ภาพประกอบโดย Nakrob/moon/mars/nut.
คุณอาจแปลกใจ
หรือไม่คุณก็อาจไปมีส่วนร่วมกับเขาด้วย เมื่อใครคนหนึ่งทำไม่ดีไม่งาม
แล้วผู้คนทั่วทุกสารทิศต่างมาประณาม ด่าแช่งสาปทอ—คุณนึกย้อน
หลายครั้งบนโลกโซเชียล คุณไม่ได้ตั้งใจจะด่าแรงอย่างที่พิมพ์ไปหรอก
แต่ด้วยอารมณ์ตอนนั้น ผสมกับกระแสความเกลียดชังที่คนอื่นสาดเทมาปะปนกันจนเละ
ทำให้คุณรู้สึกว่าต้องแสดงความเห็นอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้
เสี้ยววินาทีที่คุณกดเอนเทอร์
แสงสว่างวาบกะพริบบอกว่าคอมเมนต์ของคุณขึ้นไปอยู่บนนั้นแล้วเรียบร้อย
แล้วคุณก็พอใจ
ทำไม?
ผลการศึกษาหนึ่งตั้งคำถามว่าจะเป็นไปได้ไหมที่การกระทำของคุณจะไม่ต่างอะไรจากการรำแพนหางของนกยูงตัวผู้—มันเป็นการโฆษณา
ข้อสรุปจากผลการศึกษาร่วมของ Jillian J. Jordan,Moshe Hoffman, Paul Bloom และ David G. Rand ที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร
Nature บอกว่าการออกมาทวงถามถึงความถูกต้องทางศีลธรรมในที่สาธารณะ
(Moral outrage) นั้นเป็นสิ่งที่สามารถทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน
(self-serving) ได้ด้วย
เพราะเมื่อมองผ่านเลนส์ของวิวัฒนาการแล้วการประณามผู้อื่นดูไม่มีประโยชน์อะไรเลย (เพราะการวิวัฒนาการเป็นกระบวนการที่มุ่งให้เผ่าพันธุ์ตัวเองรอดเท่านั้น)
แล้วทำไมการแสดงออกแบบนี้จึงยังคงดำรงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
หรือมันจะให้ประโยชน์แก่ผู้ประณาม ในแง่การส่งสัญญาณบอกว่าตัวเองเป็น ‘คนดี’ หรือ
‘คนที่น่าไว้ใจ’
พวกเขาทดลองด้วยการให้อาสาสมัครปฏิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าในอินเทอร์เน็ต (โดยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร) โดยให้เงินกับอาสาสมัครส่วนหนึ่ง แล้วบอกว่าสามารถคืนเงินบางส่วนเพื่อลงโทษคนอื่นที่ทำตัวแย่ได้ จากนั้นให้อาสาสมัครอีกกลุ่มเลือกว่าจะเชื่อใจผู้ที่คืนเงินหรือเปล่า ผลคืออาสาสมัครผู้สังเกตการณ์เชื่อว่า คนที่ยอมคืนเงินเพื่อลงโทษคนอื่นนั้นน่าเชื่อใจมากกว่าคนที่ไม่ลงโทษคนอื่น ดังนั้น การลงโทษคนที่ทำตัวไม่ดีจึงส่งผลให้เราดูน่าเชื่อใจไปด้วย
จากการทดลองนี้ ผู้ศึกษาจึงสรุปว่า
การที่เราประณามหรือทำโทษคนอื่นในที่สาธารณะนั้นเป็นไปเพื่อส่งสัญญาณว่าเราเป็นคนดี
แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ศึกษาไม่ได้สรุปว่าเราจะทำไปอย่างรู้ตัว
นี่เป็นเพียงความพยายามในการอธิบายด้วยกรอบของกระบวนการวิวัฒนาการเท่านั้น
ผู้ศึกษาบอกว่าการทดลองนี้ยังอธิบายได้ด้วยว่าทำไมบางคนจึงประณามหรือลงโทษผู้ที่ตนคิดว่าทำผิดอย่างไม่ได้สัดส่วน
เช่น ในกรณีที่มีสาวคนหนึ่งทวีตเหยียดผิวว่าคนแอฟริกันเป็นโรคเอดส์ 1 ทวีต
แต่โดนด่าทั่วอินเทอร์เน็ตและถูกไล่ออกจากงานจนทำให้ใช้ชีวิตไปต่อยากมากๆ
ที่เป็นอย่างนี้เพราะทุกคนพยายามบอกว่าตนเองไม่ใช่ผู้ที่เหยียดผิวคนอื่นไปด้วยนั่นเอง
คุณอาจเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับผลการศึกษานี้
แต่นี่ก็เป็นความพยายามอีกครั้งหนึ่งในการอธิบายปรากฏการณ์บนอินเทอร์เน็ต (และที่อื่นๆ)
ด้วยกรอบที่ต่างออกไป
คุณอาจเชื่อว่าคุณคอมเมนต์ด่าคนผิดอย่างนั้นโดยไม่มีจุดประสงค์อื่นนอกจากเพื่อลงโทษเขา
เพื่อผดุงความยุติธรรม หรือเพื่อทำให้สังคมดีขึ้น
แล้วคุณก็อาจพอใจ
ซึ่งนั่นก็คงไม่ผิดอะไร
จากคอลัมน์ Lab โดยทีปกร วุฒิพิทยามงคล
: giraffe Magazine 37 — Color Issue
อ่านเรื่องอื่นๆ ได้ที่ giraffe