แก่อย่างไรให้มีคุณภาพ พบกับวิธีรับมือความร่วงโรยของชีวิตด้วยตัวเอง

            เราทุกคนเคยเจอมนุษย์ป้า—บุคคลที่ดูไม่เข้าที่เข้าทางกับย่านธุรกิจใจกลางเมือง เกะกะเก้กังเมื่อต้องเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน ประพฤติตนไม่เหมาะจะเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่นั้นๆ เราอยากบอกว่าไม่ใช่แค่คุณคนเดียวที่คิดแบบนั้น

            แม้แต่กฎหมายก็นิยามให้พวกเขาเป็น ‘ภาระทางเศรษฐกิจและสังคมเช่นกัน

            ในเมื่อไม่มีใครมองเห็นความสำคัญผู้สูงอายุ สาธารณูปโภคและพื้นที่สาธารณะต่างๆ จึงออกแบบกันมาโดยไม่เคยคำนึงถึงการมีอยู่ของพวกเขา สิทธิ์ในการเป็นพลเมืองที่ผู้สูงอายุจึงมีใช้ได้อย่างจำกัดจำเขี่ยเต็มที รวมถึงการเกษียณอายุในวัย 60 ปี ทั้งๆ ที่ผู้สูงอายุหลายคนยังมีศักยภาพไปต่อได้ แต่กลับถูกไล่ให้ไปปลูกต้นไม้ เลี้ยงหลานอยู่ที่บ้านแทน

            ไม่ใช่เพียงแรงกดดันจากสังคมภายนอกเท่านั้น แต่ความเสื่อมถอยของร่างกายก็ย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำสิ่งต่างๆ ที่ลดลง จิตใจของผู้สูงอายุจากที่แห้งเหี่ยวอยู่แล้วก็ยิ่งหดหู่ลงไปอีกอย่างช่วยไม่ได้ นี่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้อัตราการฆ่าตัวตายของผู้สูงอายุในรอบทศวรรษที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงวัยอื่น สถิติในปี 2553 บอกว่า อัตราการฆ่าตัวตายของประชากรอายุ 70-79  ปี สูงถึง 15 ต่อ 100,000 คนเลยทีเดียว

            เคยคิดไหมว่า เมื่อวันที่เราต้องกลายเป็นคุณลุง คุณป้า คุณย่า คุณปู่  มาถึง เราจะรับมือกับความร่วงโรยเหล่านี้อย่างไร ในวันวัยแห่งความเป็นหนุ่มเป็นสาว ความแก่เฒ่านั้นไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะนี่คือเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเริ่มต้นออมเงินและลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในอีกหลายสิบปีข้างหน้า

            เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์มองว่า ผู้สูงอายุจะกลายเป็นผู้ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งในฐานะของผู้บริโภคและผู้ผลิตที่ใช้สมองและประสบการณ์ทดแทนแรงงาน โดยมีเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยสำคัญ เพราะหากผู้สูงอายุเพียงครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดกลับมาทํางาน จะส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 33,000 ล้านบาทต่อปี แต่หากไม่มีการปฏิรูประบบเพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ในอนาคตกองทุนประกันสังคมจะล้มละลายและภาระการดูแลแรงงานทั้งหมดจะตกเป็นของรัฐบาล ซึ่งคงไม่มีใครอยากให้ถึงวันนั้น

            เริ่มคิดแล้วหรือยังว่า เราจะแก่ไปแบบไหน