ช่วงนี้จะเห็นได้ว่าคนหันมาวิ่งกันมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะการวิ่งเป็นวิธีออกกำลังกายที่สนุกและทำได้ง่าย วิ่งคนเดียวก็ได้ อุปกรณ์ก็น้อยรองเท้าคู่เดียวก็ไปวิ่งที่ไหนก็ได้แล้ว บางคนจากแค่วิ่งรอบสวนหรือจ็อคกิ้งก็ขยับไปวิ่งมาราธอนระยะต่างๆ (สายๆ วันหยุดเดี๋ยวนี้เห็นแต่รูปคนวิ่งตามงานวิ่งกันน่ารักเชียว)
ข้อดีของการวิ่งนอกจากจะทำให้สุขภาพแข็งแรงแล้วยังมีประโยชน์อีกมากมายเลย ซึ่งประโยชน์ที่ว่านี้ยังช่วยเรื่องการทำงานได้ด้วย (ว้าว) โดยเฉพาะอาชีพนึงที่ดูไม่น่าจะเกี่ยวกับการวิ่งได้เลย นั่นคือนักเขียนนั่นเอง
มีคนกล่าวว่าการวิ่งและการเขียนหนังสือมีจุดที่เหมือนกันหลายจุด เช่น เป็นสิ่งที่มักจะทำคนเดียวและต้องใช้ระยะเวลาและความพยายามที่นานในการบรรลุเป้าหมาย และพอบรรลุได้แล้วก็มีเป้าหมายต่อไปที่ดีขึ้น ในนักวิ่งอาจจะหมายถึงระยะทางที่ไกลขึ้น วิ่งด้วยความเร็วที่มากขึ้น ส่วนในนักเขียนก็คือผลงานชิ้นต่อไปที่พัฒนาขึ้นนั่นเอง และด้วยความที่เหมือนกันนี้ ทำให้นักเขียนหลายคนจึงเริ่มหันมาสนใจการวิ่งกันอย่างจริงจัง
นักเขียนหลายคนวิ่งเพราะพบว่าการวิ่งมีผลกับงานเขียนในทางทีดีขึ้น เช่น Jonathan swift นักเขียนชาวอังกฤษเจ้าของผลงาน Gulliver’s Travels หรือ การเดินทางของกัลลิเวอร์ก็วิ่งเกือบ 1 Km. ขึ้นลงเนิน ถึงจะฟังดูเป็นระยะทางที่น้อย แต่วิ่งอยู่แบบนี้ทุก 2 ชั่วโมงเวลาเขียนหนังสือเลยนะ โหดไม่น้อยเลย หรือจะเป็น Joyce Carol Oates นักเขียนชาวอเมริกันก็ออกวิ่งในช่วงบ่าย (ที่มักจะเจอการที่หัวไม่แล่น เขียนไม่ออก) เช่นเดียวกัน ซึ่งเธอได้บอกเลยว่าการวิ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการเขียนเลย เธอได้อธิบายความรู้สึกไว้ว่าการวิ่งนั้นให้ความรู้สึกเหมือนว่ามีไอเดียเจ๋งๆ รอเธออยู่ ให้เธอวิ่งไปหา ซึ่งเป็นความรู้สึกที่หาไม่ได้เลยถ้านั่งอยู่เฉยๆ ในห้อง
นักเขียนนักวิ่งอีกคนที่ไม่กล่าวถึงคงไม่ได้คือลุงฮารูกิ มูราคามิ จุดเริ่มต้นของการวิ่งในตอนแรกของลุงแกคือการที่อยากจะมีสุขภาพดีและลดน้ำหนัก ซึ่งตอนที่เริ่มนั้นก็มีนิยายถึง 3 เล่มแล้วที่ตีพิมพ์ออกมา แต่ลุงก็บอกว่าพึ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นนักเขียนจริงจังก็วันที่เริ่มวิ่งนี่แหละ ซึ่งตั้งแต่นั้นมาแกก็วิ่งมาเรื่อยๆ จากการจ็อคกิ้งมาเป็นวิ่งมาราธอนและลงไตรกีฬาอย่างฟิตสุดๆ สุดท้ายการวิ่งก็กลายเป็นกิจวัตรประจำวันหลังจากการเขียน โดยเป้าหมายของลุงมูอยู่ที่ 60 Km. ต่อสัปดาห์ (โหดสุด) เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว จนสุดท้ายก็มีงานเขียนที่เกี่ยวกับการวิ่งออกมาด้วยอย่าง What I Talk About When I Talk About Running หรือ เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง ซึ่งบอกเลยว่าแค่เล่าเรื่องวิ่งเนี่ยเราก็เห็นได้ถึงปรัชญาการใช้ชีวิตของลุงแกเลยทีเดียว
แล้วความเหมือนระหว่างการวิ่งและการเขียนมีข้อดีอะไรบ้างที่ช่วยทำให้นักเขียนหลายคนหันมาวิ่งทั้งเบาๆเป็นงานอดิเรกทั้งวิ่งกันอย่างจริงจังเป็นระยะทางไกลๆ ได้ และยังบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามันช่วยเรื่องงานเขียนได้จริงๆ แล้วก็ทำให้ชีวิตดีขึ้นด้วยนะ :>
ความอดทน
คงไม่มีใครเถียงว่าความอดทนเป็นสิ่งสำคัญในการจะทำอะไรได้สำเร็จ การวิ่งและการเขียนก็เช่นกัน การวิ่งโดยเฉพาะการวิ่งระยะไกล วิ่งมาราธอน ต้องอาศัยความอดทนตั้งแต่การฝึกซ้อมอย่างมีวินัยจนร่างกายแข็งแรงและสามารถวิ่งได้ไกลมากขึ้น ซึ่งเป็นการสะสมไปวันละนิดวันละหน่อยจนถึงวันจริง โดยระหว่างนั้นอาจจะมีอุปสรรคต่างๆ เข้ามา เช่น ร่างกายเหนื่อยล้า , ความขี้เกียจที่ต้องเอาชนะ ซึ่งในงานเขียนก็เช่นกัน ไม่มีนักเขียนคนไหนที่สามารถเขียนตั้งแต่หน้าแรกจนจบเล่มได้ในคราวเดียว และระหว่างการเขียนนั้นก็ต้องเจอสิ่งที่มาบั่นทอนเช่นเดียวกัน เช่น คิดไม่ออก , ท้อจนอยากเลิกๆ ไปซะ ซึ่งก็ต้องใช้ความอดทนในการที่จะฮึดสู้ให้ผ่านไปได้
จังหวะ
นักวิ่งทุกคนต้องรู้จังหวะของตัวเองว่าทำอย่างไรถึงจะวิ่งจนถึงจุดหมายได้อย่างสำเร็จและไม่เป็นการทำร้ายร่างกายตัวเอง รู้ว่าเมื่อไรที่ควรจะช้าลงเพื่อเก็บแรงไว้ เมื่อไรที่ต้องเร่งให้เร็วมากขึ้น และยังมีเรื่องของความสม่ำเสมอด้วย นักเขียนหลายคนก็ตั้งเป้าไว้ในรูปแบบเดียวกัน มีการตั้งเป้าไว้ว่าในวันหนึ่งต้องเขียนได้กี่หน้าๆ ซึ่งพอบังคับตัวเองให้ทำได้ไประยะหนึ่งทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นและออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
สมาธิระหว่างการวิ่ง
ถึงการวิ่งจะดูเป็นกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลาไม่หยุดนิ่ง แต่เวลาวิ่งคือเวลาที่เราได้อยู่กับตัวเองจริงๆ เหมือนได้ตัดขาดจากเรื่องอื่นที่วุ่นวายใจชั่วคราว ซึ่งเขาบอกว่าการวิ่งทำให้หัวโล่งและสงบไม่ต่างจากนั่งสมาธิเลย ซึ่งพอสบายใจไอเดียก็ไหลมาจนบางคนวิ่งครบรอบนึงแล้วได้งานเลยย่อหน้านึงเลยก็มี (เจ๋ง)
พักผ่อน
การพักผ่อนไม่ได้หมายความถึงการอยู่นิ่งๆ หรือนอนพักเพียงอย่างเดียว ลองนึกภาพการที่เรานั่งโต๊ะอยู่หน้าจอมาแล้วกว่าครึ่งค่อนวันแล้วได้ออกไปยืดเส้นยืดสายวิ่งในสวนซักพักก่อนจะกลับมาลุยต่อก็เหมือนกับการได้ชาร์จพลังให้ตัวเองเหมือนกัน อะไรที่ติดขัดอาจจะได้ไอเดียการแก้ก็ตอนนี้แหละ
สุขภาพดี
เราเชื่อว่าข้อดีเหล่านี้ไม่ได้ช่วยแค่คนที่ทำงานเขียนหรอกนะ จะเป็นใครมาจากไหนเราก็เชื่อว่ามีประโยชน์ทั้งนั้นล่ะ วันหยุดนี้หยิบรองเท้าผ้าใบไปลองออกเดินๆ วิ่งๆ ดู คุณอาจจะได้งานอดิเรกที่ชอบและดีกับสุขภาพขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งก็ได้นะ :>
อ่านเรื่องวิ่งๆ กันแล้ว อยากวิ่งบ้าง จะลองวิ่งตามนักเขียนของเราก็ได้นะ ลองไปดู 5 สถานที่ที่พี่หนุ่ม โตมร ศุขปรีชา อยากวิ่ง ได้เลยที่นี่
ที่มา : thewritepractice,fuelyourwriting,theatlantic,emory
ภาพ: monaca-bruno,reader,mnn,killadj