ทันทีที่ซีรีส์ ไดอารี่ตุ๊ดซีส์ (Diary of Tootsies) EP.6 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2559 ขึ้นเอนด์เครดิต หน้าของ พีค—ภัทรศยา เครือสุวรรณศิริ ในบท 'แนตตี้' พริตตี้สาวเงินหมื่น ดี้สาวสุดเพี้ยนในกลุ่มเพื่อนสนิทผู้มีความหลากหลายทางเพศ ก็ปรากฏขึ้นเต็มหน้านิวส์ฟีดเฟซบุ๊ก กลายเป็นมีมยอดฮิตต่อเนื่องยาวนานเกือบสองสัปดาห์ ก่อนจะจางหายไปเหมือนเรื่องฮิตอื่นๆ ในโลกออนไลน์ที่มีอายุขัยแสนสั้น
คล้ายกับการสว่างวาบของดาวหาง ก่อนมอดดับกลืนหายไปกับท้องฟ้ายามค่ำ—โลกทุกวันนี้เป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะกับวงการบันเทิงที่มีดาวดวงใหม่ผุดพรายขึ้นเต็มฝากฟ้าทุกวัน ก็ดูเหมือนกับว่า คำว่า 'ดาวค้างฟ้า' จะตกยุคล้าสมัยเข้าไปทุกที
พีครับรู้ เข้าใจ และตระหนักดีถึงข้อเท็จจริงประการนี้ และนั่นเองที่เมื่อเราถามว่า หากให้ยึดตามมีมที่แน็ตตี้ซึ่งเป็นตัวละครของเธอบอกกับเพื่อนร่างอวบในทำนองที่ว่า 'ฉันจะทำอะไรก็ได้ เพราะนี่คือพื้นที่ของฉัน' พีคจึงตอบทันควันว่า เธออยากทำอะไรก็ตามที่แสดงถึงความเป็นตัวของเธอเอง
ชีวิตของทุกคนเป็นเช่นนั้น เราไม่ได้คงอยู่ชั่วนิรันดร์ การมีชีวิตเป็นแค่ชั่วขณะอันกระจิริดของจักรวาลอันไพศาล สว่างวาบชั่วแวบราวดวงดาว ดังนั้นสิ่งที่เราในฐานะมนุษย์ทำได้มากที่สุดก็คือ การลงมือทำในสิ่งที่ตนอยากทำในขณะที่ช่วงเวลาแสนสั้นยังดำรงอยู่
แม้ช่วงแรกพีคจะยังไม่ได้คาดหวังกับอาชีพนักแสดงสักเท่าไหร่ แต่เมื่อวงการบันเทิงอ้าแขนรับ และยื่นโอกาสให้จนกลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายกับบทสาวสุดเซ็กซี่จากหนังเรื่อง สายลับจับบ้านเล็ก (2007) ก็ดูเหมือนว่าเธอจะมุ่งมั่นและทุ่มเทให้กับทุกงานที่เข้ามาอย่างเต็มที่—ทุ่มเทถึงขนาดที่ว่า เธอรู้สึกแย่ ผิดหวัง และอยากหันหลังให้กับงาน หากภายในของตัวเองเกิดภาวะที่ถ้าใช้สำนวนของเธอก็ต้องบอกว่า 'ไม่อินพอ'
และ 2 ปี ที่เธอถอยห่างออกจากวงการบันเทิงโดยไม่รับงานใดๆ หันไปทำเรื่องราวอื่นๆ ที่เธอสนใจอย่าง ร้านขนม Dessert Warehouse เพื่อบ่มเพาะความอิน ความจริงจังกับงานในวงการบันเทิงให้ระอุอุ่นขึ้นในอก ก่อนจะกลับมารับงานอีกครั้ง นั่นก็สามารถเป็นเครื่องมือยืนยันได้อย่างดีว่า เธอสัตย์ซื่อและจริงจังกับอาชีพที่วันนี้เธอบอกว่า มันกลายเป็น 'ความรัก' ไปแล้วมากมายแค่ไหน
ทั้งหมดนี้พิสูจน์ได้จากพลังงานในการแสดงที่เธอส่งออกมาจากท่าทางและแววตา เป็นแววตาที่บรรจุจักรวาลทั้งจักรวาลของหญิงสาวคนหนึ่งเอาไว้
เมื่อแนตตี้ตัวละครของเธอบอกกับเพื่อนที่นั่งรถไปด้วยกันขณะติดแหง็กอยู่บนทางด่วนว่า
“กูจะขี้ที่ไหนก็ได้” (ฮา)
รู้สึกอย่างไรที่อยู่ๆ การแสดงของคุณก็กลายมาเป็น 'มีม' ที่กระจายตัวไปในสังคมออนไลน์อย่างรวดเร็ว
ตกใจเหมือนกัน ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้ ไม่คิดเลยจริงๆ คือตอนที่รับเล่นซีรีส์เรื่องนี้ เรารู้อยู่แล้วว่า มันต้องมีฉากที่แน็ตตี้ขี้ในรถ แต่ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้คิดว่ามันจะตลกหรือไม่ตลก แค่รู้สึกว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยเจอ ก่อนหน้านั้นก็จะพยายามตีความบทละครว่า ถ้าเราต้องขี้ในรถจริงๆ เนี่ย เราต้องปวดท้องขนาดไหน การทนไม่ไหวของคนที่ปวดท้องอึต้องแสดงออกมายังไง คือตอนแรกไม่ได้ขำเลยนะ เพราะพีคจริงจังมาก พยายามเตรียมพลังในการเล่นไว้เต็มที่ แต่พอออนแอร์ออกมาแล้วมีคนชอบ บอกว่าเราแสดงตลก เราก็ดีใจ
คุณเคยเจอเหตุการณ์ฮาๆ แบบที่แน็ตตี้เจอบ้างไหม
ถ้าเอาเหตุการณ์ที่คล้ายกับแนตตี้เลย จะเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวมากกว่า คือตอนนั้นพีคกับหลานสาวนั่งรถไปด้วยกัน แล้วอยู่ๆ หลานก็บอกว่า อาพีคหนูปวดอึ (หัวเราะ) คือตอนนั้นรถติดอยู่ เราทำได้แค่ปลอบเขาว่า หนูต้องทน แล้วอยู่ๆ หลานก็บอกอีกว่า เดี๋ยวหนูอึในรถก็ได้ (หัวเราะ) คือก่อนหน้านี้เขาเคยปวดฉี่ แล้วพีคให้เขาฉี่ในรถ เพราะพีคจะมีถุงสำหรับฉี่ติดรถไว้ มีทิชชู่เปียกเตรียมพร้อมตลอด พอติดไฟแดงปุ๊บ พีคก็จะให้เขาฉี่ คือถ้าฉี่มันจะไม่เลอะนะ สะอาดมาก แล้วเด็กเขาก็คงเข้าใจว่า ในเมื่อหนูฉี่ในรถได้ ทำไมหนูจะอึไม่ได้ล่ะ แต่มันไม่ได้จริงๆ ไง สำหรับพีคมันไม่ได้ (หัวเราะ) พีคทนกลิ่นไม่ไหว แล้วไม่อยากเห็นด้วย เราเลยทำได้แค่ปลอบเขาว่า หนูต้องทน หนูต้องทน สุดท้ายเขาก็ทนได้ จนพีคหาห้องน้ำให้เขาเข้า
ถ้ายึดตามคำพูดของแนตตี้ที่บอกกับเพื่อนว่า '...กูจะทำอะไรก็ได้' โดยที่ไม่ต้องแคร์สายตาใครๆ ตอนนี้คุณอยากทำอะไรมากที่สุด
(หัวเราะ) หมายถึงตัวเองใช่ไหม งั้นก็... กูจะทำอะไรก็ได้ กูจะเป็นพีคยังไงก็ได้ เพราะเราจะเป็นยังไงมันก็เป็นเรื่องของเรา
แล้วจริงๆ คุณเป็นคนยังไง
ก็เป็นคนปกติ ไม่ได้เพี้ยนแบบแนตตี้ พีคเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง ที่ผ่านมาจะรู้สึกว่าตัวเองเด็กอยู่ตลอด คือเมื่อก่อนเราเป็นคนไม่ค่อยมีเหตุผล ใช้ชีวิตดูยากไปหมด แต่พอโตขึ้น เราจะรู้สึกว่า จริงๆ ทุกอย่างมันไม่ได้ยากขนาดนั้น ตอนนี้เลยใช้ชีวิตอย่างสบายใจมากขึ้น
อะไรเป็นตัวกระตุ้นให้เติบโตขึ้น
คือตลอดเวลาที่ผ่านมาเราได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่าง พีคว่ามันเป็นเพราะหลายๆ อย่างรวมกัน บวกกับคนที่เราได้พบเจอในชีวิตด้วย คือโชคดีมากที่ผ่านมาเราเจอแต่คนดีๆ เพราะตอนเด็กๆ เราค่อนข้างเป็นคนหัวอ่อน จะแยกแยะไม่ค่อยได้ ต่างจากตอนนี้ การได้เจอแต่คนดีๆ เลยทำให้เราค่อนข้างมีพื้นฐานที่ดี
"คนดูเป็นหัวใจสำคัญเลยนะ สมมติเราเล่นหนังสักเรื่องด้วยความตั้งใจกับมันมากเลย แต่สุดท้ายไม่มีคนดู เราคงรู้สึกแปลกๆ คือถ้าเราทำงานเต็มที่ เราก็อยากให้คนได้ดูได้ชมด้วยน่ะ"
การอยู่ในวงการบันเทิงในช่วงสิบปีที่ผ่านมาช่วยทำให้คุณเติบโตขึ้นด้วยใช่ไหม
ใช่ค่ะ เพราะอย่างแรกเลยมันสร้างรายได้ให้แก่เรา คือเราสามารถดูแลตัวเองได้ตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็ทำให้เราเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพีคจะเป็นคนประเภทที่ต้องเจอกับตาถึงจะเชื่อ ถ้าถามว่าเวลามีคนสอนฟังไหม ก็ฟังนะ แต่ทำตามไหมหรือคิดได้ไหมจะอีกเรื่องหนึ่งเลย คือเราอยากเจอด้วยตัวเอง พีคคิดว่าคนเราจะเติบโตได้ต้องมาจากประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง แล้วประสบการณ์พวกนี้มันวิ่งเข้ามาหาเราในรูปแบบของการทำงาน มันมาจากการสั่งสม มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้โตขึ้นแบบก้าวกระโดด
สิ่งสำคัญที่ได้เรียนรู้มาคืออะไร
ตอนเข้าวงการบันเทิงแรกๆ เราเคยทำงานแบบเจ็ดวันไม่หยุดพักเลยนะ ตอนนั้นบวกกับความเป็นเด็กด้วย มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่สนุกกับงาน เพราะมันเหนื่อย นอนไม่พอ แล้วเวลาต้องทำงานจริงๆ จะรู้สึกทรมาน—ทรมานมากเหมือนกันนะ คือมันทำให้ร่างกายเราทรุดโทรมเร็วมาก มีบางช่วงที่หักโหมถ่ายตั้งแต่หกโมงเช้าถึงตีห้า หรือถ่ายหกโมงเย็นถึงหกโมงเช้า แล้วพอเจ็ดโมงก็ต้องไปอีกกองหนึ่งแล้ว พีครู้สึกเหมือนว่ามันดึงพลังงานในอนาคตไปใช้เยอะ แล้วพอทำอย่างนั้นไปเรื่อยๆ เราจะรู้สึกล้า มันทำให้เราไม่มีความสุข นั่นคือสิ่งที่เราได้เจอกับตัว เราเรียนรู้ว่าการทำอะไรก็ตามมันควรทำแต่พอดี ไม่เกินกำลังของตัวเอง เพราะพอบวกกับช่วงเวลาที่เรายังไม่โตพอ แล้วเราดันไปงอแง ไม่เต็มที่กับการทำงาน ซึ่งพอไม่เต็มที่เราจะรู้สึกว่ามันเสียเวลา เพราะเมื่องานออกมามันจะได้แค่ระดับโอเค พอใช้ แต่ไม่ถึงกับดี คือถ้าทำแล้วไม่ดี ก็ไม่รู้จะทำไปทำไม
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่คุณไม่รับงานในวงการบันเทิงเลยประมาณสองปี
ใช่ค่ะ ไปทำร้านขนม ตอนนั้นรู้สึกเหนื่อยด้วย รู้สึกไม่อิน ถ้าเรื่องไหนอินก็จะเล่นดี ถ้าเรื่องไหนไม่ได้อินอะไรกับมันมาก ก็จะทำออกมาได้แค่ระดับเฉยๆ ซึ่งในการทำงานมันเป็นแบบนั้นไม่ได้ไง พีคจะรู้สึกว่าถ้าคิดจะรับงาน เราก็ต้องเต็มที่ เพราะถ้าไม่เต็มที่ มันไม่ได้เดือดร้อนแค่เรา มันจะเดือดร้อนคนที่เขาอยากใช้เราด้วย มันจะทำให้เขาเสียเวลา ก็เลยมีช่วงหนึ่ง เราหันไปทำขนมอย่างเดียวเลย ตอนนั้นอินกับมันมากๆ แต่พอทำไปได้ระยะหนึ่ง เราก็เริ่มคิดถึงการแสดง ซึ่งพอได้กลับมาทำด้วยความตั้งใจ ความสนุกในการทำงานก็กลับมา และยิ่งมีคนชื่นชอบผลงานที่เราตั้งใจทำเราก็ยิ่งดีใจ เพราะนั่นคือสิ่งที่เราทำอย่างเต็มที่
สิ่งไหนในงานด้านการแสดงที่ทำให้คุณคิดถึงมัน
เรารู้สึกว่ามันเป็นอาชีพที่ไม่น่าเบื่อ คืองานด้านอื่นๆ ที่เราได้ทำและอินกับมันเราก็สนุกนะ แต่อย่างการทำขนมมันจะไม่ได้หลากหลายเท่าการแสดง งานแสดงมันเปิดโอกาสให้เราได้ทำสิ่งใหม่ๆ เยอะมาก บางบทบาทที่ไม่คิดว่าจะได้เล่นเราก็ได้เล่น ได้เรียนรู้มุมมองใหม่ๆ อยู่เสมอ เราเลยคิดว่าเราโชคดีมากเลยที่ได้มาเป็นนักแสดง
อาชีพนักแสดงเป็นความฝันของคุณมาตั้งแต่วัยเด็กหรือเปล่า
ไม่ค่ะ ตอนเด็กๆ ดูทีวี แล้วจะแค่รู้สึกว่า อยากเห็นตัวเองในทีวี อยากให้เพื่อนๆ เห็นเราในทีวี แค่นั้นเอง คือตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาชีพนักแสดงได้รายได้ขนาดไหน แต่พอได้ทำปุ๊บ โอ้โห งานแรกพีคได้ค่าตัว 80,000 นะคะ นั่นคือเมื่อสิบสองปีที่แล้ว ซึ่งมันเยอะมากสำหรับเด็กอย่างเรา ตอนแรกๆ จะรู้สึกตื่นเต้นกับมัน แต่จริงๆ แล้วตอนนั้นก็ยังไม่คิดจะยึดอาชีพนี้เป็นหลักนะ เพราะเราไม่ได้คิดว่าเราเล่นดีอะไร แค่มีคนให้โอกาส แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ประสบการณ์เราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราก็พบว่ามันไม่มีอะไรยากเกินความตั้งใจของเราหรอก
กว่าสิบปีในวงการบันเทิง สำหรับคุณแล้วอะไรคือศูนย์กลางของจักรวาลในวงการนี้
น่าจะเป็นคนดู คนดูเป็นหัวใจสำคัญเลยนะ สมมติเราเล่นหนังสักเรื่องด้วยความตั้งใจกับมันมากเลย แต่สุดท้ายไม่มีคนดู เราคงรู้สึกแปลกๆ คือถ้าเราทำงานเต็มที่ เราก็อยากให้คนได้ดูได้ชมด้วยน่ะ ซึ่งพีคก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราคิดว่าคนดูเป็นจุดศูนย์กลางเลยนะ เพราะถ้ามีคนดู มีคนพูดถึง มีคนชื่นชม เราก็จะมีกำลังใจ ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน สุดท้ายถ้ามีคนดู ยิ่งถ้าได้ดูแล้วชอบ ได้รับความบันเทิงจากเราไม่ว่าด้านไหน เราจะแฮปปี้มากๆ สิ่งที่เราต้องการมีแค่นั้นเลย
"จุดโฟกัสของเราก็เปลี่ยนไป ตอนนี้เราหันมาใส่ใจกับครอบครัวมากขึ้น หัดเข้าหาครอบครัว พยายามเข้าไปดูแลเรื่องต่างๆ อย่างตอนเด็กๆ จุดโฟกัสคืองานกับแฟน ครอบครัวก็อาจจะเป็นรองแฟนด้วยซ้ำ ซึ่งก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก แต่ตอนนี้จุดโฟกัสของเราเปลี่ยนไปแล้ว—ไม่ใช่ว่าไม่อยากมีคนรักนะ แต่มันต้องลำดับความสำคัญให้ดี คือต้องแบ่งเวลาให้พอดี มีแฟนแล้วก็ต้องมีเวลาให้กับงานด้วย ให้ครอบครัวได้ด้วย ทุกอย่างต้องสมดุล ไม่ใช่เทไปด้านใดด้านหนึ่ง"
วงการบันเทิงทุกวันนี้มีดาวดวงใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน กลัวดาราใหม่ๆ นักแสดงใหม่ๆ ที่จะเข้ามาทำให้พื้นของเราน้อยลงบ้างไหม
ไม่เลยค่ะ เพราะในแง่หนึ่งสิ่งที่เราทำได้มากที่สุดคือการเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของตัวเราเองเหมือนกัน อย่างเมื่อก่อน ตอนที่เรายังไม่รู้ว่าเราชอบการแสดงขนาดไหนหรือชอบจริงไหม เมื่อมีคนให้โอกาส เราก็จะทำๆ มันไปตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย แต่ตอนนี้ เรารู้แล้วว่าเราชอบการแสดงมาก สิ่งที่เราทำมันเลยกลายเป็นการทำในสิ่งที่เราคิดว่าเราทำมันได้ดี และเมื่อเราทำได้ดี มีคนดู เราก็จะชื่นใจไปกับมัน เพราะฉะนั้นเรื่องแบบนี้มันเป็นการเปรียบเทียบกับตัวเอง วัดผลลัพธ์จากสิ่งที่ตัวเองเคยทำ เราจะไม่เอาตัวเองไปวัดกับคนอื่น และอีกมุมหนึ่ง ณ ปัจจุบันมันมีช่องทางเยอะมากนะ มีคนเข้ามาเพิ่มขึ้นก็จริง แต่พื้นที่มันก็เพิ่มขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นถึงจะมีคนใหม่ๆ เข้ามาเยอะแค่ไหน พีคเชื่อว่ามันต้องมีสักพื้นที่หนึ่งที่เป็นพื้นที่ของเรา สิ่งสำคัญคือ เมื่อเราได้พื้นที่ตรงนั้นมา เราจะทำงานบนพื้นที่ของเราได้ดีแค่ไหนมากกว่า ถ้าเราทำมันได้ดีจริงๆ มันก็ไม่มีอะไรน่ากลัว พีคจะไม่เคยมานั่งกลัวว่าจะมีคนลืมเราหรือเปล่า อาจเพราะเราไม่เคยคาดหวังด้วย คือไม่ใช่กลัวผิดหวังเลยไม่คาดหวังนะ แต่ตั้งแต่จุดเริ่มต้น ตอนที่ได้มาเล่น สายลับจับบ้านเล็ก เราไม่ได้คาดหวังอะไรเลย จะรู้สึกแค่ว่า มีโอกาสได้เล่นหนังใหญ่ มันก็สุดๆ แล้ว ที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรสุดไปกว่านี้แล้ว ตอนนั้นมองด้วยสายตาแบบเด็กๆ เลย แต่สุดท้ายพอผลงานของเราออกไป แล้วมีคนชื่นชอบ เราก็ตกใจ แต่ก็ดีใจด้วย คือพื้นฐานของเรา เราเป็นคนที่ไม่ชอบตั้งความคาดหวัง เลยไม่มีอะไรให้กังวล แต่ก็ต้องยอมรับว่า จะต่างจากตอนนี้นิดหน่อย ที่จะรู้สึกว่า เราทำงานก็อยากให้คนได้ดู เพราะถ้าเราเต็มที่กับอะไร แล้วมั่นใจว่าสิ่งนั้นมันสนุก เราก็อยากให้คนอื่นสนุกไปกับเราด้วย
เป้าหมายในวันนี้กับเมื่อสิบปีก่อนตอนเข้าวงการบันเทิงใหม่ๆ เปลี่ยนไปเยอะไหม
เปลี่ยน แต่เราคิดว่าเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นนะ ตอนนี้เราโตขึ้น หน้าตาเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะเราโตขึ้นเรื่อยๆ (หัวเราะ) แล้วจุดโฟกัสของเราก็เปลี่ยนไป ตอนนี้เราหันมาใส่ใจกับครอบครัวมากขึ้น หัดเข้าหาครอบครัว พยายามเข้าไปดูแลเรื่องต่างๆ อย่างตอนเด็กๆ จุดโฟกัสคืองานกับแฟน ครอบครัวก็อาจจะเป็นรองแฟนด้วยซ้ำ ซึ่งก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก แต่ตอนนี้จุดโฟกัสของเราเปลี่ยนไปแล้ว—ไม่ใช่ว่าไม่อยากมีคนรักนะ แต่มันต้องลำดับความสำคัญให้ดี คือต้องแบ่งเวลาให้พอดี มีแฟนแล้วก็ต้องมีเวลาให้กับงานด้วย ให้ครอบครัวได้ด้วย ทุกอย่างต้องสมดุล ไม่ใช่เทไปด้านใดด้านหนึ่ง ตอนนี้เราตั้งต้นที่ครอบครัว พีคจะคิดว่าถ้าเราสามารถดูแลคนที่เรารักและรักเราได้ดีพอ เราก็จะสามารถแบ่งปันไปยังคนอื่นหรือสังคมได้ สมมติพีคมีเงินเยอะมากพอที่จะช่วยเหลือคนอื่นได้เยอะๆ มันก็น่าจะเป็นอะไรที่ดีมาก แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องทำในส่วนของเราให้มันดีมากๆ ก่อน หมายความว่า ถ้ามีมาก เราก็จะสามารถแบ่งได้มาก แต่ไม่ใช่ว่ามีน้อย เราจะแบ่งปันไม่ได้นะคะ
ตามตรงๆ ว่า แปดปีที่คบหาดูใจกับผู้ชายคนหนึ่ง แต่สุดท้ายต้องเลิกลากันไป มันทำให้คุณหวาดระแวงที่จะสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ ขึ้นมาไหม
ไม่ค่ะ เราจะรู้สึกแค่ว่าทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง คือตอนแรกๆ เราก็กลัวเรื่องการเปลี่ยนแปลงนะ กลัวว่าจากที่เคยมีแฟนมาตลอด ซึ่งระยะเวลามันยาวมากเกือบค่อนชีวิตเหมือนกัน พอไม่มี เราจะเหงาไหม เราจะอยู่ยังไง แต่สุดท้ายแล้ว เราพบว่า ไม่ว่ายังไงเราก็ยังมีครอบครัว มีเพื่อน ความสนใจมันก็จะเปลี่ยนไป จากที่เคยโฟกัสเรื่องแฟน พอถอยออกมา เราพบว่ามันยังมีจุดอื่นให้โฟกัสอีกเยอะ ดังนั้น ถ้าจะกลัวจริงๆ เราจะไม่ได้กลัวว่า สุดท้ายจะเลิกกันหรือเปล่า ไม่ได้กลัวอะไรรูปแบบนั้น แต่อาจจะกลัวว่า เราจะทำให้คนคนหนึ่งต้องเสียใจอีกไหม เพราะเราเคยเสียใจกับภาวะแบบนั้นมาแล้ว
"สำหรับพีค คนรักเก่าก็คือคนรักของเรา คือเราเคยรักเขาไปแล้ว เพราะฉะนั้นข้อเท็จจริงที่พีครักเขาจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง"
ตอนนี้ทัศนคติต่อเรื่องความรักเป็นยังไง
เมื่อก่อนเวลาคบกัน พีคจะค่อนข้างเป็นผู้รับมากกว่าผู้ให้ เรารู้สึกว่าเราเห็นแก่ตัว เอาเปรียบแฟน ซึ่งตอนนี้เรารู้สึกว่ามันไม่ถูก เลยอยากลองเป็นผู้ให้ที่ดีบ้าง รู้สึกว่าไม่ใช่คอยแต่แห็นแก่ตัว คิดจะรับอย่างเดียว ต่างคนต่างต้องเป็นผู้ให้ มีน้ำใจซึ่งกันและกัน พอเป็นแบบนั้น พีคคิดว่าการทำความเข้าใจกันมันคงไม่ยาก เพราะถ้าเราต่างหันหน้าเข้าหากัน ต่างคนก็จะไม่เหนื่อย เราเป็นผู้รับอย่างเดียวไม่ได้ ที่สำคัญพีคคิดว่าการเป็นผู้ให้มันคือวิถีทางที่จะทำให้เรามีความสุขนะ ตรงนี้คือมุมมองต่อเรื่องความรักที่เริ่มเปลี่ยนไป
ตอนที่ยานนิวฮอไรซันส์ของนาซาวิ่งเฉียดเข้าใกล้ดาวเคราะห์แคระพลูโต มีกระแสการนำดาวพลูโตมาเปรียบเทียบกับคนรักเก่าด้วยอุปมาประมาณว่า 'เป็นดวงดาวที่ห่างไกล แม้เฉียดเข้าใกล้ได้ แต่ไม่อาจสัมผัส' สำหรับคุณนิยามของคนรักเก่าเป็นแบบนี้ด้วยไหม
สำหรับพีค คนรักเก่าก็คือคนรักของเรา คือเราเคยรักเขาไปแล้ว เพราะฉะนั้นข้อเท็จจริงที่พีครักเขาจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง สำหรับพี่เต๋อ (ฉันทวิชช์ ธนะเสวี) เขาจะยังเป็นคนรักที่อยู่ในชีวิตที่ผ่านมาของพีค เขาเป็นเหมือนคนในครอบครัว เราผูกพันกัน เขาเห็นพีคมาตั้งแต่เด็ก แล้วเราก็รู้จักกันดีมาก คือแม้สถานะจะเปลี่ยนไป แต่ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นห่วง มีความหวังดี และช่วยเหลือกันไม่ได้
ปกติเป็นคนชอบดูดาวไหม
ชอบค่ะ แต่นานมากแล้วที่ไม่เห็นดาว เพราะเราอยู่ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่พีคจะได้ดูพระอาทิตย์กับพระจันทร์ตอนกลางคืน ชอบมองพระจันทร์ จะสังเกตว่าวันนี้พระจันทร์โตไหม หรืออย่างพระอาทิตย์ เราจะชอบแสงของขอบฟ้าเวลาพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก เราชอบมองฟ้า ชอบท้องฟ้าสวยๆ ก้อนเมฆสวยๆ และชอบถ่ายรูปเก็บไว้ อย่างตอนถ่าย ไดอารี่ตุ๊ดซีส์ มีอยู่วันหนึ่งถ่ายเสร็จตีห้าห้าสิบแล้ว พอถ่ายเสร็จปุ๊บหันไปดู พระอาทิตย์กำลังขึ้นพอดี ฟ้าสีสวยมาก มันทำให้เราหายเหนื่อยไปได้ระดับหนึ่ง
กลับไปที่ผลงานล่าสุดอย่าง ไดอารี่ตุ๊ดซีส์ ในฐานะที่คุณเป็นนักแสดงของซีรีส์ที่เล่าเรื่องราวของกลุ่มคนผู้มีความหลากหลายทางเพศ คุณมองเรื่องความหลากหลายทางเพศในสังคมไทยอย่างไร
พีคว่าเป็นเรื่องปกติมากนะคะ คือมนุษย์คนหนึ่งชอบที่จะเป็นอะไร เขาก็ควรได้เป็นแบบนั้น ไม่ว่าคุณจะชอบใคร ชอบเพศไหน ถ้ามันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เช่น ในฐานะลูกคนหนึ่ง ถ้าเราจะรักจะชอบคนเพศเดียวกัน เราก็ต้องมั่นใจว่าจะไม่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ของเราเป็นห่วง และในโลกของความจริง ในโลกของการทำงาน ปัจจุบันนี้มันไม่สามารถเอาเรื่องเพศมาวัดได้นะ เราควรวัดกันที่คุณภาพของผลงาน สมมติถ้าคุณทำงานบริการ แล้วพูดจาไม่ดีใส่ลูกค้า มันก็เป็นที่นิสัยของคุณ ไม่ใช่เรื่องเพศ ไม่ว่าคุณจะรักเพศตรงข้ามหรือรักร่วมเพศ ถ้าทำงานได้อย่างดี หรือทำให้งานมีปัญหา มันก็เป็นปัญหาที่การทำงานของคุณ ไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศ ดังนั้น สังคมโดยรวมควรมองประเด็นนี้มากกว่านะ