หญิงแย้—นนทพร ธีระวัฒนสุข สวยแล้วไปไหน ถามใจเธอดู?

คุณอาจส่ายหน้า บอกว่ามันก็แค่ดราม่าทั่วไป เมื่อเห็นข่าวความรัก 9 ปีของ หญิงแย้—นนทพร ธีระวัฒนสุข จบลง หลังเธอเพิ่งเข้าพิธีวิวาห์ได้เพียง 3 เดือน 


อยากดังหรือเปล่า?
สร้างกระแสใช่ไหม?
โลกออนไลน์แชร์กระหน่ำ—คุณอาจบอกว่า ทำไมเราต้องสนใจข่าวฉาวของคนคนหนึ่งขนาดนั้น
แต่แล้วก็เป็นคุณเองมิใช่หรือ ที่กระโจนเข้าหามัน อ่านข่าวอย่างบ้าคลั่ง แสดงความคิดเห็นอย่างกับว่าเป็นเพื่อนบ้านสอดรู้ผู้คอยเงี่ยหูฟัง หรือถึงขั้นเคยไปนอนใต้เตียงของพวกเขามาแล้วก็มิปาน
กินเหล้าเยอะไป ติดเที่ยวใช่ไหม ผัวเลยทิ้ง
ของปลอมทั้งนั้น ศัลยกรรมมาทั้งตัว
'พริตตี้เงินล้าน' ไอ้เงินล้านที่ว่าน่ะ เอามาจากไหน?
แต่ช้าก่อนดีกว่าไหม ก่อนจะตัดสินใคร เราอยากให้คุณลองสูดลมหายใจช้าๆ วางอคติลงจากบ่า แล้วคิดให้รอบด้าน
เอาแค่เรื่องรักๆ เลิกๆ ที่เป็นข่าว ช่วยตอบให้ชื่นใจหน่อยได้ไหมว่า ระยะเวลาเก้าปีที่เธอกับอดีตสามีคบกันมา ใครมีโอกาสได้อยู่กับพวกเขาตลอดเวลา จนรู้ทุกเรื่อง เข้าใจความสัมพันธ์ของคนสองคนที่คนนอกยากจะเข้าใจทะลุปรุโปร่ง และสามารถพูดได้ว่า สิ่งที่ตนแสดงความคิดเห็นออกมาเที่ยงตรงเป็นธรรมไม่มีโย้ไม่มีเอียง
หรือถ้าคุณบอกว่า เธออยากดังจนต้องทำศัลยกรรม คุณต่างหากหรือเปล่า ที่ต้องย้อนถามตัวเองดูเช่นกัน ว่าในชีวิตนี้นั้น เราเคยอยากสวย อยากหล่อ อยากเป็นที่ยอมรับของคนอื่นบ้างหรือไม่ และถ้าคำตอบคือใช่ แล้วมันจะแปลกตรงไหน โดยเฉพาะในโลกยุคปัจจุบันที่มีทางเลือกมากมาย ถ้าใครสักคนจะยอมจ่ายให้แก่การศัลยกรรมเพื่อวิ่งเข้าหาค่านิยมของสังคมที่ยังให้ค่ากับคนหน้าตาดี พอๆ กับที่เราในทุกวันนี้ยังต้องซื้อครีมบำรุงผิว หรือโฟมล้างหน้าติดบ้านไว้เสมอ
ส่วนเรื่องเงินล้าน ถ้าคุณยืนยันว่าความสงสัยของตัวเองไม่ใช่ความอิจฉา งั้นเราอยากชวนมานั่งฟังคำเฉลยจากเธอกันไปเลยดีกว่าว่า 'พริตตี้เงินล้าน' คนนี้ ทำงานอย่างไร มีอะไรในกอไผ่หรือไม่ ถึงได้ถอยรถหรูราคาหลักยี่สิบล้านอย่าง Bentley มาขับได้แบบชิลๆ
อย่า! อย่าเพิ่งตัดสิน โดยยกคำเชยๆ มาสร้างความชอบธรรมให้แก่ตัวเองว่า เธอก็แค่ 'ขายหน้าตา'
เพราะตอนนี้ คนที่คุณเรียกเธอว่า 'เจ้าแม่ศัลยกรรม' กำลังนั่งอยู่เบื้องหน้า และพร้อมเปิดใจตอบทุกคำถามจากเราแล้ว
ตอนนี้สภาพจิตใจเป็นอย่างไร
ดีขึ้นแล้วนะ คือถ้าไม่มีอะไรกระทบกระเทือนจิตใจมาให้เห็น เช่น การอัพรูปหรือโพสต์อะไรต่างๆ ที่มีนัยพาดพิงถึงเรา เราคิดว่าเราดีขึ้น เพราะเรารู้สึกว่า คนเราจะจากกันแล้ว มันน่าจะนึกถึงแค่สิ่งดีๆ ที่มีมาตลอด 9 ปี 

ดูเหมือนจะฟื้นตัวเร็วมาก
ถ้าพูดตรงๆ คือ เราอยากเลิกมานานแล้ว และพอสุดท้ายได้เลิกจริงๆ มันเลยเป็นไปตามที่เราต้องการไง แต่ทีนี้ถ้าเป็นเรื่องของความเสียใจ มันจะมาจากความผิดหวัง ที่เราคิดว่าน่าจะจากกันได้ด้วยดี เงียบๆ กันไป ซึ่งสุดท้ายมันไม่เป็นแบบนั้น

"กับความรักไม่เข็ดหรอก แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามความรักมันตีกรอบชีวิตเรา แย้จะเลือกไม่เข้าไปหามัน" 

เสียดายเวลา 9 ปีที่ต้องเสียมันไปไหม
ไม่เสียดาย แย้จะคิดว่า ถ้าเราเสียดายเวลาเก้าปีที่ผ่านมา เราควรจะเสียดายเวลาที่เหลืออยู่ของตัวเองมากกว่า เพราะเราเพิ่งจะเข้าใจว่า อิสระมันสำคัญต่อชีวิตมนุษย์มาก คืออิสระในที่นี้ ไม่ใช่ว่าเรามีอิสระแล้ว เราจะไปใช้ชีวิตเละเทะเหลวเป๋วอะไรแบบนั้น แค่การใช้ชีวิตเป็นปกติอยู่ในครรลองคลองธรรมนี่แหละ อิสระก็ยังสำคัญไม่แพ้กัน

หลังจากนี้จะเข็ดกับการมีความรักไหม
กับความรักไม่เข็ดหรอก แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามความรักมันตีกรอบชีวิตเรา แย้จะเลือกไม่เข้าไปหามัน แต่ถ้าเป็นความรักที่ไม่ตีกรอบ แย้พร้อมเปิดรับอยู่แล้ว แล้วอีกอย่างหนึ่ง ที่ผ่านมามันทำให้เรารู้ว่า เรามีนิสัยเป็นช้างเท้าหน้ามากกว่าช้างเท้าหลัง ดังนั้นถ้าแย้จะต้องหาคู่ครอง หรือคนรักก็ต้องยอมรับว่า เราอาจไม่ได้ต้องการผู้ชายที่เก่งอะไรมากมายนัก อาจดูแลเราในเรื่องการเงินไม่ได้ แต่ดูแลเราในเรื่องของจิตใจได้ เพราะการดูแลในความหมายของแย้ มันคือตัวผลักดันให้เรามีความสุขในทุกๆ วัน เป็นเหมือนการส่งพลังบวกให้แก่กัน

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากความรักที่เพิ่งจบลงครั้งนี้คืออะไร
บอกได้เลยว่าการเปลี่ยนตัวเองเพื่อใครสักคนเป็นสิ่งที่ผิด เราควรเลือกคู่ชีวิตที่เขารักเราจากความเป็นตัวเรา ไม่ใช่มานั่งเปลี่ยนทุกอย่างเพื่อเอาใจ หรือเพื่อพิชิตใจเขา แย้ยอมรับว่าเมื่อก่อนด้วยความที่เรารัก จะให้เราทำอะไรก็ได้ เปลี่ยนอย่างไรก็ได้ ยอมทำตามที่เขาสั่ง เชื่อฟังทุกสิ่ง เพื่อให้เขารัก เพื่อให้เขารู้สึกว่า เออ แย้ดีนะ แต่สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือ ถ้าเรามัวแต่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใคร สุดท้าย มันจะอยู่ได้ไม่นานหรอก โดยเฉพาะแย้ทำงานในวงการที่เรื่องของคอนเนกชั่นเป็นสิ่งสำคัญ จะให้เราอยู่แต่บ้านมันไม่ได้ไง เพราะการงานของเรามันต้องอาศัยสังคมตรงนั้นค่อนข้างเยอะ
อีกเรื่องคือการตัดสินใจต่างๆ ในชีวิต เช่น แย้มีรถยี่ห้อหนึ่งในดวงใจคือ Bentley แล้วแย้อยากได้มาก เราอยากซื้อด้วยเงินเราเอง แต่เขาไม่ยอม เราเลยไม่ได้ซื้อ กลายเป็นว่าเราเชื่อฟังเขาทุกอย่าง กระทั่งเรื่องเล็กน้อยมากๆ เช่น การแต่งตัว เราคิดว่าบางอย่างมันไม่ได้โป๊ แต่เขาจะบอกว่า ไม่ได้นะ คุณทำอย่างนี้ไม่ได้ ลามไปจนถึงเรื่องรับงาน เหมือนกับทุกอย่างในชีวิตต้องถามเขาก่อน เราเข้าใจนะว่าเขาเป็นห่วงเรา อยากให้ภาพลักษณ์เราดี เพราะว่านี่คือภรรยาหมอ  ซึ่งจริง ๆ แล้วแย้ไม่ใช่ไง แย้เป็นพวกบ้านๆ เป็นวัยรุ่นทั่วไป เป็นคนธรรมดาที่ออกจะดิบเถื่อนด้วยซ้ำ

ตอนนี้เลยซื้อ Bentley เลยใช่ไหม
ก็เลยซื้อเลย (หัวเราะ) ใช่ ซื้อเลย ตลกมากเลยอะ



แสดงว่า ฉายา 'พริตตี้เงินล้าน' ที่สื่อตั้งให้ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง
คือเรื่องเงินล้านนี่ ย้อนกลับไปสมัยที่พริตตี้บูมแรกๆ ตอนนั้นต้องยอมรับว่าสื่อค่อนข้างให้ความสนใจเยอะว่า พริตตี้คืออะไร ทำอะไรกัน ซึ่งพอนักข่าวมาถามเราว่ารายได้เราเป็นยังไง เราเลยบอกว่า เราทำงานเก็บเงินได้เป็นล้าน คือทำงานเป็นปี ถึงจะได้สักล้าน ไม่ใช่ทำหนึ่งงาน ได้หนึ่งล้าน แต่นักข่าวเขาคงอยากขายข่าว เลยคิดคำว่าพริตตี้เงินล้านขึ้นมา ซึ่งจริงๆ แล้วพริตตี้ที่เป็นพริตตี้สายขาว คือเป็นพริตตี้ที่ไม่ได้รับงานแบบสีเทา ถ้าขยันจริงๆ เดือนเดือนหนึ่งก็จะได้เงินประมาณแปดหมื่นถึงหนึ่งแสน ซึ่งเราเป็นคนขยันมากนะ รับงานเช้า-เย็นด้วย และเป็นคนงกมาก แย้เก็บเงินเก่งมาก ดังนั้นปีปีหนึ่งเราก็จะได้เงินประมาณหนึ่งล้าน หรืออะไรทำนองนี้

แล้วปัจจุบันยังเป็นพริตตี้อยู่หรือเปล่า
จริง ๆ แย้ยังไม่รู้เลยว่าเราทำงานอะไร เป็นนักแสดง ก็ใช่ เป็นเน็ตไอดอล ก็ใช่ เป็นทุกอย่างเลย ทำทุกอย่าง แต่สุดท้ายแล้ว เราชอบให้คนเรียกเราว่า บล็อกเกอร์มากกว่า แย้จะดีใจถ้ามีคนเรียกเราแบบนั้น

ทำไมถึงชอบที่จะเป็นบล็อกเกอร์มากกว่าอย่างอื่น
บล็อกเกอร์มันเป็นอะไรที่อยู่กับเราไปได้ตลอดชีวิต โดยที่ไม่ต้องอาศัยความสวย นี่คือสิ่งที่บล็อกเกอร์แตกต่างจากพวกพิธีกร ดารา พริตตี้ หรืออื่นๆ—มันไม่ได้ใช้ความสวย แต่ใช้นิสัยของเราที่ชอบแบ่งปัน ชอบนำเสนอคอนเทนต์ต่างๆ เพื่อให้คนติดตาม

"ปฏิเสธไม่ได้ว่าหน้าตาเป็นตัวนำ แต่แย้คิดว่า ถ้าเราสวยมาตั้งแต่เด็กเราจะไม่มีวันนี้ แต่บังเอิญว่าเราเป็นคนที่ไม่สวยและอยากสวยไง เราเลยมีความพยายามที่จะทำให้ตัวเองสวยในทุกๆ ทาง ทั้งศัลยกรรม แต่งหน้า ทำผม สมมติเล่นๆ ถ้าแย้เกิดมาแบบไม่ต้องแต่งก็สวย แย้จะแต่งไปทำไม นึกออกไหม"

แต่ถ้าหน้าตาดีมันก็จะมีชัยไปกว่าครึ่งหรือเปล่า
ปฏิเสธไม่ได้ว่าหน้าตาเป็นตัวนำ แต่แย้คิดว่า ถ้าเราสวยมาตั้งแต่เด็กเราจะไม่มีวันนี้ แต่บังเอิญว่าเราเป็นคนที่ไม่สวยและอยากสวยไง เราเลยมีความพยายามที่จะทำให้ตัวเองสวยในทุกๆ ทาง ทั้งศัลยกรรม แต่งหน้า ทำผม สมมติเล่นๆ ถ้าแย้เกิดมาแบบไม่ต้องแต่งก็สวย แย้จะแต่งไปทำไม นึกออกไหม คือแย้เจอรุ่นพี่ดาราหลายคนนะที่เขาแต่งหน้าไม่เป็น เพราะถึงเขาไม่แต่ง เขาก็สวยอยู่แล้ว แต่อีนี่ไม่ได้ไง ถ้าไม่แต่ง มันจะดูไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เลยกลายเป็นแรงผลักดันให้เรารู้สึกว่าต้องลุกขึ้นมาสวย เรามีความพยายามตรงนี้เยอะ ดังนั้น ด้วยความพยายามของเรา มันเลยทำให้เรามีวัตถุดิบที่จะเอามานำเสนอให้แก่คนที่ติดตามเราได้ 
อีกอย่างคือ ตอนที่พริตตี้บูมๆ จะมีคนรู้สึกว่า เฮ้ย ชอบพริตตี้อะ อยากเป็นพริตตี้จัง ทำไมพริตตี้ถึงผิวขาวขนาดนี้ อยากไปฉีดให้ผิวตัวเองขาวบ้าง แล้วเราจะรู้สึกว่า เฮ้ย ไม่ได้นะ คุณจะไปฉีดไม่ได้ การฉีดผิวมันอันตราย เลยพยายามจะแบ่งปันว่า จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่ ที่พริตตี้ผิวขาวเนี่ย หนึ่ง—มันเป็นเรื่องของแสง ไฟสปอตไลต์งานมอเตอร์โชว์ ใครไปยืน แม่งก็ขาวหมดน่ะ เราจะพยายามอธิบาย ว่าจริงๆ แล้วเราใช้อะไรบ้าง ใช้ครีมแบบไหน ลงแป้งฝุ่นยังไง สารพัดสารเพต่างๆ หรือถ้ามีคนถามว่า ทำไมพริตตี้นมชิดจัง แย้ก็จะบอกว่า มันไม่ได้ชิดจากการทำนม แต่มันมีเคล็ดลับที่ปลอดภัยด้วย เราก็อธิบายให้เขาฟัง เอาความจริงมาบอกเล่า 

ถ้าความหน้าตาดีไม่เกี่ยวขนาดนั้น แล้วอะไรคือเหตุผลที่ทำให้คุณทำศัลยกรรม
สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เราเรียนคณะอักษรศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะที่มีแต่ผู้หญิง และส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิงสวย คือเขาไม่ได้สวยอย่างเดียว เขาเก่งด้วย และเราก็ค่อนข้างจะเป็นคนหนึ่งที่เกิดมาแล้วไม่ค่อยยอมแพ้อะไร รู้สึกไม่อยากจะเป็นรองคนอื่น ตอนเรียนก็จะคิดว่า เฮ้ย ฉันอยากได้ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ไม่ควรเกินนี้ จะต้องเกรดดีที่สุด เกรดดีที่สุดอย่างเดียวไม่พอ ต้องคะแนนสูงสุดด้วย ในคณะมี 800 คน ฉันต้องติดท็อปเท็นของคณะ แล้วพอเราเห็นว่าเพื่อนของเราทั้งสวยทั้งเก่ง ส่วนเราเก่งอย่างเดียว แต่ไม่สวย เราเลยคิดว่า อืม ทำจมูกดีไหม ตอนนั้นมีคนรอบข้างทำพอสมควรนะ ส่องกระจกดูแล้วก็คิดว่า รูปหน้าเราน่าจะพร้อมรับกับซิลิโคน ทำแล้วน่าจะออกมาสวย เลยตัดสินใจทำ เพราะเราอยากเพอร์เฟกต์ อยากทั้งสวยทั้งเก่ง แค่นั้นเอง

ไม่สวยที่ว่าคือแบบไหน เคยโดนเพื่อนล้อว่าหน้าตาขี้เหร่บ้างหรือเปล่า
แย้ไม่ค่อยมีปมด้อยเรื่องหน้าตา แต่ถ้าถามว่าตอนเด็กเคยแย่มาก่อนไหม ก็เคย คือก่อนจะเปลี่ยนชื่อจริงเป็น นนทพร แย้ชื่อ กุลนันท์ ซึ่งสำหรับคนเกิดวันจันทร์ เขาบอกว่าการมีพวกห้อยโหนอยู่ในชื่อ เช่น สระอุ หรือไม้หันอากาศ ถือเป็นกาลกิณี ซึ่งแย้เชื่อนะ ตอนแรกไม่เชื่อหรอก แต่ชีวิตเปลี่ยนจริงๆ หลังจากเปลี่ยนชื่อ ก่อนที่จะขึ้นอนุบาลสาม ก่อนเปลี่ยนชื่อ เมื่อก่อนแย้ถูกเพื่อนเรียก อีหมูตอน ไอ้ขี้มูก คือตอนนั้นอ้วนมาก อ้วนดำด้วย ขี้มูกนี่เต็มตั้งแต่ช่วงรูจมูกถึงปาก แล้วก็กินขี้มูกตัวเองตลอดเวลา (หัวเราะ) คือแย่มาก สอบได้ที่โหล่ของห้อง สมัยก่อนเขาคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ เราก็จะได้ไม่ถึง 50% สอบตกจนซ้ำชั้น แต่พอเปลี่ยนชื่อปุ๊บ ชีวิตพลิกผันหมดเลย ดีขึ้นทุกอย่าง ทุกทาง ผอมลง ขี้มูกหาย เรียนเก่ง (หัวเราะ)



ตอนนั้นเปลี่ยนชื่อชีวิตเปลี่ยน แล้วการศัลยกรรม จนสุดท้ายได้รับฉายา 'เจ้าแม่ศัลยกรรม' เปลี่ยนชีวิตไหม
เปลี่ยน ยอมรับด้วยว่า มันคือสิ่งที่ทำให้แย้มีชื่อเสียง คือบางคนศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิตจริงๆ เพราะเขาได้ผัวดี บางคนทำศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิต เพราะเขาได้งานดี ได้เงินเยอะ บางคนทำศัลยกรรมมาปุ๊บเป็นแบบแย้ อยู่ดีๆ ได้เป็นเจ้าแม่ศัลยกรรม ได้เข้าวงการบันเทิง ซึ่งมันเปลี่ยนชีวิตเราอยู่แล้ว แต่จริงๆ แล้วก็ยังยืนยันว่า มันไม่ได้มาจากการทำศัลยกรรมอย่างเดียว มันมาจากตัวเราเองด้วย มาจากหลายๆ อย่างรวมกัน

เช่นอะไร
อย่างแรกเลยคือ ความมั่นใจ อันนี้ก็คงเกี่ยวกับการศัลยกรรม เพราะเมื่อเราสวยขึ้น เราจะมีความมั่นใจ พอเรามีความมั่นใจอะไรสักอย่าง มันก็แปลกดีที่มักจะทำให้สิ่งที่เรามั่นใจมันสำเร็จได้จริงๆ  
สอง—คือการแต่งหน้า แย้สามารถแต่งจากหน้าตาปกติหรือหน้าเต้าให้เป็นสไตล์ญี่ปุ่นก็ได้ เกาหลีก็ได้ ถ้าตามเพจแย้ ก็จะเห็นว่าแย้พยายามที่จะแต่งหน้าทำผมตามเทรนด์ให้มากที่สุด
สาม—คือเรื่องที่เราชอบให้คนรอบข้างมีความสุข เราเป็นสายเอนเตอร์เทน นี่คือสิ่งที่ติดตัวเราอยู่ตลอด คือเรารู้สึกว่าคนไทยแม่งชอบอะไรอยู่ไม่กี่อย่าง เช่น เรื่องลี้ลับ เรื่องชู้สาว เรื่องตลก ดังนั้นเรื่องลี้ลับเราทำไม่ได้ชัวร์เพราะๆ ไม่ใช่ผี ไม่มีจิตสัมผัส (หัวเราะ) ส่วนเรื่องชู้สาว เราก็คิดว่ามันไม่ดีทั้งต่อตัวเองและสังคม เราทำไม่ได้ มันเลยเหลืออย่างเดียวคือด้านตลก ซึ่งมันเป็นความสุขของเราอยู่แล้วที่ชอบเห็นคนรอบข้างมีความสุข มันเลยช่วยส่งเสริมกัน
ข้อสุดท้าย—น่าจะเป็นหัวมาร์เก็ตติ้งของเรามั้ง และเรื่องทัศนคติส่วนตัว 
ดังนั้นเรื่องศัลยกรรมมันก็แค่ส่วนหนึ่ง แค่อาจทำให้ชีวิตเราดีขึ้นนิดหนึ่ง ไม่งั้นทุกคนที่ไปทำศัลยกรรมชีวิตก็เปลี่ยนกันหมดแล้วสิ

"มันน่ากลัวนะ ที่เดี๋ยวนี้คนจะมาไปโฟกัสเรื่องความสวยความงามมากกว่าหน้าที่ของตัวเอง ยกตัวอย่างตัวเราเอง มันน่ากลัวจริงๆ นะ แย้ยอมรับเลยว่า เมื่อก่อนเราเป็นคนหนึ่งที่ตกเป็นเหยื่อของความหลงตัวเอง เพราะหลังจากแย้ทำจมูกตอนปี 3 ก่อนทำจมูกแย้ได้เกรด 3.8 แต่พอทำจมูกเสร็จปุ๊บ ไม่เรียนเลยครับ เข้ากรุงเทพฯ มานั่งที่นั่งเล่น (ชื่อผับ) ทุกวัน เพราะเราอยากจะพรีเซนต์หน้าตัวเองว่า ฉันสวย อยากเช็กเรตติ้ง เสนอหน้าสู่สังคม ไปล่อเหยื่อ (หัวเราะ)"

ความหน้าตาดีมีผลเสียบ้างไหม
ที่เห็นชัดๆ เลย เพราะเรามาจากคนที่ไม่สวยมาก่อน พอสวยขึ้นมา กลายเป็นที่ยอมรับ เราจะเห็นโลกสองด้าน คือ ณ วันหนึ่งที่เราไปเดินตลาด ไม่มีใครสนใจเราเลย คุยกับแม่ค้า แม่ค้าก็ไม่มองหน้า หน้าบึ้งใส่ จนวันที่เราสวยมากๆ เราจะรู้สึกว่าทุกคนเข้าหาเรา แบบ โอ้โห มากันมากมาย แล้วส่วนใหญ่คนที่เข้ามาในชีวิตเรา มักมีแต่คนมาหาผลประโยชน์  ซึ่งตอนแรกแย้ไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เชื่อแล้ว เพื่อนจริงจะน้อยลง มีแต่คนเข้ามาหวังผลประโยชน์ แต่พอวันหนึ่งที่เราหมดผลประโยชน์ เขาก็จะหายไป เราอยากจะขอความช่วยเหลือจากเขาบ้างก็ไม่ได้ ซึ่งนี่คือจุดเปลี่ยนอีกจุดในชีวิตเหมือนกัน คือไม่ได้เปลี่ยนที่รูปลักษณณ์ภายนอก แต่มันคือจุดที่ทำให้เราคิดอะไรได้หลายมุม หลายด้านขึ้น
และถ้ามองไปที่สังคมหรือเยาวชนไทย มันน่ากลัวนะ ที่เดี๋ยวนี้คนจะมาไปโฟกัสเรื่องความสวยความงามมากกว่าหน้าที่ของตัวเอง ยกตัวอย่างตัวเราเอง มันน่ากลัวจริงๆ นะ แย้ยอมรับเลยว่า เมื่อก่อนเราเป็นคนหนึ่งที่ตกเป็นเหยื่อของความหลงตัวเอง เพราะหลังจากแย้ทำจมูกตอนปี 3 ก่อนทำจมูกแย้ได้เกรด 3.8 แต่พอทำจมูกเสร็จปุ๊บ ไม่เรียนเลยครับ เข้ากรุงเทพฯ มานั่งที่นั่งเล่น (ชื่อผับ) ทุกวัน เพราะเราอยากจะพรีเซนต์หน้าตัวเองว่า ฉันสวย อยากเช็กเรตติ้ง เสนอหน้าสู่สังคม ไปล่อเหยื่อ (หัวเราะ) กลายเป็นว่าไปโฟกัสเรื่องความสวยของตัวเอง จากเดิมที่ได้เกรด 3.8 จบเทอมเหลือแค่ 2.8 ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตเรา การโฟกัสเรื่องการเรียนลดลงไปเยอะ นั่นคือตอนเด็กๆ ที่มักคิดอะไรได้แค่นั้น

คิดอย่างไรที่มีงานวิจัยบอกว่า คนหน้าตาดีจะมีแนวโน้มประสบความสำเร็จกว่าคนหน้าตาไม่ดี
คงไม่ขนาดหรือเปล่า เราคิดว่ามันแล้วแต่สายงานด้วยแหละ เพราะว่าถ้าเป็นงานเซลที่ต้องเจอลูกค้า ถ้าหน้าตาดีมันก็ได้เปรียบไง เพราะว่าเวลาเรานั่งคุยกับใครสักคน ถ้าคนนั้นหน้าตาดี เราจะรู้สึกสบายตาที่ได้คุยด้วย แต่ถ้าหน้าแย่มาก เป็นเราก็คงดูแล้วหดหู่ ไม่อยากคุยด้วย อันนี้ยอมรับว่ามันส่งผลจริงๆ 



จริงๆ แล้วเรื่องภายในหรือภายนอกสำคัญกว่ากัน
  แย้รู้สึกว่าภายในสำคัญกว่า การสวยมาจากภายในสำคัญกว่าเยอะ แย้เจอคนมาเยอะนะคะ รู้ไหมว่าคนที่หน้าตาดีมากๆ แต่ไม่ยิ้ม กับคนที่หน้าตาดีน้อยกว่าแต่ยิ้มแย้มตลอดเวลา คนประเภทหลังจะทำให้เรารู้สึกว่า เขาสวยมากกว่าคนประเภทแรกนะ คือมันต้องมาจากอินเนอร์ด้วย บางคนตอนแรกๆ ที่ยังไม่ได้รู้จัก เราจะรู้สึกเฉยๆ ใช่ไหม แต่พอเขาพูดปุ๊บ เราได้ยินน้ำเสียง เห็นความคิด หรือทัศนคติของเขาที่มันดูดี เขาก็สวยขึ้นมาทันทีเลยนะ

ถ้ามีเด็กผู้หญิงที่หน้าตาไม่ดีตามค่านิยมของสังคม มาพูดว่า “หนูอยากสวยเหมือนพี่แย้จังเลย” คุณจะตอบเธออย่างไร
จริงๆ แล้วมีคนมาพูดแบบนี้กับแย้เยอะมากนะ ซึ่งเรามักบอกเขาไปว่า นอกจากภายนอก คนเรายังสวยจากภายในได้ด้วย ยิ่งทุกวันนี้ทุกคนแม่งสวยกันหมดเลย ใครก็สวย มองไปนี่หน้าเหมือนกันหมด ทำไมทุกคนถึงสวยกันขนาดนี้แย้ก็ไม่เข้าใจ (หัวเราะ) แต่เราเลือกที่จะแตกต่างจากคนเหล่านี้ได้ เราจะไม่ต้องไปแข่งขันกับคนเหล่านี้เลย ถ้าเราเลือกแข่งในจุดที่เรามีสเน่ห์ เช่น นิสัยใจคอหรือการพูดจา 

ทุกวันนี้เวลาเห็นคนหน้าตาดีมากๆ รู้สึกอย่างไร
เริ่มที่ผู้หญิงก่อน ถ้าผู้หญิงหน้าตาดี แย้จะตั้งข้อสงสัยก่อนเลยว่า เขาอาจจะเป็นคนเอาแต่ใจหรือเปล่า ไม่สนใจคนอื่นหรือเปล่า เพราะเรารู้สึกว่าบางทีหน้าตามันก็ไม่ได้สัมพันธ์กับนิสัย มันจะค่อนข้างตรงข้ามด้วยซ้ำ คือไม่ใช่ว่าคนหน้าตาดีจะไม่เข้าใจโลก ไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือเอาแต่ใจตัวเองนะ คนหน้าตาดีที่เขาดีๆ ก็มีเยอะ แต่ที่แย้เห็นส่วนใหญ่จะเชิดๆ เริดๆ มากกว่า (หัวเราะ)
ส่วนผู้ชาย ถ้าหน้าตาดี แย้จะค่อนข้างระวังเวลาเข้าไปคุย หนึ่งเลยเพราะเขาหน้าตาดี ถ้าเราเข้าไปคุย แล้วสปาร์กขึ้นมาเราจะทำยังไง แย้จะไม่ค่อยเข้าไปคุยกับคนหน้าตาดี คือถ้าเจอตอนทำงานปกติก็เฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร แต่ถ้าจะมีแฟนสักคนหน้าตาดี แย้ไม่เอานะ เพราะผู้หญิงสมัยนี้น่ากลัวมาก เรากลัวโดนแย่ง (หัวเราะ) คือผู้หญิงสมัยนี้น่ากลัว เพราะเขากล้าที่จะเข้าหาผู้ชายที่ดูรวยและหน้าตาดี 

"เรารู้สึกว่า oh shit คุณมารู้เรื่องอะไรในชีวิตฉัน คือจริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องของคนสองคนที่คนอื่นยังไงก็ไม่มีวันเข้าใจ ซึ่งมันอาจไม่ใช่ทั้งหมดในตอนที่แย้แถลงข่าวไง แต่แย้ดันถูกมองว่า โห เป็นสาวนักปาร์ตี้จนต้องเลิกกับหมอ แล้วสังคมก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันยับ เราก็พังเลย เอาที่สบายใจ ตอนนั้นเครียดนะ นอนร้องไห้ เสียใจที่มีคนมาด่าเรา แต่ตอนนี้ไม่แล้ว"

ระหว่างโดนวิจารณ์เรื่องหน้าตา กับเรื่องส่วนตัวอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับหน้าตา อย่างไหนทำให้เสียใจได้มากกว่า
แย้เคยโดนคนด่าว่า ไม่เห็นจะสวยเลย ศัลยกรรมมายังไง ทำไมตัวจริงไม่เห็นสวยเหมือนในรูปอะไรแบบนี้ แต่แย้ก็เฉยๆ นะ เพราะความเซนสิทีฟของแย้กับเรื่องพวกนี้มันต่ำ แต่นอกเหนือจากเรื่องหน้าตาเราจะอ่อนไหวมาก แค่คอมเมนต์เดียวที่ด่าเรา มันทำให้เราหดหู่ เสียใจ ถึงแม้คนคนนั้นเราจะไม่รู้จักก็ตาม มันมีคนออกมาว่าแย้เยอะมาก เช่น แดกเหล้าจนผัวทิ้ง แดกเหล้าจนผัวเลิก ดีแล้วแหละ เชิญปาร์ตี้ต่อ คือเรารู้สึกว่า oh shit คุณมารู้เรื่องอะไรในชีวิตฉัน คือจริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องของคนสองคนที่คนอื่นยังไงก็ไม่มีวันเข้าใจ ซึ่งมันอาจไม่ใช่ทั้งหมดในตอนที่แย้แถลงข่าวไง แต่แย้ดันถูกมองว่า โห เป็นสาวนักปาร์ตี้จนต้องเลิกกับหมอ แล้วสังคมก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันยับ เราก็พังเลย เอาที่สบายใจ ตอนนั้นเครียดนะ นอนร้องไห้ เสียใจที่มีคนมาด่าเรา แต่ตอนนี้ไม่แล้ว



ณ วันนี้ที่ยังสาวยังสวยอยู่ ได้มองไปไกลๆ ถึงวันที่ต้องแก่ตัวลงและไม่สวยอีกแล้วบ้างไหมว่า สุดท้ายเราจะทำอะไรต่อ
คือทุกคนกลัวแก่กันหมดแหละ เพียงแต่ว่าถ้าเราอายุเยอะแล้ว เราคงต้องหาทางว่า ฉันจะทำยังไงให้ตัวเองยังน่ารัก ทำยังไงให้คนอื่นเมตตา หรือเราต้องเปลี่ยนสเน่ห์ของเราจากเรื่องหน้าตาไปจุดอื่นๆ แทนหรือเปล่า อีกแง่หนึ่งคือ อาจต้องพยายามมองในแง่ดีว่าถ้าฉันไม่สวยแล้วก็คงไม่มีใครเข้ามาหาผลประโยชน์จากเราอีก มันอาจทำให้เราเจอคนที่รักเราจริงๆ—ส่วนเรื่องงาน แย้คิดว่า แย้คงจะเป็นบล็อกเกอร์ แก่แค่ไหนก็ยังเป็นบล็อกเกอร์ได้

ถึงตอนนั้นจะเอาคอนเทนต์อะไรมาขาย
เรื่อง aging ไง เช่น ปัญหาของคนแก่ตอนนั้นคืออะไร ถ้าปวดหลังฉันก็จะรีวิววิธีการทำให้หายปวดหลัง หรือเรื่องผมขาว ก็อาจเป็นเคล็ดลับการปิดผมขาว มันมีเรื่องที่เราสามารถยิบมานำเสนอได้ตลอดนะ แล้วต่อไปอัตราของคนแก่ก็อาจจะยิ่งเพิ่มขึ้น ยิ่งคนแก่มีกำลังซื้อสูง ผู้ผลิตสินค้าเขาก็ต้องผลิตสินค้าออกมาตอบสนองความต้องการของตลาด แต่ไม่แน่นะ ถึงตอนนั้นเราอาจนอนกินปันผลหุ้นอยู่เฉยๆ ก็ได้