ย้อนไปเมื่อปี 2015 ที่ DKNY ทำเสื้อผ้าสำหรับขายในช่วงเดือนรอมฎอน (1 มิถุนายน - 1 กรกฎาคม) ที่ชาวมุสลิมจะถือโอกาสช้อปปิ้งครั้งยิ่งใหญ่ก่อนเข้าสู่การถือศีลอด Idrissi ก็ออกมาฝากวาทะน่ารักว่า “อยากให้แบรนด์ต่างๆ ออกแบบเสื้อผ้าสำหรับพวกเราในทุกๆ ซีซั่น แล้วจะเห็นว่าผู้หญิงมุสลิมพร้อมจะใช้จ่ายกับแฟชั่นมากแค่ไหน” ซึ่งคำพูดของเธอไม่ผิดเลย เพราะตลาดแฟชั่นในตะวันออกกลางนั้นมีเงินสะพัดมหาศาล ร่วม 400,000 ล้านดอลลาร์ฯ ต่อปี ทำให้ธุรกิจแฟชั่นมุสลิมเติบโตขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงแบรนด์ของดีไซเนอร์คนนี้ด้วย

ส่วน Iman Aldebe ลูกสาวของอิหม่ามในสวีเดน ก็บอกว่า ตลอดหลายปีในการทำงาน เธอต้องต่อสู้กับความเห็นต่างมากมาย ถึงกับเคยถูกขู่ฆ่ามาแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ งานของเธอก็ยังเดินหน้าไปไกลขึ้นเรื่อยๆ 

Aldebe ได้ร่วมมือกับทางรัฐ ออกแบบหมวกตำรวจ ทหาร รวมถึงพยาบาล ในแบบที่ถูกหลักศาสนาอิสลาม ทำให้ผู้หญิงอิสลามมีโอกาสในการประกอบอาชีพมากขึ้น ทางด้านแฟชั่นเธอก็ไม่น้อยหน้าด้วยการขายฮิญาบแฟชั่นจากวัสดุใหม่ๆ อย่างเช่นขนแกะ ผ้ายีนส์ ผ้าลายหนังงู หรือตกแต่งด้วยหางนกยูง

เหตุผลของเธอไม่ใช่แค่เรื่องแฟชั่นเท่านั้น แต่ยังต้องการให้พื้นที่ในการเป็นตัวเองของผู้หญิงอิสลาม และต้องการเลือนภาพจำแง่ลบภายใต้ผ้าคลุมหน้าที่ผู้คนมีต่อชาวมุสลิมด้วย

ว่ากันเรื่องโลกตะวันตกแล้ว ก็หันมาทางตะวันออกกันบ้าง ไม่ใช่แค่แบรนด์ใหญ่ในสหรัฐฯ หรือยุโรปที่เพิ่มเติมคอลเลกชั่นสาวมุสลิม แต่แบรนด์ญี่ปุ่นอย่าง UNIQLO ก็เช่นกัน

Hana Tajima ดีไซเนอร์สัญชาติอังกฤษ ลูกครึ่งญี่ปุ่น-อาหรับ ได้ร่วมงานกับ UNIQLO ทำเสื้อผ้าสำหรับชาวมุสลิมออกขาย โดยเน้นความเรียบเท่และสวมใส่สบาย (มีขายที่เซ็นทรัลหาดใหญ่ด้วยนะ)  

เรารักสไตล์ของเธอเพราะเป็นส่วนผสมที่ออกจะแปลกตา เป็นมุสลิมที่มีกลิ่นอายสตรีทแบบอังกฤษและความฮิปแบบญี่ปุ่น จึงไม่แปลกที่ทางแบรนด์จะไว้ใจให้เธอออกแบบเสื้อผ้าให้

...ไม่ว่าจะมาไกลแค่ไหน แฟชั่นสำหรับสาวมุสลิมก็ยังมีเรื่องให้ต้องฝ่าฟันกันอีกมาก เพราะยังมีชาวมุสลิมหลายคนที่ยึดติดกับจารีตทางศาสนา