เรื่องสั้นโดย...เมธินี โสภา ผลงานลำดับที่ 5 ในคอลัมน์ "เล่นแร่แปรวัตถุดิบ"
คลิกเพื่ออ่าน.....บทนำ: เล่นแร่แปรวัตถุดิบ...รวมเรื่องชุดโดยนักเรียนเขียนเรื่อง 2018 ได้ที่นี่
ตอนที่ประตูหมู่บ้านเปิดออก ผมกำลังยืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่นั้นด้วยท่าทีทุลักทุเล หลังของผมถูกกดทับด้วยกระเป๋าเป้สีดำใบใหญ่ ไหล่ของผมเอนเอียงไปอีกข้างเพราะกระเป๋าสะพายข้างที่มีไว้ใส่ของจุกจิก มืออีกข้างถือกล่องใส่เครื่องมือทำงานที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก แว่นตาของผมขุ่นมัวไปด้วยเศษฝุ่นจากลมที่พัดมาอย่างแรงราวกับจะมีพายุ ภาพแรกที่พบเห็นในสถานที่แห่งนี้ทำให้ผมตกอยู่ในภวังค์ ผมมองภาพที่อยู่ข้างหน้าด้วยความโหยหา ภาพที่ปรากฏคือภาพของบ้านเรือนกึ่งเก่ากึ่งใหม่ บ้านเรือนที่ผมเคยอาศัยอยู่และคุ้นเคย ที่แห่งนี้ยังคงเหมือนเดิม เหมือนกับที่ผมเคยจากมา
ผมเดินผ่านประตูไม้ของหมู่บ้านเข้าไป วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมพัดแรง ราวกับพายุจะเข้า ผมรีบจ้ำเท้าหวังจะไปถึงประตูบ้านให้เร็วที่สุดก่อนที่ฝนจะซัดโครมลงมา ลำพังตัวผมเปียกผมไม่กลัวหรอก แต่ถ้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ข้างในเปียกผมคงอกแตกตายแน่ ๆ
ระหว่างที่ผมกำลังจ้ำเท้าด้วยความเร่งรีบ ชาวบ้านหลายคนที่อยู่ตรงหน้าผมกลับเร่งรีบมากกว่า ท่าทีของพวกเขาไม่ใช่แค่เดินเร็ว มันเป็นการเดินกึ่งวิ่ง ที่ในที่สุดกลายเป็นการวิ่ง
“จะไปไหนกันหรือครับ” ผมตะโกนถามผู้ชายคนหนึ่งที่มีท่าทีเร่งรีบ
“ตอนนี้ที่ลานหมู่บ้านกำลังเกิดเรื่องใหญ่ เขาจะเผาไล่แม่มดเด็กกัน รีบไปดูเถิด เดี๋ยวจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่องนะ” ผู้ชายคนนี้พูดยังไม่ทันจบประโยคผมก็รีบถามเพราะความอยากรู้ทันที
“เดี๋ยวก่อนครับ ทำไมถึงต้องเผาด้วย แล้วรู้ได้อย่างไรว่าคน ๆ นั้นเป็นแม่มด”
“ก็ดอกกะฮอมศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านหายไปอย่างไร้ร่องรอยน่ะสิ”
“ดอกกะฮอมศักดิ์สิทธิ์” ผมทวนคำอย่างสงสัย
“ใช่แล้ว ดอกกะฮอมศักดิ์สิทธิ์ คนกรุงอย่างคุณคงไม่รู้จักดอกไม้นี้สินะ ดอกกะฮอมเป็นดอกไม้ในตำนานหมู่บ้านของเรามานานแล้วล่ะ ปู่ย่าตายายเขาเล่าว่าดอกไม้นี้เป็นดอกไม้ที่เกิดขึ้นมาพร้อมหมู่บ้านแห่งนี้ และยังเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยคุ้มครองให้หมู่บ้านสงบสุขด้วยนะ แต่ว่าตอนนี้มันสูญพันธ์ไปหมดแล้ว เหลือก็แต่ดอกศักดิ์สิทธิ์ในกระถางที่อยู่ที่ศาล ดอกที่ไม่เน่าไม่เปื่อย เหลืออยู่ดอกเดียวในหมู่บ้าน” คุณลุงอธิบายต่อ
“แล้วดอกกะฮอมศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวอะไรกับแม่มดด้วยล่ะครับ”
“ก็ดอกกะฮอมศักดิ์สิทธิ์หายไปน่ะสิ คืออย่างนี้ไอหนุ่ม มันเป็นตำนานที่คนเฒ่าคนแก่เขาเล่ากันมาตั้งนานแล้วว่า หากมีแม่มดอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ดอกกะฮอมจะหายไป และถ้าดอกกะฮอมหายไปหมู่บ้านของเราก็จะมีแต่ความชิบหาย ฝนจะไม่ตกตามฤดูกาล โรคระบาดจะเกิดขึ้น และคนก็จะแตกแยก เอ็งพึ่งมาเอ็งคงไม่รู้สินะว่าช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้หมู่บ้านของเรามีโรคระบาดคนล้มตายไปเยอะ แล้วชาวบ้านยังก็ยังแบ่งฝั่งแบ่งฝ่าย กลายเป็นคนสองพวก ทะเลาะกันไม่จบสิ้น”คุณลุงเล่าให้ผมฟังอย่างตั้งใจ
“น่ากลัวจริง ๆ ” ผมหมายความตามที่พูด
“ก็นั่นแหละ วิธีแก้ก็คือต้องขอขมาดอกกะฮอมศักดิ์สิทธิ์ โดยการกำจัดแม่มดเด็กออกไปจากหมู่บ้าน หรือไม่ก็เซ่นไหว้ด้วยเลือดมนุษย์ในคืนพระจันทร์เต็มดวง ตอนนี้เห็นว่าจับตัวนังแม่มดได้แล้ว ก็คงต้องดูว่าเขาจะทำอย่างไรกันต่อไป ทุกคนเขาก็คงไม่อยากทำอะไรเด็กนั่นหรอก แต่ในเมื่อความสงบสุขของคนส่วนใหญ่มันเป็นเรื่องสำคัญ เด็กคนนี้ก็คงต้องโดนไปตามระเบียบ”
“แล้วทำไมถึงรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นแม่มดล่ะครับ”
“ก็นังเด็กคนนี้มันเป็นแม่มด ทุกคนในหมู่บ้านรู้กันทั้งนั้น มีคนเคยเล่าว่ามันเป็นเด็กที่มาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่ทีที่มาที่ไป เห็นมันอีกทีก็ชอบมากินของเซ่นไหว้ตามศาลในหมู่บ้าน มีคนเคยเห็นมันแอบกินของเซ่นที่ศาลดอกกะฮอมศักดิ์สิทธิ์ด้วนะ แล้วหน้าตามันก็อัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวอย่างกับปีศาจ แววตามันนะเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อคนมอง เขาเล่ากันอีกนะว่า เคยเห็นเด็กคนนี้ท่องมนต์คาถาใส่คน ตายกันไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้ว ถ้าเอ็งอยากรู้ก็ไปที่ลานหมู่บ้านสิ เห็นสภาพมันแล้วเอ็งจะเข้าใจว่าข้าไม่ได้โกหกตอแหล”
พูดจบคุณลุงก็รีบวิ่งไป
“แม่มดเนี่ยนะ นี่มันยุคไหนแล้ว ทำไมถึงมีคนที่โดนกล่าวหาว่าเป็นแม่มดได้อีก”
ผมคิดไม่ตกกับเรื่องที่ได้ฟังมา ผมเดินไปคิดไปจนในที่สุดก็ถึงหน้าที่พักของผมเอง ผมดูเลขบ้านและเช็คหมายเลขกุญแจที่ได้รับมาตั้งแต่หน้าประตู เมื่อตรงกันผมจึงเปิดเข้าไปด้านใน ผมวางของทั้งหมดไว้ที่โต๊ะที่อยู่หน้าห้อง เมื่อแน่ใจแล้วว่าเครื่องมือทางการแพทย์จะไม่เปียกและเสียหายถ้าหากฝนตกลงมาแน่ ๆ ผมจึงรีบวิ่งไปลานบ้านเหมือนกับชาวบ้านคนอื่น ๆ
เพียงเวลาไม่นาน ผมก็มาถึงลานหมู่บ้าน ลานแห่งนี้เป็นลานที่ปูด้วยพื้นคอนกรีต มีพื้นยกระดับปรากฏตั้งอยู่ตรงกลางลาน ดู ๆไปพื้นที่ก็มีขนาดไม่ใหญ่เท่าไหร่ และชาวบ้านที่มากันอย่างล้นหลามและพยายามเบียดเสียดเข้าไปอยู่ตรงกลางก็ยิ่งทำให้พื้นที่แห่งนี้ยิ่งดูเล็กและน่าอึดอัดเข้าไปอีก
ด้วยความที่ผมเป็นผู้ชายร่างเล็ก ผมจึงใช้ความคล่องแคล่วนั้นให้เป็นประโยชน์ ผมพยายามเบี่ยงตัวเป็นด้านข้างและแทรกตัวผ่านชาวบ้านหลายคนจนมาอยู่ข้างหน้า นี่แทบจะเป็นครั้งแรกที่ความแคระแกรนอันเป็นเป็นจุดด้อยที่คนอื่น ๆ ล้อผม กลับมีประโยชน์กับความอยากรู้อยากเห็นของผม
“อย่างที่ทุกคนรู้กัน ในช่วงที่ผ่านมา หมู่บ้านของเราประสบกับภัยพิบัติไม่จบสิ้น มีโรคระบาดเกิดขึ้น และคนในหมู่บ้านยังหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยอีก และที่สำคัญ ดอกกะฮอมศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านที่เก่าแก่กว่า 1000 ปีได้หายไปด้วย”
ชายคนหนึ่งพูดคล้ายปลุกใจชาวบ้านด้วยน้ำเสียงขึงขัง เสียงของเขาดังกังวาลสะท้อนผ่านเครื่องเสียงที่ตั้งกระจายอยู่ 4 ทิศกลางหมู่บ้าน
“เรื่องราวร้าย ๆ ที่เกิดขึ้น เกิดเพราะหมู่บ้านของเรามีตัวกาลกิณีและแม่มดร้ายอาศัยอยู่” เมื่อจบประโยคมีเสียงคนโห่ตามเป็นระยะ
“แม่มดร้ายตัวนี้สร้างความชิบหายให้หมู่บ้านของเรา เพราะความชั่วร้ายของมัน ทำให้ดอกกะฮอมศักดิ์สิทธิ์ไม่พอใจ และดลบันดาลให้เกิดสิ่งร้าย ๆ ในหมู่บ้านของเรา พวกเราในฐานะคนที่อาศัยบารมีของดอกกะฮอมมาเป็นเวลานาน ต้องจัดการปัญหานี้ให้สิ้นซาก เราต้องทำให้หมู่บ้านของเราสงบดังเดิม” ชาวบ้านโห่ร้อง ปรบมือราวกับอยู่ในเวทีปราศรัยอย่างนั้น
“ดังนั้น เราต้องกำจัดแม่มดตัวนี้ให้สิ้นซาก เราต้องเอาเลือดของมันมาเซ่นไหว้และขอขมาต่อดอกกะฮอมศักดิ์สิทธิ์” เสียงเฮดังแบบที่ผมต้องปิดหู
นำเลือดมาเซ่นไหว้หรอ หมายความว่าเด็กคนนี้จะต้องเจ็บตัวใช่ไหม นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมทุกคนถึงเห็นด้วยกับการทำแบบนี้ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าเป็นจริงหรือเปล่าด้วยซ้ำ ผมยอมไม่ได้ ผมต้องทำอะไรสักอย่าง นี่มันไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว ผมพยายามก้าวขาขึ้นไปบนพื้นยกระดับตรงกลางลาน ก้าวขึ้นไปบนที่ ๆ ทุกคนจับจ้อง
“เอ็งเป็นใคร ขึ้นมาบนนี้ทำไม ลงไป!!” บุคคลที่ถือไมค์อยู่ก่อนหน้าพยายามไล่ผมลงจากที่ตรงนั้น เขาเหมือนจะเรียกคนเพื่อมาลากตัวผมไป
“ผมชื่อแทน เป็นลูกของผู้ใหญ่บ้านแห่งนี้ ผมเคยอยู่ที่นี่ตอนที่ผมเป็นเด็กและได้ออกไปเรียนวิชาการแพทย์ หลายคนคงจะรู้ว่าเมื่อเดือนก่อนพ่อของผมท่านเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ ผมจึงรีบกลับมาที่หมู่บ้านแห่งนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อจัดแจงธุระเรื่องของท่านรวมถึงมาดูแลเรื่องภายในหมู่บ้านชั่วคราวด้วย”
“ผมเข้าใจว่าดอกกะฮอมเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญกับหมู่บ้านของเราอย่างมาก และเรื่องราวร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นก็น่าตกใจและน่าหวาดระแวงจริง ๆ ผมในฐานะหมอและลูกชายของผู้ใหญ่บ้านที่ทุกท่านนับถืออยากจะแก้ปัญหานี้และทำให้หมู่บ้านของเรากลับมาสงบและมีความสุขเหมือนเดิม”
ผมใช้เวลาในการพยายามเกลี้ยกล่อมกลุ่มชาวบ้านอยู่นาน ผมพูดข้อเสนอของผมด้วยหลักการและท่าทีที่ใจเย็นที่สุด ผมไม่ได้บอกว่าตำนานที่พวกเขาบอกเล่ามันผิด แล้วก็ไม่ได้บอกว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่แม่มด ผมแค่ขอต่อเวลาชีวิตให้เธอ ขอให้เธอได้มีชีวิตอยู่อย่างน้อยก็หนึ่งวัน พวกชาวบ้านยืดหยุ่นกว่าที่คิด พวกเขาบอกว่าพิธีขมาจะต้องเกิดขึ้นในวันพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้นซึงก็คือคืนวันพรุ่งนี้ ดังนั้นผมจึงขอร้องพวกเขาว่าให้ผมได้ทำการรักษาเธอ และพยายามให้เธอบอกมาว่าเอาดอกกะฮอมศักดิ์สิทธิ์ไปไว้ที่ไหนด้วยวิธีของผม และวันพรุ่งนี้หากผมไม่สามารถหาดอกกะฮอมศักดิ์สิทธิ์มาให้พวกเขาได้ ผมจะยินยอมส่งเธอให้พวกเขาสังเวยตามใจชอบ พวกเขาอาจคิดว่าอย่างไรก็ไม่มีอะไรจะเสีย จึงยอมไว้ชีวิตเด็กผู้หญิงคนนี้ และให้ผมพาเธอกลับไปที่พักของผมด้วยกัน
พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ลมพายุที่พัดแรงในช่วงเช้าค่อย ๆ หายไปแบบที่ผมก็ไม่รู้ตัว ผมเห็นนกฝูงใหญ่บินผ่านท้องฟ้าสีเทาที่มีริ้วเมฆสีส้มแซมอยู่ ใกล้เวลาแสงจะหมด ผมรีบพาเด็กน้อยกลับเข้าที่พัก
“ทำไมถึงต้องช่วยหนู” เด็กหญิงนั่งลงบนโซฟาที่ผมจัดไว้ให้ ตลอดระยะทางเดินกลับที่พักเราแทบไม่ได้คุยกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเปล่งเสียงใส ๆ ให้ผมได้ยิน
“เพราะฉันปล่อยให้คนฆ่าคนแบบไม่มีเหตุผลไม่ได้น่ะสิ” ผมตอบหน้านิ่ง ๆ พลันเดินจัดแจงเก็บของที่กอง ๆ อยู่ให้เป็นระเบียบ
“แต่พวกเขาบอกว่าหนูเป็นแม่มด” ผมชะงัก มองหน้าเด็กหญิงนิ่ง ๆ และเดินมานั่งลงใกล้ ๆ
“แล้วหนูคิดว่าแม่มดคืออะไร” ผมตั้งคำถาม
“ไม่รู้ แม่มดคงเป็นสิ่งชั่วร้าย”
เด็กน้อยตอบคำถามผมด้วยตาใส ๆ ตอบแบบไม่คิดอะไร เด็กคนนี้อายุน่าจะไม่เกิน 10 ขวบได้ รูปร่างผอมบาง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกรรมพันธุ์หรือเพราะไม่ค่อยได้กินอาหารที่มีประโยชน์กันแน่
“หนูเป็นใครมาจากไหนล่ะ” ผมลองตั้งคำถาม เผื่อจะสามารถเชื่อมโยงอะไรได้บ้าง
“ไม่ได้เป็นใคร ไม่ได้มาจากไหน อยู่ตัวคนเดียวบ้าง อยู่กับเพื่อนบ้าง”
“อยู่กับเพื่อนหรอ แล้วพ่อแม่ล่ะ พวกท่านไปอยู่ที่ไหนแล้ว”
“ก็บอกว่าอยู่ตัวคนเดียวบ้าง อยู่กับเพื่อนบ้าง”
จากน้ำเสียงของเด็กคนนี้ ผมก็พอจับได้ว่าเธอกำลังเริ่มรำคาญผม ผมเลยหยุดซักเรื่องของเธอ เดินไปเปิดตู้เย็นในห้องครัวที่อยู่ไม่ไกล หยิบนมในแกลลอนและแก้วใสใบหนึ่งที่วางอยู่บนชั้น จัดแจงเทนมใส่แก้ว แล้วเดินนำมาวางบนโต๊ะทีอยู่ตรงหน้าเธอ เธอมองแก้วนมและผมสลับไปมา ผมเข้าใจว่าเธอคงระแวงกลัวว่าผมอาจจะใส่ยาอะไรลงในนมเพื่อทำร้ายเธอ แต่ในที่สุดเธอก็คว้าแก้วนมขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมด
ผมลองเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง
“ฉันชื่อแทนนะ พึ่งเรียนจบหมอมา พ่อฉันน่ะเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านของที่นี่แต่แกก็อายุสั้น เกิดหัวใจวายตายขึ้นมาซะอย่างนั้น ฉันเรียนจบพอดีเลยถือโอกาสกลับมาอยู่ที่นี่” ผมเล่าเรื่องของตัวเองพลางเหลือบมองกิริยาของเด็กไปพลาง
“ตอนเด็ก ๆ ฉันก็เคยวิ่งเล่นอยู่กับเพื่อนแถวนี้แหละ โตขึ้นมาหน่อยก็เหมือนจับทางตัวเองได้ ชอบมานั่งคำนวณนู่นนี่นั่น ชอบดูรายการวิทยาศาสตร์ พอเรียนดีหน่อยพ่อฉันเลยส่งฉันไปเรียนที่โรงเรียนต่างเมือง พ่อบอกว่าที่นั่นน่ะ การศึกษาดีกว่าหมู่บ้านเราเยอะ”
“แล้วหมออยากไปหรอ” เด็กน้อยถามผมพลางอ้าปากหาว
“ตอนนั้นไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากหรือไม่อยากหรอกนะ พ่อให้ทำอะไรฉันก็ทำหมด เพราะมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร รู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านมานานโข ฉันไม่ได้กลับมาเยี่ยมหมู่บ้านนี้อีกเลย พึ่งได้กลับมาก็วันนี้” ผมเล่าเรื่องของตัวเองไปเรื่อย ๆ เล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ เล่าชีวิตที่อยู่ในโรงเรียนแพทย์ เล่าเรื่องตลกตอนเด็ก เด็กน้อยตั้งใจฟังเรื่องของผมตาไม่กระพริบ บางครั้งเธอหัวเราะเสียงดังแทรกออกมา ผมรู้สึกว่าเธอกำลังเริ่มไว้ใจผมและมั่นใจว่าผมจะไม่ทำร้ายเธอแน่ ๆ เรานั่งคุยกันมาหลายชั่วโมง ผมรับรู้ได้ว่าเธอก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงวัย 10 ขวบคนหนึ่งที่ไร้เดียงสา บอบบาง แล้วก็อ่อนแอ เธอไม่ได้มีความร้ายกาจหรือความน่ากลัวแบบแม่มดที่ชาวบ้านกล่าวหาหรือที่ผมแอบจินตนาการไว้เลยแม้แต่น้อย ผมคิดว่ามันดึกมากแล้ว ผมเลยคิดว่าควรจะถามคำถามที่เป็นต้นเหตุให้เรามานั่งคุยกันวันนี้เสียที
“แล้วตกลงหนูคิดว่าดอกกะฮอมหายไปไหน”
ทันทีที่สิ้นเสียงของผม ปากที่ยิ้มกว้างของเด็กน้อยคนนี้ก็หุบลงทันที ตาของเธอแข็งและดุดันขึ้นอีกทั้งยังแฝงด้วยความกลัว เสียงหัวเราะอันไร้เดียงสาของเธอหายไป เธอมองหน้าผมนิ่ง ๆ จนทำให้ผมรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว ความเงียบปกคลุมเราทั้งสอง เธอไม่ละสายตาไปจากผม ในขณะที่ผมกลับสู้สายตาเธอไม่ได้
“หนูง่วงแล้ว” เด็กน้อยบอกผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็มีอิทธิพลที่จะให้ผมทำตาม ผมพยักหน้าและเดินไปหยิบผ้ามาห่มให้เธอ ผมต้องยอมรับว่าสายตาของเธอที่เปลี่ยนจากเด็กน้อยไร้เดียงสากลายเป็นสายตาที่แข็งกร้าวและโกรธทำให้ผมรู้สึกกลัวจนกลืนน้ำลายดังเอื๊อก เด็กคนนี้คงไม่ธรรมดาอย่างที่ผมคิดไว้แต่แรก
ผมเดินไปหยิบเบียร์กระป๋องที่แช่อยู่ในตู้เย็น ผมดึงเกลียวฝาแล้วกระดกพอให้รู้รส จากนั้นเดินมานั่งบนโซฟาใกล้ ๆ กับที่เด็กน้อยนอนอยู่ ผมดื่มเบียร์ไปพลางคิดไปว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตเด็กคนนี้ดี พรุ่งนี้ก็จะถึงวันที่ต้องส่งตัวเด็กให้ชาวบ้านแล้ว และเด็กคนนี้ก็ไม่มีทีท่าจะบอกอะไรเกี่ยวกับดอกกะฮอมที่หายไปได้เลย ผมรู้สึกอับจนหนทาง จึงได้ลองหลับตาคิดเพื่อให้ตัวเองมีสมาธิมากกว่าเดิม
ผมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ หมู่บ้านแห่งนี้ถึงจะไม่ได้อยู่ในชนบทห่างไกล แต่ด้วยความที่ในหมู่บ้านมีป่าดอกไม้เป็นจำนวนมาก ในเวลาเที่ยงคืนกว่า ความเงียบและเสียงจิ้งหรีดจึงแทบจะเป็นเสียงเดียวที่ผมได้ยินตอนหลับตาอยู่นี้ ผมรู้ตัวว่าวันนี้เหนื่อยและอ่อนเพลียมาก ผมกำลังจะผล็อยหลับในไม่ช้า
แต่แล้วอยู่ดี ๆ ผมก็ได้ยินเสียงพูด ผมจับไม่ได้ว่ามันเป็นภาษาหรือว่าแปลว่าอะไร เสียงนั้นค่อย ๆ ดังขึ้น ดังขึ้น ดังจนผมตกใจและลืมตาขึ้นมาดู จังหวะที่ผมลืมตาผมกลับเห็นเงาดำกำลังคร่อมตัวผมอยู่ ผมตกใจมาก และรีบเบือนหน้าหนีจากสิ่งนั้น และเมื่อผมเบือนหน้ากลับมาเงาดำนั้นก็หายไป
ผมถอนหายใจดังเฮือก เมื่อกี้ผมอาจยังนอนหลับไม่สนิท การนอนของผมอาจอยู่ในช่วง REM หรือในช่วงที่สมองยังตอบสนองต่อสิ่งเร้ารอบข้าง มันอาจเลยเป็นผลทำให้สมองผมเข้าใจว่าโดนผีอำก็เป็นได้ ผมจัดแจงท่านอนตัวเองอีกครั้ง ครั้งนี้ผมตั้งใจจะหลับสนิทจริง ๆ เพราะคิดว่าค่อยมาสืบหาความจริงเรื่องดอกกะฮอมที่หายไปในวันพรุ่งนี้น่าจะได้ความมากกว่า ผมจึงตัดสินใจเอนตัวลงนอน อากาศตอนนี้เย็นยะเยือกทั้งที่เป็นหน้าร้อน ผมจึงห่มผ้าให้คลุมตั้งแต่คอลงมาปิดนิ้วเท้า
ระหว่างที่ผมกำลังปิดตาลง ผมก็ได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากบริเวณใกล้ ๆ
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
ผมพยายามข่มตาหลับไม่สนใจเสียงนั้น แต่เสียง ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ก็ดังต่อเนื่อง และไม่มีทีท่าจะหยุด
ผมสูดหายใจและลุกขึ้น เดินไปหาที่มาของเสียง ผมเงี่ยหูฟังและพอจะรู้ได้ว่าเสียงนั้นดังมาจากกระเป๋าสะพายของเด็กคนนี้
ผมคิดว่าเสียงนั่นต้องเป็นเสียงเครื่องมืออิเล็กทรอนิกอะไรสักอย่าง เพราะมันเป็นเสียงที่ดังเป็นจังหวะเท่ากัน และดังในระดับเสียงเท่ากัน แล้วผมก็คิดถูก มันคือเสียงตั้งปลุกของนาฬิกาข้อมือเรือนเล็กสีชมพูที่สภาพเก่ายับเยิน เด็กผู้หญิงคนนี้คงจะเก็บมาจากที่ไหนสักที่ ผมกดด้านข้างเพื่อปิดเสียงติ๊ดของมันและยัดมันลงไปในกระเป๋าดังเดิม แต่แล้วมือของผมก็ได้สัมผัสกับของบางอย่างในกระเป๋า ผิวของมันขรุขระและมีไอชื้นเล็ก ๆ ผมหยิบสิ่งนั้นออกมาราวกับมีใครดลใจ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ผมตกใจจนของที่ว่ากระเด็นหลุดจากมือตกไปอยู่ข้าง ๆ เด็กผู้หญิงคนนี้
มันคือตุ๊กตาแบบวูดูรูปร่างคนที่มีเข็มปักอยู่ที่ส่วนต่าง ๆ รอบตัวของมันพันด้วยด้ายแดง ผมพึ่งเคยเห็นและจับสิ่งนี้เป็นครั้งแรกหลังจากที่ได้ยินเรื่องตุ๊กตาวูดูและคำสาบต่าง ๆ มาตั้งแต่เด็ก ผมตั้งสติและจะเดินไปหยิบตุ๊กตานั้นเก็บที่เดิม จริง ๆ แล้วตุ๊กตานั้นอาจเป็นตุ๊กตาเด็กเล่นที่ไม่ได้มีเรื่องลี้ลับอะไรหรอก ผมคิด
กรี้๊ดดดดดดดดดดดดดด!!!
ในขณะที่ผมกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบตุ๊กตา เด็กน้อยก็ลืมตาเขม็งและกรี๊ดออกมาอย่างสุดเสียง เธอกรี๊ดเสียงลากยาวจนหมดแรง จากนั้นก็นอนดิ้นไปมาทุรนทุรายราวกับขาดอากาศหายใจ เธอหายใจเข้าออก ฟืด ฟาด อย่างถี่รัว และชักอย่างคนไม่ได้สติ ผมรีบจับเธอนอนตะแคงและปลดกระดุมเสื้อที่คอเพื่อไม่ให้เธออึดอัด แต่เหมือนเด็กน้อยได้สติและผลักผมออกอย่างแรง จนผมกระเด็นออกมาจากตัวเธอ
จังหวะที่ผมพยายามทรงตัว ผมหันไปเห็นเด็กคนนี้ตาเหลือกจนเห็นตาขาว เธอไม่มีสติและพยายามจะวิ่งเข้ามาทำร้ายผม ผมพยายามตะกายตัวถอยห่างจนกวาดข้าวของด้านหลังกระจัดกระจาย แก้วที่ผมเทนมใส่ให้เธอดื่มตกลงมาแตก เศษแก้วบาดอุ้งมือของผมจนเลือดไหลเป็นทาง คราบเลือดเลอะเปรอะเปื้อนสีขาวของผมจนกลายเป็นสีแดงฉาน ผมมองดูเลือดและหันกลับไปมองเด็กที่กำลังคลุ้มคลั่งไม่ได้สติ และอยู่ดี ๆ โคมไฟใบเล็กที่ห้อยอยู่เหนือหัวผมก็หล่นลงมาจนผมสลบไป
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
ผมค่อย ๆ ขยับเปลือกตาขึ้นหลังจากได้ยินเสียงรบกวนบางอย่างข้างหู มันเป็นเสียงนาฬิกาปลุกที่ผมตั้งไว้ให้ปลุกผมทุกเช้า ตอนนี้เวลา 05.00 น. ท้องฟ้ากำลังจะสว่าง ผมลุกขึ้นมาจากโซฟาตัวเดิมที่ผมนั่งดื่มเบียร์เมื่อคืน เบียร์กระป๋องเมื่อคืนยังคงตั้งอยู่ แต่ปริมาณของมันลดลงจนแทบไม่เหลือ เด็กน้อยยังนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มด้วยท่านอนแบบเดิมกับที่ผมห่มผ้าให้
“เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ผมคิดในใจ เรื่องราวน่าสะพรึ่งกลัวเมื่อคืนเกิดขึ้นที่ห้องนี้ ณ ที่แห่งนี้ที่ผมยืนอยู่ ผมจำได้ว่าข้าวของที่นี่กระจัดกระจายแทบไม่เหลือซาก ผมจำได้ว่าคราบเลือดจากมือของผมเองเลอะเปรอะเสื้อสีขาวเต็มไปหมด แต่ตอนนี้เสื้อผมกลับสะอาดไม่มีคราบอะไรแม้แต่น้อย หรือมันจะเป็นเพียงฝัน หรือผมจะดื่มมากไป หรือผมจะเครียดจนวิตกกังวล?
ระหว่างที่ผมกำลังสงสัยกับเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้น ผมจึงลุกขึ้นมาเก็บกระป๋องเบียร์และขยะต่าง ๆ นำไปทิ้ง ระหว่างที่ผมเช็กความเรียบร้อยใต้โต๊ะ ผมก็เห็นเศษแก้วกระจัดกระจายอยู่ที่พื้น เศษแก้วนั้นทำให้ผมยกมือด้านขวาแผ่ออกดู แล้วก็พบกับรอยแก้วบาดเเป็นแผลยาวแบบที่เลือดแห้งไปแล้ว ทำให้ผมแน่ใจว่ารอยแผลนี้มันเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้แน่
ก็อก ก็อก ก็อก
ผมยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ ก็มีเสียงคนเคาะประตูบ้านดังขึ้น เสียงเคาะทำให้เด็กตื่นนอน เธองัวเงียเหมือนกำลังจะพูดอะไรกับผมสักอย่าง ผมมองหน้าเธอและพลันคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ก่อนที่จะเอานิ้วชี้ยกขึ้นชิดปากเป็นนัยบอกให้เธอเงียบเสียง
ครับ?
ผมเปิดประตูและตอบรับในเชิงถามว่าต้องการอะไร
“วันนี้คือวันพระจันทร์เต็มดวงแล้วนะครับหมอ พวกผมแค่มาเตือนว่าถ้าหมอหาดอกกะฮอมศักดิ์สิทธิ์กลับมาไม่ได้ ก็อย่าลืมนำนังแม่มดนั่นไปให้พวกเราด้วย”
ผมไม่ได้ตอบรับในเชิงพยักหน้าหรือส่ายหัวปฏิเสธ เพียงแต่ยิ้มเล็ก ๆ ด้วยสีหน้าไม่เต็มใจก่อนจะปิดประตูใส่หน้าพวกเขาอย่างแรง
ผมเดินมานั่งกุมขมับอยู่ที่ม้านั่ง ในหัวมีแต่ความคิดว่าจะทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรให้เด็กคนนี้ไม่โดนฆ่า จะทำอย่างไรให้เด็กคนนี้ปลอดภัย สักพักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีก
ก็อก ก็อก ก็อก
ผมเปิดประตูออก ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเป็นผู้ชายแก่ร่างเล็กคนหนึ่ง หน้าตาใจดีไม่มีพิษมีภัย แกยิ้มกว้างจนเห็นฟันหน้าเพียงไม่กี่ซี่ที่เหลืออยู่ เขาแต่งตัวด้วยชุดคล้ายชาวประมง ผมแอบได้กลิ่นคาวปลาคละคลุ้ง
“มีอะไรหรอครับลุง” ผมถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ต่างไปจากการเปิดประตูรอบเมื่อกี้
“ขอโทษด้วยนะหมอที่มารบกวน เห็นว่าหมอเป็นลูกผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ดีกับพวกฉันมาก ปกติถ้าหาปลาได้ก็จะนำมาฝากแกเสมอ วันนี้ได้ปลาช่อนตัวใหญ่มา เลยคิดว่าจะมาฝากหมอสักหน่อย ช่วยรับไว้ด้วยนะ” คนที่นี่ไม่โหดร้ายก็มีน้ำใจดีจริง ๆ เลยนะ ผมคิดพลางเอื้อมมือไปหยิบพวงปลาที่ลุงประมงยื่นมาให้
“ผมไปก่อนนะหมอ มีธุระต้องพายเรือไปนอกเมือง เดี๋ยวจะไม่ทัน”
“นอกเมืองหรอ” ผมโพล่งถาม
บางทีนี่อาจเป็นวิธีเดียวที่ผมจะช่วยเหลือเด็กคนนี้ได้
“ลุงครับ ถ้าอย่างนั้นผมรบกวนอะไรหน่อยได้ไหม” ลุงประมงพยักหน้า ผมยิ้มและหันไปมองเด็กผู้หญิงที่นั่งนิ่ง ๆ ราวกับรู้ชะตากรรมตัวเองอยู่ในบ้าน ไม่รู้ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น แต่ผมก็คงทำได้ดีที่สุดแล้วละกัน
.
แสงอาทิตย์เจิดจ้า วันนี้ท้องฟ้าสะอาดไม่มีก้อนเมฆใด ๆ บรรยากาศตอนนี้ทำให้พอจะรู้ได้ว่าวันนี้ต้องเป็นวันที่แดดร้อนระอุมาก ๆ วันหนึ่ง
ผมไม่สามารถตามหาดอกกะฮอมกลับมาให้ชาวบ้านได้ และผมก็ยอมให้เขาทำร้ายเด็กไม่ได้ และตามเงื่อนไขที่ผมได้ให้ไว้กับพวกเขา ผมคงต้องไปสารภาพ
“หมอจะพาหนูไปไหน”
เด็กผู้หญิงถามด้วยน้ำเสียงสงสัย
ผมพาเด็กผู้หญิงคนนี้เดินมาทางท่าเรือหลังหมู่บ้าน น้ำในท่าขณะนี้นิ่งสงบ เสียงจิ้งหรีดร้องระงม แสงแดดแยงตาผมจนมองอะไรได้ไม่เต็มที่นัก
“ในเมื่อไม่ว่าอย่างไร ชาวบ้านก็ยังเชื่อว่าหนูเป็นตัวกาลกิณี ถึงหมอจะไปมอบตัวรับผิดแทน หนูก็อาจจะโดนทำร้ายหลังจากนี้อยู่ดี หมอคิดว่าอย่างนี้แหละดีที่สุด”
ผมพูดพลางยื่นถุงหิ้วที่บรรจุเงินไว้จำนวนหนึ่งให้
“นี่เป็นเงินที่เอาไว้ใช้ซื้อของกินประทังชีวิต พอให้รอดจากหมู่บ้านนี้ไปได้ก่อน”
เด็กผู้หญิงมองตาผมแบบไม่กระพริบ ผมอ่านไม่ออกว่าเธอรู้สึกอะไร แต่เธอไม่มองที่ถุงเงินแม้แต่น้อย
ผมเอื้อมมือไปรูดซิบประเป๋าของเด็กแล้วยัดถุงเงินลงไป โดยไม่มองที่เธอเช่นกัน
“ฝากด้วยนะครับลุง”
ผมพูดกับลุงประมงที่เจอกันเมื่อเช้า เขาพยักหน้าเป็นการตอบรับด้วยความสุภาพพลันผายมือให้เด็กคนนี้ก้าวลงเรือไป ผมไม่ได้มองว่าท่าทีของเธอเป็นอย่างไร แต่ก็พอเห็นได้ด้วยหางตาว่าเธอก้าวลงเรืออย่างช้า ๆ นั่งด้วยท่าทีสงบนิ่ง และไม่ละสายตาไปจากผมเลย
จากนั้น เธอก็นั่งเรือออกไปจากหมู่บ้าน ออกไปจากผม เราค่อย ๆ ห่างกันช้า ๆ จนในที่สุดเธอก็ตัวเล็กลงจนลับตาไป
ผมไม่รู้ว่าถ้าเดินไปหาชาวบ้านตามที่ได้บอกไว้ ผมจะโดนอะไรบ้าง มันอาจน้อยนิดแค่ต่อว่า หรืออาจรุนแรงถึงชีวิต ผมแค่อยากให้ความหวังดีของผมได้ช่วยเหลือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งให้ปลอดภัยแค่นั้นก็พอ
.
ผมกลับบ้านมาเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อตัวโปรด ผมทอดไข่ดาวและไส้กรอกเป็นมื้อเที่ยง จัดแจงใส่จานและบีบซอสมะเขือเทศลงด้านข้าง ผมเดินไปหยิบนมจืดในตู้เย็น เปิดฝาและเทลงใส่แก้ว วางแก้วไว้ข้างจานไข่ดาวนั้น ผมนั่งลง สายตามองตรงไปยังหน้าต่าง ค่อย ๆ กินอาหารที่ทำเองอย่างช้า ๆ ความเงียบเข้าคลอบคลุมทั่วทั้งบริเวณ
ก็อก ก็อก ก็อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง พวกเขาคงมากันแล้วสินะ
ผมเดินไปเปิดประตู
คนตัวใหญ่สองคนไม่พูดพร่ำทำเพลง พวกเขาเดินมาหาผมที่เก้าอี้ ชายร่างใหญ่คนหนึ่งจับไหล่และแขนของผม ชายอีกคนที่มาด้วยกันกระทำการอย่างเดียวกัน พวกเขาจับมือผมไพล่หลังและมัดด้วยเชือกที่มีเสี้ยนเต็มไปหมด เขาเปิดประตูและพาผมเดินออกจากบ้านของผมเอง
“ผมพาหมอมาให้แล้ว”
ชายตัวใหญ่ด้านขวาเริ่มปริปากพูดเป็นครั้งแรก เขาพาผมมาที่อยู่บริเวณลานหมู่บ้าน ผมคิดว่าห้องนี้น่าจะเป็นห้องทำการหรือห้องประชุมของผู้ใหญบ้านพ่อของผม เขาผลักตัวผมไปข้างหน้า จากนั้นชายทั้งสองก็ออกจากห้องไป
ผมนั่งเหม่อลอยรอตรงนั้นสักครู่ ชาวบ้านก็เริ่มมากันเต็มลาน ห้องที่ผมนั่งรออยู่เป็นห้องที่ไม่ได้กันเสียงภายนอกนัก ผมได้ยินเสียงชาวบ้านตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ผมนั่งอยู่ในนั้นคนเดียวสักครู่หนึง สายตากวาดไปสำรวจบรรยากาศโดยรอบ ห้อง ๆ นี้ไม่ใหญ่มากนัก มีโต๊ะประชุมงานอยู่ตรงกลาง เอกสารกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ อากาศในวันนี้ร้อนจัด ตลอดทั้งวันที่ผมเดี๋ยวเข้าแอร์เดี๋ยวออกร้อนทำให้ผมรู้สึกว่ากำลังจะไม่สบาย ผมรู้สึกเวียนหัวและร้อนผ่าวที่หัว
ในไม่ช้าผมก็โดนชายสองคนลากตัวออกไป
ผมถูกลากออกมายืนอยู่ตรงกลางลาน พื้นยกระดับพอที่จะทำให้ผมมองเห็นสายตาของผู้คนมากมาย ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไร ภาพที่ผมเห็นคือชาวบ้านแออัดห้อมล้อมตัวผม ถึงแม้ว่าพื้นที่ที่ผมยืนอยู่มันจะไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก แต่ชาวบ้านก็มากันจนเต็มพื้นที่ แสงแดดที่สาดลงมาบนตัวผมทำให้ผมรู้สึกร้อนผิว ผมรู้สึกอึดอัด หายใจไม่สะดวก และตาพร่า ตอนนี้ประสาทสัมผัสของผมดูเหมือนจะใช้การได้ไม่เต็มที่ ตาและหูของผมไม่สอดคล้องกัน ผมเห็นปากของผู้คนตะโกนโหวกเหวก แต่หูผมกลับได้ยินแต่เสียงอื้ออึงราวกับคนจมน้ำ ร่างกายของผมอ่อนแรง ไม่สามารถขัดขืนต่อแรงที่พวกเขาจะลากผมไปมาได้ ผมรู้สึกว่าตัวเองเคลื่อนไหว ผมรู้สึกเหมือนกำลังโดนมือสองข้างดันไหล่จนผมคุกเข่าลง เข่าของผมกระแทกพื้นอย่างแรงแต่ผมกลับไม่รู้สึกเจ็บสักนิด ผมรับรู้ได้ว่าพวกเขากำลังสับสนว่าจะเอาอย่างไรกับผมดี
“นังเด็กแม่มดมันหนีไปแล้ว และดอกกะฮอมศักดิ์สิทธิ์ก็ยังหายไป”
ผมได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่บริเวณใกล้ ๆ เขาน่าจะเป็นคนที่เสนอตัวรับผิดชอบตามหาดอกกะฮอมที่หายไปนี้ ผมรู้สึกร่างกายเอนเอียง ทรงตัวไม่ค่อยจะอยู่ ตาของผมเริ่มพร่า
“งั้นเราคงต้องทำสิ่งที่ควรทำ เราต้องเซ่นไหว้ดอกกะฮอมตามตำนานศักดิ์สิทธิ์คืนนี้” ผมสัมผัสได้ว่าเมื่อพูดจบ คนพูด(ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเป็นใคร) มองมาที่ผมอยางพร้อมเพรียงกัน ผมคงต้องตายคืนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
แสงแดดจ้าที่แยงเข้าตาผมทำให้ผมแสบตา ผมยังพยายามทรงตัวไม่ให้ล้มลงไป ตอนนี้เหมือนระบบในร่างกายผมล้มเหลว ผมแทบไม่มีแรงหายใจแล้ว ในระหว่างที่ผมกำลังตั้งสติอยู่ดี ๆ ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
ในกลางวงชาวบ้านที่มารอดูผมที่ลานหมู่บ้านแหวกตัวเป็นวงกลม
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย มีคนกำลังจะตาย” ผมได้ยินเสียงคนตะโกนมาจากวงนั้น คน ๆ นั้นล้มลงบนพื้น จนกระเป๋าที่เขาสะพายตกลงจนข้าวของกระจัดกระจาย ชาวบ้านแหวกตัวเป็นทางจนผมมองเห็นได้ ผมเห็นเขาดิ้นทุรนทุรายสลับกับชักอย่างไม่เป็นจังหวะ ตาของเขาเหลือกขึ้นจนเห็นแต่ตาขาว น้ำลายของเขาฟูมปากราวกับโดนยาเบื่อ เขาดิ้นอยู่ไม่นานก็หยุดลง ผมพยายามลุกขึ้นหวังจะไปช่วย แต่ร่างกายของผมมันไม่ตอบสนองเลยแม้แต่นิดเดียว
“ดอกกะฮอมศักดิ์สิทธิ์ เจอดอกกะฮอมศักดิ์สิทธิ์แล้ว!!!” ผมได้ยินชาวบ้านคนหนึ่งตะโกน ชาวบ้านทุกคนเฮลั่น โห่ร้องดีใจ พวกเขารู้ดีว่าการเจอดอกกะฮอมหมายถึงอะไร มันหมายถึงว่าพวกเขาได้เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจกลับหมู่บ้าน และเรื่องร้าย ๆ กำลังจะผ่านไป คนที่ควบคุมตัวผมอยู่รีบเดินเข้าไปทางร่างชายที่นอนน้ำลายฟูมปากอยู่ตรงนั้น แต่กลับกัน เขาไม่ได้วิ่งไปเพื่อช่วยเหลือ แต่รีบวิ่งไปเพื่อเก็บดอกกะฮอมศักดิ์สิทธิ์ในกระเป๋าเป๋ที่กระจายอยู่ตรงนั้น ผมนิ่งมองเหตุการณ์ที่วุ่นวายอยู่ข้างหน้า ตอนนี้ถ้าเป็นโทรศัพท์แบตเตอรี่ของผมก็แดงจนแทบหมดแล้ว ผมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ทั้งที่ตากำลังจะปิดในไม่ช้า ตอนนี้ชาวบ้านทุกคนที่มาไม่ได้สนใจผมสักนิด ชาวบ้านบางคนร้องไห้ บางคนหัวเราะ บางคนกอดกัน แน่นขนัดตาผมไปหมด สายตาของผมกวาดไปเรื่อย ๆ โดยรอบและหยุดลง ผมเห็นซี เด็กผู้หญิงคนนั้น คนที่ทุกคนบอกว่าเธอเป็นแม่มด เธอยืนอยู่องศาเดียวกับผม เธอมองผมด้วยสายตาเรียบเฉยก่อนจะยิ้มเล็ก ๆ ออกมา จากนั้นเธอก็หันหลังและเดินจากไป ผมพยายามดึงแรงเฮือกสุดท้ายเพื่อลุกขึ้น ฝ่าฝูงคนและวิ่งตามเธอไป แต่ไม่ว่างอย่างไรผมก็ตามเธอไปไม่ทัน และเธอก็หายลับไปจากสายตาผมอย่างถาวร
ผมไม่เข้าใจว่าเธอกลับมาได้อย่างไรในเมื่อผมเป็นคนส่งเธอขึ้นเรือด้วยตัวเอง ผมไม่เข้าใจว่าเธอกลับมาทำไม และผมก็ไม่เข้าใจว่าคนร้ายที่ขโมยดอกกะฮอมและเสียชีวิตที่ลานนั่นเกี่ยวข้องอะไรกับเธอรึเปล่า แต่ที่ผมรู้ก็คือ เธอไม่เคยปรากฏตัวที่หมู่บ้านแห่งนี้อีกเลย หมู่บ้านแห่งนี้ก็ไม่เคยมีเรื่องราวประหลาดอะไรเกิดขึ้นอีก และผมก็คงมองโลกนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
[1] ดอกกะฮอมในเรื่องไม่ใช่ดอกไม้ที่มีอยู่จริง เพียงแต่ยืมคำว่า กะฮอมที่แปลว่าสีแดงในภาษาเขมร มาใช้ เนื่องจากในพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ต่าง ๆ มักใช้ดอกไม้สีแดงเป็นส่วนประกอบ
[2] ขอบคุณรูปภาพปกจาก http://we.florist/red-flowers.html
[3] กว่าจะเป็นงานเขียนชิ้นนี้
งานนี้เป็นงานที่ยากที่สุดเท่าที่เคยทำมาตั้งแต่เรียนวิชานี้เลย อาจจะเป็นงานเขียนที่ยากที่สุดที่เคยทำมาเลยด้วย (เว่อร์นิด) เพราะไม่เคยเขียนเรื่องสั้นเลยในชีวิต ไม่เคยแต่งนิยายหรือแต่งอะไรก็ตาม อาศัยอ่านของคนอื่นบ้างนิดหน่อย แต่ก็คิดว่าอยากลองดู ตอนเริ่มคิดงานสนุกมาก เพราะเราคุยกันว่าอยากสร้างให้เรื่องของทั้งสามคนเป็นเรื่องที่เกิดในจักรวาลเดียวกัน ตอนแรกคุยกันไว้ใหญ่มากอย่างกับจะสร้างจักรวาลมาร์เวล แต่ด้วยข้อจำกัดหลาย ๆ อย่าง เราเลยทำให้ทั้งสามเรื่องมีจุดเชื่อมกันนิด ๆ หน่อย ๆ แทน แล้วความยากอีกอย่างหนึ่งก็คือ มีสารที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นและพยายามจะสื่อสารออกมา แต่พอเขียนจบแล้วมาอ่านอีกรอบ คิดว่าสารมันสื่อยังไม่ชัดเจน ถ้ามีโอกาสเขียน fiction อีก อาจเอาตรงนี้ไปหาวิธีแก้ปัญหาดูค่ะ การทำงานนี้ท้าทายแล้วก็สนุกมาก ๆ แล้วก็ได้อะไรจากเพื่อนร่วมทีมเยอะมาก ๆ ทั้งนุ่นและนิวเก่งกันมาก ๆ ทำให้รู้ว่าเรายังต้องฝึกฝนอีกเยอะ แต่ก็ภูมิใจกับงานค่ะ55555 - เมธินี โสภา
------------------------
ผู้สนใจสามารถคลิกที่ชื่อเรื่องเพื่อเข้าถึงงานเขียนเรื่องนั้นๆ
ผลงานชุด “หมู่บ้านล้านดอก” ประกอบด้วย
- เรื่องสั้น “ดอกบัว” โดย นันทวัน มงคลสถิต - เรื่องสั้น “กะฮอม” โดย เมธินี โสภา - เรื่ิองสั้น “ดาวเรือง” โดย ณฐพร ส่งสวัสดิ์
วัตถุดิบ
- บทกวีคำซ้ำเรื่อง “ดอกไม้” ของ จ่าง แซ่ตั้ง
- บทกวีเรื่อง “หลงทางในประเทศของตัวเอง” ของ โรสนี นูรฟารีดา
- ความเรียงเรื่อง “บัว...ดอกไม้ของวันวานและวันนี้” ของ รักษิตา
- คำว่า “หวังดี” ในคลังคำ ของ รศ.ดร.นววรรณ พันธุเมธา
------------------------
ผลงานเรื่องอื่นๆ สืบเนื่องจากกิจกรรม "เล่นแร่แปรวัตถุดิบ"
ผลงานชุด “ชะตากรรม” ประกอบด้วยเรื่อง
- เรื่องสั้น “กรำชะตา” โดย พิชญา วินิจสร
- เรื่องสั้น “กำชะตา” โดย ณิชมน จันทวงศ์
ผลงานชุด “เด็กเด็กเด็ก” ประกอบด้วย
- ความเรียง “ฉันผิดที่เป็นเด็กสายศิลป์” โดย ธนวิชญ์ นามกันยา
- เรื่องสั้น “คุยกับเด็กในความทรงจำ” โดย ปิยภัทร จำปาทอง
- เรื่องสั้น “ดอกแก้วแลดาวเหนือ” โดย กัลยรัตน์ ธันยดุล
ผลงานชุด “LUNCH” ประกอบด้วย
- เรื่องสั้น “อาหารกลางวันบนชั้น 21” โดย วรันพร ตียาภรณ์
- เรื่องสั้น “อาหารฝันกลางวัน” โดย ชัญญานุช ปั้นลายนาค
- เรื่องสั้น “อาหารกลางวันที่เจ้าบ้านหายไป” โดย ณิชา เวชพานิช
ผลงานชุด “ความทรงจำ” ประกอบด้วย
- ความเรียงเรื่อง “ให้ความทรงจำเป็นเหมือน ‘ขยะ’” โดย สิริโชค โกศัลวิตร
- เรื่องสั้น “ชื่อที่ไม่มีวันลืม” โดย ปุณยาพรสุข ศาลาสุข
- เรื่องสั้น “This white dog and that white wolf” โดย พิมพ์ภาณิณ โชติมา
ผลงานชุด “ต้นไม้” ประกอบด้วยเรื่อง
- เรื่องสั้น “พักพิง” โดย บุณฑริกา จิตพินิจกุล
- เรื่องสั้น “ต้นไม้โตขึ้นบ้าง หรือ กระถางเล็กลงหน่อย” โดย ธีรศักดิ์ คงวัฒนานนท์
- เรื่องสั้น “ ‘กระถิน’ ปลูกลงดินไม่ได้” โดย จุฬารัตน์ กุหลาบ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in