Public Art เล่นใหญ่ไม่ได้มีแค่กองทัพแพนด้า รวมงานอาร์ตเจ๋งๆ ที่ใครก็ดูได้ไม่ต้องเข้าแกลเลอรี่

จากที่มวลมหาแพนด้าเปเปอร์มาเช่กว่า 1,600 ตัวได้เข้ามาบุกประเทศไทยให้เราได้กรี๊ดตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา รู้ไหมว่านอกจากจะน่ารักน่าถ่ายรูปแล้ว เจตนาที่แท้จริงของงานนี้คือการสร้างการรับรู้ของสาธารณะว่า เราถึงเวลาแล้วที่ควรจะอนุรักษ์สัตว์ป่ากันอย่างยั่งยืน ซึ่งจำนวนแพนด้านี้ก็ไม่ได้มาแบบไม่มีที่มาที่ไปนะ แต่นี่คือจำนวนของแพนด้าในธรรมชาติของจีน (บอกเลยว่างานแบบนี้เขาคิดกันล้ำลึกจะตาย)

งานศิลปะที่จัดแสดงให้สาธารณะดูกันอย่างฟรีๆ ทุกคนสามารถเข้าถึงได้แบบกองทัพแพนด้านี้เราอาจจะเรียกได้ว่าเป็น Public Art หรือ ศิลปสาธารณะ ซึ่งในวันนี้มินิมอร์ก็ได้รวบรวมงาน Public Art รอบโลกมาให้ดูกัน บอกเลยว่านอกจากจะทั้งสวยทั้งอลังการทั้งน่ารักแล้ว แนวคิดเบื้องหลังแต่ละอันก็เท่ไม่แพ้กันเลยล่ะ :D


Cow Parade  

ฝูงรูปปั้นวัวตั้งแต่ 32 ไปจนถึง 450 ตัวนี้ได้เคยออกจัดแสดงไปแล้วกว่า 79 เมืองทั่วโลก (ได้เที่ยวเยอะจัง อิจฉา) ตั้งแต่ปี 1999 ไม่ว่าจะเป็นอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ริมถนน สวนสาธารณะ ก็ไปมาหมดแล้ว  ซึ่งทางทีมผู้จัดเขาก็บอกด้วยว่ารวมทั่วโลกเลยเนี่ยมีกว่า 250 ล้านคนแล้วที่เคยได้เห็นวัวใน cow parade นี้


ส่วนคอนเซปต์ของเขาว่าทำไมต้องเป็นวัว เขาก็บอกว่าวัวเป็นสัตว์ที่เวรี่สากล ทุกวัฒนธรรมทั่วโลกนั้นก็รักวัวกันทั้งนั้น (แต่รักเพราะศักดิ์สิทธิ์ เพราะริบอายนั้นอร่อย หรือเพราะใช้งานได้นี่ไม่ได้บอกนะ)  ก็เลยเอาเป็นรูปปั้นวัวนี่แหละโดยที่ผ่านมาก็มีกว่า 5,000 ตัวแล้ว โดยแต่ละตัวก็มีลวดลายที่ไม่ซ้ำกันเลยแม้แต่ตัวเดียว เพราะการจะออกแสดงเนี่ยเขาจะหาศิลปินมาเพนท์ก่อน ซึ่งก็มีตั้งแต่โนเนม บิ๊กเนม วงการไหนก็มาเถอะ ที่ผ่านมานี่ระดับ Radiohead,Kate Spade หรือ Ai weiwei ก็เคยฝากลายไว้บนน้องวัวกันมาแล้ว



     MAPPING  -  วัวฝีมือ Ai weiwei


EXTRAORDINARY - วัวจากออกแบบของทีมลัมโบกินี่ที่ฮ่องกง

ลวดลายและลูกเล่นต่างๆ ของวัวที่ศิลปินเขาเพนท์กันส่วนใหญ่แล้วก็มักจะมีการใส่ความหมายลงไปด้วย บ้างก็เป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่จัดแสดง เอกลักษณ์ของผู้เพนท์ ประวัติศาสตร์ หรือกระทั่งปัญหาต่างๆ  ล้ำลึกเชียวแหละ  ซึ่งพอหลังจากที่จัดแสดงเสร็จแล้ว ก็จะมีการเปิดประมูลน้องวัวและเอาเงินไปบริจาคให้กับมูลนิธิต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้เงินจากการประมูลนี้ไปแล้วกว่า 30 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ บอกเลยว่าไม่ได้มาตั้งแค่เก๋ๆ สวยๆ แต่มีประโยชน์ด้วย  เท่ไปเลย

Bignik

จากงานศิลปะที่ทำจากผ้าสีขาวแดง (ที่มีตั้งแต่ผ้าปูเตียงยันผ้าเช็ดตัว) เย็บต่อกันไปเรื่อยๆ  จนกลายเป็นผ้าปูปิคนิคที่ใหญ่ที่สุดในโลก  โดยจะขยายขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปี โดยเป้าหมายอยู่ที่14,686 ตารางเมตร หรือเทียบพื้นที่ได้กับ 100 สนามฟุตบอล (อะไรจะต้องอลังขนาดน้านนน) ซึ่งคาดว่าจะสำเร็จได้ในปี 2040  

ไอเดียน่ารักๆ นี้เป็นของสองพี่น้องฝาแฝดจากสวิตเซอร์แลนด์ Frank และ Patrick Riklin ที่เชื่อว่างานศิลปะนอกจากจะไม่ควรจำกัดอยู่แค่ในพิพิธภัณฑ์แล้ว ยังควรจะเป็นสิ่งที่ทำอย่างอื่นได้ด้วย ซึ่งในที่นี้เขาก็เชื่อว่าการปิคนิคเนี่ยทำให้ชุมชนมีความเป็นหนึ่งเดียวกันและยังทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ได้ด้วยอีกต่างหาก


ถึงแม้ว่าด้วยตัวงานต้องการพื้นที่กว้างสุดๆ จนน่าจะหาที่จัดแสดงได้ยาก แต่สุดท้ายแล้วในปี 2014 ก็มีที่เหมาะๆ จนได้ คือที่ทุ่งหญ้าเมือง Stein ประเทศสวิตเซอร์แลนด์  ซึ่งก็ได้รับความสนใจอย่างท่วมท้น  โดยเขาเล่าว่ามีคนกว่า 1,500 คนเลยทีเดียวที่มานั่งปิคนิคกันฟินๆ  แถมมีคนในชุมชนมาช่วยกันเย็บผ้าปูปิคนิคนี้เพื่อจะสานโปรเจคสุดบิ๊กบึ้มนี้ให้สำเร็จด้วย เรียกได้ว่าบรรลุเป้าหมายเรื่องความร่วมมือร่วมใจอย่างที่ศิลปินต้องการจริงๆ  น่ารักสุดๆ ไปเลย

Literature VS Traffic

จากหนังสือนับ 10,000 เล่ม ที่แม้แต่ห้องสมุดยังจะไม่เก็บไว้ แทนที่จะเอาไปลงถังขยะรีไซเคิล กลุ่มศิลปิน Luzinterrupts จากสเปนจึงขอรับบริจาคมาทำงานศิลปะที่นอกจากจะสวยแล้วยังช่วยหาเจ้าของใหม่ให้หนังสือเหล่านี้ได้ด้วย   



ทาง Luzinterrupts ซึ่งถนัดในเรื่องของการใช้ไฟในการทำเป็นงานศิลปะอยู่แล้ว ได้นำหนังสือนับหมื่นเล่มที่ได้รับบริจาคมาติดไฟ Led ในหน้าหนังสือ ก่อนจะเอามาจัดแสดงบนทางเท้าที่เมลเบิร์นนานนับเดือน   ซึ่งบอกเลยว่าถึงแม้จะทางเท้าจะถูกยึดไปนานนับเดือน แต่คนแถวนั้นก็ไม่มีโกรธซักนิด (ก็สวยซะขนาดนี้)  แถมสิ่งที่ดีไปกว่านั้นคือในวันท้ายๆ ของการจัดแสดงนี้ ทางศิลปินได้เชิญชวนด้วยว่าเข้ามาพลิกอ่านดูกันได้ตามสบาย ชอบใจเรื่องไหนจะเอากลับบ้านไปก็ไม่ว่ากัน  เป็นการคืนชีวิตให้กับหนังสือที่(เกือบ)โดนทิ้งได้เท่จริงๆ



ซึ่งด้วยความเท่นี้เอง โปรเจคต์นี้ก็ได้นำไปทำซ้ำที่นิวยอร์กอีกครั้งด้วยล่ะ แถมสเกลงานใหญ่ขึ้นด้วย ดีงามสุดๆ  (แอบบอกว่าศิลปินกลุ่มนี้เล่นกับไฟได้สวยตะลึงทุกงาน ลองหาดูได้จ้ะ) 

Blood swept lands and Seas of red

ทุกวันที่ 11 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเป็นวันที่ชาวอังกฤษจะมีการระลึกถึงทหารและวีรชนที่เสียชีวิตไปในสงคราม ซึ่งสัญลักษณ์ของทหารก็คือดอกป๊อบปี้สีแดงที่เราคุ้นเคยกันนั่นเอง  และในปี 2014 ซึ่งเป็นปีที่ครบรอบ 100 ปีของสงคราม  2 ศิลปิน Paul Cummins และ Tom Piper ก็ได้ทำงานศิลปะเพื่อระลึกถึงได้อย่างอลังการเป็นที่สุด

ตั้งแต่กลางเดือนกรกฏาคมจนถึง 11 พฤศจิกายนที่หอคอยลอนดอน ดอกป๊อปปี้เซรามิกสีแดงจะค่อยๆ ถูกปักโดยทีมงานและอาสาสมัครจนครบ 888,246 ดอก โดยจำนวนดังกล่าวแสดงถึงชีวิตของทหารอังกฤษที่สูญเสียไปกับสงครามโลกครั้งที่ 1




เมื่อจัดแสดงเสร็จดอกป๊อบปี้เหล่านี้ได้ถูกขายในราคา 25 ปอนด์/ดอก (ประมาณ 1,200 บาท) และยังมีการบริจาคจากผู้ชมด้วย ซึ่งจำนวนเงินที่ได้มาทั้งหมดประมาณ 10 ล้านปอนด์ จะเข้ากับ 6 หน่วยงานที่เกี่ยวกับทหารผ่านศึกต่างๆ ทั้งหมดด้วย เรียกได้ว่าเป็นการระลึกถึงได้สวยอลังการแถมได้ประโยชน์สุดๆ

Underwater Museum

เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา โลกเราก็ได้มีงานศิลปะใต้น้ำที่นับได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์(ชั่วคราว) แห่งแรกของโลกที่ชายฝั่ง Lanzarote  ซึ่งนอกจากจะสวย (แบบหลอนๆ) แล้ว  แนวคิดของศิลปินก็สุดจะเจ๋งเลยล่ะ

        

ผลงานสุดอลังการอันนี้เป็นของ Jason Decaires Taylor ศิลปินชาวอังกฤษที่โด่งดังกับงานปั้นๆ (ที่มักจะเอาไปจมอยู่ใต้ทะเล) มาแล้วหลายงาน ซึ่งครั้งนี้เขาได้แบ่งเจ้าพิพิธภัณฑ์ใต้น้ำนี้เป็น 2 ส่วนคือ 'Rubicon' และ ‘the raft of lampedusa'  ที่ประกอบไปด้วยรูปปั้นคน 35 คน และ รูปปั้นเรือผู้ลี้ภัยที่รอคอยความช่วยเหลือ


ซึ่งทาง Jason เองได้กล่าวว่า จุดประสงค์ของงานนี้ไม่ใช่เป็นการทำเพื่อระลึกถึงผู้ที่สูญเสียไปแล้วแต่อย่างใด แต่เป็นการทำให้คนทั้งโลกได้ตระหนักถึงความรับผิดชอบที่เราต้องมีร่วมกันกับประเด็นผู้ลี้ภัยนี้  


นอกจากงานจะสวยและเวรี่มีพลังแล้ว งานนี้ยังถูกออกแบบมาให้เป็นมิตรกับสภาพแวดล้อมใต้ทะเลด้วยนะ ไม่ต้องเป็นห่วงไปว่าปลาจะเดือดร้อนมั้ย ทั้งนี้คงเพราะว่าศิลปินเองก็เป็นนักอนุรักษ์ใต้ทะเลและครูสอนดำน้ำด้วยล่ะ  (อะไรจะครบเครื่องขนาดนี้ !)


จะเห็นได้ว่า Public Art ต่างๆ นั้นไม่ได้มีประโยชน์แค่เพื่อความสวยงามหรือเป็นแค่การโชว์ผลงานของศิลปินเท่ๆ เท่านั้นนะ งานศิลปะที่ทุกคนเข้าถึงได้เช่นนี้น่ะสามารถสร้างความตระหนักในประเด็นต่างๆ ที่อยากจะสื่อกับสาธารณะได้อย่างมีชั้นเชิงและน่าจดจำ แถมงานศิลปะบางชิ้นที่ต้องอาศัยความร่วมมือกันของหลายฝ่ายในพื้นที่ ก็ทำให้สามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกันได้โดยที่ไม่รู้ตัวเลยล่ะ : }  

ที่มา : cowparade, cultivating culture, mollie makes, dezeen, inhabitat, the guardian, hrp, associationforpublicart

ภาพ : cowparade, inhabitat, cultivating culture, designboom, theatlantic, underwater-museum