ขอเพียงให้เจ้าบอกข้า ข้าจะคอยช่วยเจ้าอยู่ข้างนอก และอย่าบอกให้ข้าเข้าวังอีกเลย เราไม่ต้องเจอกันแล้วก็ได้ อยู่ในนี้เจ้าก็มีคนที่พอพูดคุยด้วยได้อยู่แล้ว”


    “บลาซเจ้าไม่สงสารข้าเหรอ” เขาไม่แม้แต่จะหันมามองเธอด้วยซ้ำ


    “เจ้าจะยังมีหมาสีขาวของเจ้าอยู่เสมอ เอ็ททา ลาก่อน”


    เย็นวันนั้นสมาชิกหมาป่าขาวทุกคนกลับมาถึงกระท่อมอย่างปลอดภัย ทุกคนอยากออกเดินทางจากในเมืองหลวงทันที แต่หัวหน้าของพวกเขาบาดเจ็บ และการเดินทางเข้าป่าไปอีกครั้งในสภาพเช่นนี้ก็อันตรายเกินไป พวกเขาพักอยู่ที่นั่นอีกหลายวัน จนวันที่เขาจะออกจากเมืองหลวงไป บลาซก็เข้าไปเดินในเมืองหลวงเป็นครั้งสุดท้าย เขาแปลกใจที่เห็นว่าถนนสายหลักของเมืองหลวงกลายเป็นถนนสีขาว มีใบกระกาศจับกลุ่มหมาป่าขาว ใบปลิวของประชาชนที่กล่าวหาบลาซ และเอกสารทุกอย่างที่ว่าร้ายพวกเขาตั้งแต่สมัยสงครามชิงบัลลังก์อยู่เกลื่อนถนนไปหมด มันวางกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นและมีมากจนมองไม่เห็นพื้นถนนด้านล่าง เป็นดั่งคำสัญญาที่เอ็ททาทิ้งไว้ให้เขาก่อนจากกันว่าเธอจะล้างทุกข้อกล่าวหาที่ประชาชนของเธอว่าร้ายบลาซ เขาจะได้กลับมาใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาได้อีกครั้ง เขายิ้มออกมานิดๆและหยิบใบประกาศจับที่มีใบหน้าเขาใส่กระเป๋าเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวข้างเดียวกับที่มีจดหมายจากเธอทิ้งเอาไว้ อีกไม่นาน หมาป่าขาวคงถึงเวลาได้กลับมาเป็นหมาบ้านตัวสีขาวธรรมดาๆได้เสียที


    เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองเผลอหลับไป เพราะคู่หูของเขาถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจที่เขานอนทับลำตัวของมันต่างหมอนเช่นนี้ มันเลียหน้าเขาให้ตื่นและหวังจะลุกออกไปเสียเร็วๆ บลาซในวัย 68 ปียันตัวลุกขึ้นมาเก้ๆกังๆ และราวกับจะตัดสินใจเรื่องบางอย่างได้แล้ว เขาเอามือออกจากกระเป๋าผ้าคลุมขนสัตว์ เพราะไปคุยกับเด็กหนุ่มเมื่อค่ำนี้แท้ๆทำให้เขาเผลอนึกถึงเรื่องเก่าๆเสียยาวเหยียด แต่มันก็ทำให้เขารู้ว่าทุกอย่างที่เป็นเรื่องของเอ็ททาล้วนเป็นความทรงจำที่มีค่าจนเขาไม่สามารถกดปุ่มลบทิ้งถาวรได้ ขยะที่เป็นเหมือนของที่ระลึกในกระเป๋าเสื้อคลุมขนสัตว์ก็ยังอยู่มาตลอด เขาจะแทรกแซงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เขาดึงคู่หูให้ลุกขึ้นด้วย เดินเข้าไปในกระท่อม เริ่มประชุมแผนการโจมตีของกลุ่มหมาป่าขาวที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในรอบหลายสิบปี

    วันรุ่งขึ้นมีผู้คนเดินกันขวักไขว่มากกว่าเมื่อวานเกือบเท่าตัว เนื่องจากเมื่อช่วงหัวค่ำเป็นเวลากล่าวคำสุนทรพจน์ของผู้นำกลุ่มเป็นครั้งแรก เด็กหนุ่มเดินถือจานข้าวมาสองจานและตรงมาหาคุณตาของเขาได้ถูกต้องเหมือนเดิม


    “ตา! ตามาทันช่วงหัวค่ำรึเปล่าน่ะ” เสียงสดใสทักเขาก่อนอีกเช่นเคย ในขณะที่อีกฝ่ายขมวดคิ้วและถอนหายใจออกมาทันควัน


    “เอ็งยังเข้ามาคุยกับข้าอยู่อีกรึ” เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กหนุ่มก็หน้าตาตื่นหาที่วางจานข้าวหวังจะยกมือขอโทษคนตรงหน้าจริงๆจังๆสักที แต่ก็หาไม่ได้เลยก้มหัวปะหลกๆให้แทน


    “อ๊ะ ตายังโกรธผมอยู่สินะ ถึงผมจะไม่รู้ว่าตาไม่พอใจอะไรก็เถอะ แต่ผมขอโทษนะ แต่เมื่อหัวค่ำน่ะ สุดยอดจริงๆ ผมเพิ่งเคยเจอตัวหัวหน้าองครักษ์ของราชินีตัวเป็นๆครั้งแรก ยังหนุ่มอยู่เลยแท้ๆ แต่เท่สุดๆไปเลย”


    “นี่เอ็งตั้งใจจะทำอย่างที่เขาปลุกระดมกันจริงรึเปล่า ดูบรรยากาศรอบข้างกับสิ่งที่เอ็งเป็นซิ มันกำลังทำลายสิ่งที่คนในกระโจมเขาตั้งใจกัน”


    “ผมก็มีเป้าหมายเดียวกัน มันต่างกันตรงไหนล่ะตา”


    “ข้าฟังแล้วที่พวกเอ็งตั้งใจจะทำมันต้องอาศัยการนองเลือด มันมากกว่าแค่กบฎนะไอ้หนุ่ม ไอ้พวกนี้มันตั้งใจจะปฏิวัติ เอ็งจับดาบได้อย่างนั้นรึ”


    “...ทุกคนคงทำได้แน่ แต่ดาบที่ผมมีมันใช้ฆ่าคนไม่ได้หรอก ผมอยากช่วยอยู่ข้างหลังมากกว่า”


    “อย่างกับเขาจะปล่อยให้เอ็งอยู่ข้างหลังได้ เมื่อถึงเวลาจริงๆ อย่าว่าแต่จะจับดาบเลย แม้แต่เสียมแต่พลั่วเอ็งก็ต้องงัดมันขึ้นมาฆ่าคนให้ได้เพื่อสนองอุดมการณ์ที่เอ็งมีอยู่ เท้าที่ก้าวเข้าสู่การปฏิวัติแล้ว มันถอยออกมาไม่ได้หรอกนะไอ้หนุ่ม”


    “ตาเองก็จะเข้าร่วมกับพวกเรา จับดาบจับอาวุธขึ้นสู้ใช่มั้ย”


    “ความต้องการของข้ามันไม่ตรงกับสิ่งที่หัวหน้าองครักษ์ปลุกใจพวกเอ็งทุกคนหรอก” ชายชราก้าวถอยหลังช้าๆไปชิดผนังกระโจม เขาแหวกผ้าคลุมขนสัตว์มือเอื้อมไปจับด้ามดาบที่เอว 

    “ข้าไม่ได้ต้องการการปฏิวัติ ไม่ได้หวังให้ประชาชนอยู่ดีกินดี เอ็งฟังที่ไอ้คนทรยศมันพูดแล้วก้มหน้าดูจานข้าวในมือเอ็งเถอะว่าพวกเอ็งกำลังอดอยากจริงหรือเปล่า มันกำลังหลอกใช้พวกเอ็ง ตีสองหน้าเข้าหาราชินี โป้ปดฉ้อฉลทุกอย่างเพื่อตัวของมันเอง” ดาบสีเงินวาววับถูกดึงออกมาจากฝัก คนรอบข้างต่างกรีดร้องตกใจ เขายกดาบในมือขึ้นจนสุดแขนและหันไปฟันผนังกระโจมผ้าสีขาวกะบังนั้นจนขาดเป็นรอยยาว


    “สิ่งเดียวที่ข้าหวังนั้นก็คือ บัลลังก์ของราชินียังคงต้องเป็นของราชินี ตราบเท่าที่นางยังต้องการข้าจะรักษามันไว้ในมือนาง” จากรอยขาดนั้นผู้คนในกระโจมเห็นดวงตานับสิบคู่เปล่งประกายในความมืด และสิ่งที่สะท้อนแสงจันทร์ในคืนเดือนดับได้ชัดเจนยิ่งกว่าก็คือดาบในมือคนเหล่านี้ และด้านหลังสุดปรากฎร่างหมาป่าสีขาวตัวใหญ่ยืนอยู่บนเนินเตี้ยๆ มันเงยหน้าส่งเสียงหอนอย่างที่เคยทำเหมือนในเรื่องเล่าของคุณตาคุณยาย เสียงหอนลากยาวและสยดสยองในโสตประสาทคนฟัง เสียงร้องซึ่งพาความพินาศมาให้ศัตรู เสียงร้องซึ่งพาเสียงโห่ร้องยินดีของกลุ่มนักรบที่ยอมติดตามชายชรา

     


    “และเพื่อตอบสนองความหวังนั้น ข้ามีวิธีของข้า

     


    สายตาของเด็กหนุ่มสะท้อนแววหวาดกลัวไปจนถึงก้นบึ้ง จานข้าวในมือหลุดร่วงไปอยู่ที่พื้น ก่อนที่เสียงหอนจากหมาป่าขาวจะดังขึ้นอีกครั้งเป็นดั่งสัญญาณเริ่มต้นงานเลี้ยงฉลองเพื่อราชินี มันกำลังจะเริ่มต้นอีกครั้งด้วยความตั้งใจเดิมสมัยเมื่อครั้งสงครามชิงบัลลังก์


    กว่าจะเป็นงานเขียนชิ้นนี้

    เรื่องราวสุดท้ายของซีรีย์ความทรงจำค่ะ :) ตอนเขียนรู้สึกว่าบางครั้งเราก็เก็บความทรงจำที่สำคัญมากๆไว้เสียลึกและไม่ได้เอามาเปิดดูเลย แต่ถ้าเราเรียกคืนความทรงจำกับความรู้สึกเมื่อตอนนั้นกลับมาได้ (โดยอาจจะอาศัยของที่ระลึกที่คงดูเป็นขยะไปแล้ว) ความตั้งใจแล้วก็ความมุ่งมั่นที่เคยมีจะต้องกลับมาได้แน่ๆ แล้วเรื่องที่เราทำในปัจจุบันก็มักจะมีพื้นฐานมาจากประสบการณ์กับความทรงจำในอดีต มันตัดกันไม่ขาด เพราะงั้นถ้าเราคงลืมตัวตนในอดีตเราไปไม่ได้ ก็อยู่กับมันให้ได้ อาศัยมันเป็นแรงผลักดัน แล้วไปต่อกันเถอะ เย้

    ฝ้าย

    ---------------------------------------------------

    ผู้สนใจสามารถคลิกที่ชื่อเรื่องเพื่อเข้าถึงงานเขียนเรื่องนั้นๆ  

    ผลงานชุด “ความทรงจำ” ประกอบด้วย
    - ความเรียงเรื่อง “ให้ความทรงจำเป็นเหมือน ‘ขยะ’” โดย สิริโชค โกศัลวิตร   
    - เรื่องสั้น “ชื่อที่ไม่มีวันลืม” โดย ปุณยาพรสุข ศาลาสุข 
    - เรื่องสั้น This white dog and that white wolf โดย พิมพ์ภาณิณ โชติมา

    วัตถุดิบ
    - บทกวีคำซ้ำเรื่อง ขาว” ของ จ่าง แซ่ตั้ง
    - บทกวีเรื่อง ขยะบางชิ้นถูกเก็บรักษาอย่างดี” ของ โรสนี นูรฟารีดา
    - ความเรียงเรื่องนักเดินทางน้อยๆ...ต้อยติ่ง”  ของ รักษิตา 
    - คำว่า เทียม” ในคลังคำ ของ รศ.ดร.นววรรณ พันธุเมธา

    -----------------------------------------

    ผลงานเรื่องอื่นๆ สืบเนื่องจากกิจกรรม "เล่นแร่แปรวัตถุดิบ"

    ผลงานชุด “ต้นไม้” ประกอบด้วยเรื่อง 

    - เรื่องสั้น “พักพิง” โดย บุณฑริกา จิตพินิจกุล
    - เรื่องสั้น  “ต้นไม้โตขึ้นบ้าง หรือ กระถางเล็กลงหน่อย” โดย ธีรศักดิ์ คงวัฒนานนท์
    - เรื่องสั้น  “ ‘กระถิน’ ปลูกลงดินไม่ได้” โดย จุฬารัตน์ กุหลาบ

    ผลงานชุด “หมู่บ้านล้านดอก” ประกอบด้วย

    - เรื่องสั้น “ดอกบัว”  โดย นันทวัน มงคลสถิต                                                                                                 - เรื่องสั้น “กะฮอม”   โดย เมธินี โสภา                                                                                                                  - เรื่ิองสั้น “ดาวเรือง”  โดย ณฐพร ส่งสวัสดิ์ 


    ผลงานชุด “ชะตากรรม” ประกอบด้วยเรื่อง 
    - เรื่องสั้น “กรำชะตา” โดย พิชญา วินิจสร 
    - เรื่องสั้น “กำชะตา” โดย ณิชมน จันทวงศ์ 


    ผลงานชุด “เด็กเด็กเด็ก” ประกอบด้วย
    ความเรียง ฉันผิดที่เป็นเด็กสายศิลป์” โดย ธนวิชญ์ นามกันยา 
    - เรื่องสั้น คุยกับเด็กในความทรงจำ”  โดย ปิยภัทร จำปาทอง 
    - เรื่องสั้น ดอกแก้วแลดาวเหนือ”  โดย กัลยรัตน์ ธันยดุล  


    ผลงานชุด “LUNCH” ประกอบด้วย 

    - เรื่องสั้น “อาหารกลางวันบนชั้น 21” โดย วรันพร ตียาภรณ์  
    - เรื่องสั้น อาหารฝันกลางวัน” โดย ชัญญานุช ปั้นลายนาค  
    - เรื่องสั้น “อาหารกลางวันที่เจ้าบ้านหายไป” โดย ณิชา เวชพานิช





เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in