เจเจ—กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม ชายหนุ่มผู้จะมาแต่งแต้มสีสันใหม่ๆ ให้วงการบันเทิง

"เป็นแฟนกันได้ยัง?"

ข้อความนั้นปรากฏอยู่ในรูปถ่ายหลังกล้องที่ชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งยื่นให้แก่ใครอีกคน
มุกขอความรักแบบนั้นอาจทำให้ใครหลายคนยิ้ม จิกหมอน กรี๊ดกร๊าดอยู่ในใจ
ส่วนคนที่ถูกขอเป็นแฟนนั้นเขินอาย หน้าแดงถึงคอ พยักหน้าน้อยๆ แสดงอวัจนภาษาที่แปลว่า 'ตกลง'
แต่ไม่—ชายหนุ่มหน้าตาดีไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เขาแสร้งทำเป็นปวดหลัง ยืดแขนทั้งสองข้างขึ้น ก่อนจะทิ้งมันลง ดึงคนที่เพิ่งตกลงเป็นแฟนกับเขามาโอบกอด แล้วฉวยโอกาส ยื่นหน้าไปหอมแก้ม
!!!
กรี๊ดอีกสักทีดีไหม? 
นั่นคือวิธีการขอเป็นแฟนแบบน่ารักๆ จากชายหนุ่มขี้อ่อยนาม 'ท๊อป' ในซีรีส์เรตติ้งดีอย่าง ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์  (DiaryTootsies) ที่สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ให้แก่วงการซีรีส์ไทยอีกครั้ง หลังจากเข้าฉายเมื่อเดือนมีนาคม-เมษายนที่ผ่านมา ด้วยมีมต่างๆ นานาที่กระจัดกระจายสร้างกระแสอยู่ในโลกออนไลน์แบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ ชนิดที่เรียกได้ว่า ถ้าคุณได้เข้าอินเทอร์เน็ตในระยะเวลาดังกล่าว หากไม่่มีปัญหาทางสายตา ก็เชื่อได้ว่าร้อยทั้งร้อยต้องเคยเห็นอยู่บ้าง 
หลายฉากทำให้ขำ แต่ละตอนทำให้อมยิ้ม บาง e.p. ก็ทำให้น้ำตาปริ่ม พร้อมกับเรื่องราวอันหลากหลายในมิตรภาพของกลุ่มเพื่อนเพศที่สาม ที่สอดแทรกเนื้อหาสาระบางอย่าง เปิดเปลือยแง่มุมต่างๆ ในสังคมรักร่วมเพศที่ใครหลายคนอาจไม่เคยพบเจอ เหมือนที่ เจเจ—กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม บอกว่า การได้รับบทเป็น 'ท็อป' ในซีรีส์เรื่องนี้ทำให้เขาเข้าใจสังคมของกลุ่มคนเพศที่สามมากขึ้น—มันคือเฉดสีใหม่ๆ ที่แตกต่างออกไปจากสิ่งที่เขาคุ้นเคย แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เจเจเข้ามาทำงานด้านการแสดง เพราะก่อนหน้านี้เขาก็เคยปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมอย่าง เกรียนฟิคชั่น (2013) มาแล้วเมื่อสองปีก่อน



ไม่เพียงเท่านั้น  ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ ยังส่งให้เขาและนักแสดงหน้าใหม่อื่นๆ ได้แจ้งเกิดจากบทบาทที่ช่วยส่งช่วยเสริมตัวนักแสดงเองอย่างคับคั่ง การได้แสดงเป็นท็อป ชายหนุ่มขี้อ่อยผู้มีลักษณะพ้องพานกับตัวเขากลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตอีกครั้ง
การที่ชายหนุ่มอย่างเขากลายเป็นหนุ่มฮอตคนหนึ่งของวงการที่ใครๆ ก็อยากรู้จักทันทีหลังจากซีรีส์เรื่องนี้ออกอากาศ แน่นอนว่า ส่วนหนึ่งอาจมาจากหน้าตาอันคมคาย แต่อีกส่วนที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือฝีมือและความมุ่งมั่นในการแสดงที่เขาพกติดตัวมาเต็มเปี่ยม 
และตอนนี้ เขาก็พร้อมแล้ว ที่จะเดินหน้า ทำความรู้จักกับสีสันใหม่ๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่รอคอยอยู่เบื้องหน้ามาปาดป้าย เพื่อทำให้วงการบันเทิงคึกคักยิ่งๆ ขึ้นไป ด้วยการผสมสีสันขึ้นมาใหม่ในแบบฉบับของเขาเอง

ทำไมชื่อเล่นของต้องเป็น 'เจ' สองตัว เจตัวเดียวไม่ได้เหรอ
(หัวเราะ) มันมาจากชื่อเล่นของพ่อกับของแม่รวมกันน่ะครับ คือทั้งสองคนมีอักษร J นำหน้าชื่อเล่นเหมือนกัน ก็เลยเป็น เจเจ ซึ่งผมก็จะมีน้องชายอีกคนหนึ่งชื่อ พีเจ มาจากตัวอักษรภาษาอังกฤษที่นำหน้าชื่อจริงของพ่อกับแม่คือตัว P และ J 

แล้วนามสกุล 'พิบูลสงคราม' ล่ะ มีความเกี่ยวข้องอะไรกับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม (อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย 8 สมัย—หนึ่งในคณะราษฎร ผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ประชาธิปไตย)
ผมเป็นเหลนของท่านน่ะครับ เป็นเหลนสายตรง คือคุณปู่ (พลตรี อนันต์ พิบูลสงคราม) ของผมเป็นลูกชายคนโตของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม

ตั้งแต่เด็กๆ รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญต่อประเทศ
ทราบครับ ตอนเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่เคยเล่าให้ฟัง เอาหนังสือมาให้อ่าน แต่ผมจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ คือผมเป็นคนชิลมากด้วย เลยทำให้ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรนัก อาจเพราะผมเติบโตที่เชียงใหม่ คือคุณพ่อย้ายจากกรุงเทพฯ มาใช้ชีวิตอยู่เชียงใหม่ ทำธุรกิจค้าขาย ผมเลยไม่ค่อยได้ใกล้ชิดครอบครัวฝั่งพ่อสักเท่าไหร่ จนเพิ่งมารู้ลึกๆ ช่วงที่ได้เรียนวิชาประวัติศาสตร์ตอน ม.ปลาย

รู้สึกอย่างไร
รู้สึกดีครับ ผมจะมองว่าเขาเปลี่ยนแปลงประเทศเยอะ เขาทำให้ประเทศพัฒนากว่าแต่ก่อนเยอะมาก หลายอย่างกลายเป็นวัฒนธรรมของชาติ เช่น ผัดไทย แต่เรื่องประวัติศาสตร์พอผ่านมานานๆ มันก็ทำให้เราไม่แน่ใจว่า เรื่องไหนจริง เรื่องไหนไม่จริง  ตำราเล่มนี้อาจบอกแบบนี้ ตำราอีกเล่มอาจบอกอีกอย่าง บางเล่มอาจมีการบิดเบือนเสริมแต่ง ฟังจากอาจารย์ก็จะได้ฟังเรื่องเล่าอีกแบบ ฟังจากคนในครอบครัวเราเองก็ได้ฟังเรื่องเล่าอีกอย่าง

"เรื่องประวัติศาสตร์มันก็มีรายละเอียดเยอะมาก บางเรื่องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว มันเลยอาจทำให้เราต่อไม่ติด คือยิ่งเป็นเด็กนักเรียนไทยที่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้สนใจอะไร นอกจากอ่านหนังสือประวัติศาสตร์เพื่อไปใช้ในห้องสอบ พอสอบเสร็จก็แล้วกันไป เรื่องไหนที่ไม่น่าสนใจ ไม่คิดว่ามันสำคัญ หรือไม่ถูกนำมาออกข้อสอบ ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ใส่ใจ"

เพื่อนๆ ตื่นเต้นไหมตอนรู้ว่า เราเป็นเหลนของบุคคลสำคัญระดับประเทศ
เพื่อนๆ ไม่ค่อยสนใจครับ (หัวเราะ) คือด้วยความที่เราเป็นวัยรุ่น แล้วเรื่องประวัติศาสตร์มันก็มีรายละเอียดเยอะมาก บางเรื่องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว มันเลยอาจทำให้เราต่อไม่ติด คือยิ่งเป็นเด็กนักเรียนไทยที่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้สนใจอะไร นอกจากอ่านหนังสือประวัติศาสตร์เพื่อไปใช้ในห้องสอบ พอสอบเสร็จก็แล้วกันไป เรื่องไหนที่ไม่น่าสนใจ ไม่คิดว่ามันสำคัญ หรือไม่ถูกนำมาออกข้อสอบ ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ใส่ใจ

จากเด็กที่ใช้ชีวิตอยู่จังหวัดเชียงใหม่ คุณเข้าวงการบันเทิงมาได้อย่างไร
ก่อนหน้านั้นก็มีเดินแบบในเชียงใหม่นิดหน่อยครับ ส่วนหนังก็เริ่มจากมีทีมงานแคสติ้งเข้ามา scout ที่โรงเรียนมัธยม (โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย) ที่ผมเรียนอยู่ แต่วันนั้นผมกลับบ้านเร็ว เพื่อนๆ เลยเอารูปของผมในเฟซบุ๊กให้ทีมงานดู ซึ่งพี่ๆ เขาก็ให้โอกาสผมไปแคสติ้งหนังเรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ (2012) ของพี่มะเดี่ยว (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล) แต่เรื่องแรกที่ไปแคสต์ ผมไม่ได้ จนมาแคสต์เรื่อง เกรียนฟิกชั่น ถึงได้เล่น ตอนนั้นผมตื่นเต้นมากนะครับ ต้องใช้เวลาปรับจูนเยอะ ต้องเวิร์กช็อปประมาณ 3-4 เดือน ต้องเรียนเต้น เรียนการแสดง ซึ่งสำหรับเราถือว่ายากมาก แต่เวลา 3-4 เดือนนั้น มันทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปเลย

ก่อนหน้านั้นสนใจวงการบันเทิงอยู่แล้วหรือเปล่า
สนใจด้วยครับ สนใจการแสดงอยู่แล้ว แต่จริงๆ ผมไม่เคยมีความฝันอะไรเลยนะ (หัวเราะ) การได้เข้ามาจุดนี้มันเกินไปจากสิ่งที่เราคิดไว้มาก เราคิดแค่ว่าวงการบันเทิงจะมอบประสบการณ์ชีวิตให้แก่เรา เพราะการทำงานในวงการนี้มันบังคับให้เราต้องเจอคนเยอะ ซึ่งบทเรียนที่จะเข้ามาสอนเราแต่ละอย่างก็จะมาจากคนหลายแบบ และวงการนี้ก็มีคนหลายแบบให้เราได้เรียนรู้ มีบทเรียนมากมายให้เราได้ศึกษา แล้วการได้รับบทเป็นตัวละครหนึ่งตัว การได้สวมคาแรคเตอร์ สวมนิสัยของคนอื่น ก็จะทำให้เรามองคนอื่นๆ ในชีวิตจริงอย่างมีมิติมากขึ้น บางตัวละครจะเป็นคนที่กำแพงสูง บางตัวมีความคิดซับซ้อน มันเลยทำให้เราคาดคะเนได้ว่าคนแบบนี้แบบนั้น จะคิดจะรู้สึกอย่างไร ถ้าเราอยู่ในวงการบันเทิงได้ตลอดรอดฝั่ง ผมคิดว่าเราคงมีเกราะป้องกันตัวในชีวิตที่ดี เราอาจรับมือความรู้สึกของคนรอบข้างได้ดีขึ้น และผมก็จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการได้อยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ ถ้ามีโอกาสเข้ามาหา 

วงการบันเทิงที่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง แตกต่างจากวงการบันเทิงในจินตนาการไหม
ต่างครับ สารภาพตามตรงว่า ตอนแรกผมคิดว่ามันน่าจะสบาย แต่ความจริงคือไม่เลย เหนื่อยมาก ต้องทำงานหนักมาก ต้องตื่นเช้า นอนดึก ไม่มีเวลาพักผ่อน หาเวลาไปใช้ชีวิตส่วนตัวลำบาก เพราะบางครั้งเราต้องถ่ายงานติดๆ กันทุกวัน เวลาออกไปที่สาธารณะก็ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น จะทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบ เพราะสถานะเราเปลี่ยนไปแล้ว จากเด็กคนหนึ่งที่ไม่มีคนสนใจ ตอนนี้ก็กลายเป็นมีคนรู้จักมากขึ้น ซึ่งหลังจากเข้ามารับงานในวงการบันเทิง ผมก็ต้องเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพคนเดียว ส่วนพ่อแม่ยังอยู่เชียงใหม่ แม้การปรับตัวจะไม่ได้ยากอะไร เพราะเมื่อก่อนผมไป-กลับกรุงเทพเชียงใหม่เป็นปกติอยู่แล้ว ผมเริ่มทำงานในวงการตั้งแต่ ม.5 บินขึ้น-ลงกรุงเทพ-เชียงใหม่เกือบทุปสัปดาห์ แต่พอมาใช้ชีวิตจริงๆ กลับมีอาการโฮมซิคเหมือนกัน จะรู้สึกเหงา คิดมาก นอยด์ไปเรื่อย—จริงๆ อยู่เชียงใหม่ก็สบายอยู่แล้ว ดันหาเรื่องให้ตัวเองเหนื่อย (หัวเราะ) แต่ก็สนุกดีครับ

สมัยมัธยมคุณเป็นเด็กนักเรียนที่จัดอยู่ในวรรณะไหน
ผมเพิ่งมัธยมจบมาปีกว่าๆ ตอน ม.5 - ม.6 อาจจะไม่ค่อยได้อยู่กับกลุ่มเพื่อนเท่าไหร่ เพราะตอนนั้นผมเริ่มรับงานในวงการบันเทิงแล้ว แต่จริงๆ คือผมค่อนข้างเกรียนนะครับ เป็นคนห่ามๆ ลุยๆ ถ้าอยู่กับคนที่เราสนิทใจด้วย ผมจะทำอะไรไม่ค่อยคิดเท่าไหร่ อย่างตอนเรียน มันจะมีห้องน้ำหลังตึกเรียนที่เป็นบล็อคๆ เวลามีคนเข้าห้องน้ำ ผมกับเพื่อนๆ ก็จะชอบไปเตะประตู คือเวลาเตะ แล้วคนที่อยู่ในห้องน้ำตกใจ เขาจะตดน่ะครับ (หัวเราะ)



แสดงว่าเป็นเด็กเกเรพอสมควร
เกเรพอสมควรครับ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมผลักประตูห้องน้ำที่มีคนเข้าอยู่แรงมากจนประตูเปิดเลยนะ (หัวเราะ) คือตอนอยู่ ม.ปลาย ผมจะอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่เป็นกลุ่มใหญ่สุดของชั้น จะไม่ค่อยมีคนกล้ายุ่งเท่าไหร่ แล้วก็ไม่มีใครคบด้วย จะอยู่ด้วยกันแค่นั้น แต่ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เคยโดนคนอื่นแกล้งนะครับ ผมเคยโดนเพื่อนดึงกางเกงวอร์มกลางโรงยิมตอนเล่นบาส คือตอนนั้นเหมือนเป็นการแข่งขันกีฬาประจำชั้นด้วย มีคนมาเชียร์เยอะมาก ผมไม่ได้ใส่บ็อกเซอร์ด้วย อายมากครับ แต่ก็ทำได้แค่ไล่เตะเพื่อน (หัวเราะ)

จากเด็กเกเรชอบแกล้งคนอื่น ตอนนี้ดูเหมือนคุณจะกลายเป็นหนุ่มฮอตคนหนึ่งจากบท 'ท็อป' ในซีรีส์ ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ รู้สึกอย่างไรบ้าง
ก็ดีนะครับ ในไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ผมจะเล่นเป็นคนขี้อ่อย เป็นเด็กร่าเริง ยิ้มง่าย และเป็นคนที่ชอบหว่านเสน่ห์ใส่คนอื่น ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากตัวจริงสักเท่าไหร่ (หัวเราะ) แต่ตอนนี้ก็ปิดกล้องไปแล้ว ตอนสุดท้ายคงออกอากาศก่อนที่นิตยสารจะออก ส่วนฟีดแบ็คดีมากนะครับ และผมตกใจมากด้วย คือเราทำงานในวงการบันเทิงมา 2-3 ปีแล้ว แต่ไม่เคยมีคนสนใจในตัวเราขนาดนี้มาก่อน รอบสุดท้ายที่ผลตอบรับดีขนาดนี้ก็เกรียนฟิกชั่น ผมเพิ่งไปออกอีเวนต์กับพี่เพชร (เผ่าเพชร เจริญสุข—รับบทเป็น กัส) มา และพบว่า คนเยอะมากเลย คนเยอะแบบห้างแทบระเบิด 

ในชีวิตจริงหว่านเสน่ห์ใส่คนเพศเดียวกันอย่างในซีรีส์ด้วยไหม
ไม่ครับๆ (หัวเราะ) คือผมจะหว่านเสน่ห์ใส่เพศตรงข้าม พอมาเล่นเรื่องนี้ เราก็แค่ปรับจูนทัศนคตินิดหนึ่งว่า เราต้องหว่านใส่คนที่มีเพศสภาพเหมือนกัน ซึ่งผมว่ามันไม่ยากเท่ากับบทของพี่ๆ บางคน จากที่เขาเป็นผู้ชายทั้งแท่ง ก็ต้องมารับบทสาวแตก ของเราจะสบายกว่าเยอะ

การได้มาเล่นซีรีส์เรื่องนี้ทำให้มุมมองที่มีต่อเพศที่สามเปลี่ยนไปจากเดิมบ้างไหม
เปลี่ยนนะครับ อย่างแรกเลยมันทำให้เรารู้จักกลุ่มคนเพศที่สามมากขึ้น คือสมัยก่อนผมจะมีประสบการณ์ไม่ดี เพราะด้วยรูปแบบที่เราเคยเจอคือเขาจะเข้ามาหาเราเพื่อลวนลาม (หัวเราะ) แต่ผมก็ไม่ได้อะไรนะ เพื่อนผมที่เป็นเพศที่สามที่นิสัยดี นิสัยโอเคก็มีเยอะ แต่พอมาได้เล่นซีรีส์เรื่องนี้ มันทำให้เรารู้จักวิธีคิด รู้จักวิธีแสดงออกของพวกเขามากขึ้น ซึ่งมันดีต่อทั้งตัวผมและสังคมนะครับ อย่างตอนนี้ผมก็ไม่แคร์ว่าเพื่อนจะล้อว่าเราเป็นเกย์หรือเปล่า เพราะทั้งหมดที่เราทำคือการแสดง ส่วนเรื่องการเหยียดเพศ ผมไม่เห็นด้วยแน่ๆ ผมคิดว่ามันไม่สมควรที่จะทำแบบนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องไปดูถูกเหยีดหยามใครด้วยเรื่องเพศ แล้วคนเพศที่สามบางคนเขาอาจมีบทบาท มีความรับผิดชอบมากกว่าคนที่เป็นเพศชายหรือหญิงที่ไปดูถูกเขาด้วยซ้ำ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ผมคิดว่ามันไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศเลยนะ

ไปที่เรื่องการเรียนกันบ้าง ตอนนี้คุณเพิ่งซิ่วจากมหาวิทยาลัยหนึ่งเพื่อไปเรียนอีกมหาวิทยาลัย จริงๆ แล้วเหตุผลคืออะไร ไม่คิดว่ามันเสียเวลาใช่ไหมกับหนึ่งปีที่ต้องทิ้งไป 
ด้วยหลายๆ เหตุผลน่ะครับ คือมหาวิทยาลัยที่ผมสอบติดปีนี้ มันใกล้เมืองมากกว่า ดังนั้นเวลาทำงานในวงการบันเทิงเนี่ย มันค่อนข้างจะเดินทางสะดวกกว่า แล้วพ่อแม่เขาก็เชียร์ด้วย แล้วที่ผมเลือกเรียนก็เป็นสาขาการแสดง ไม่ได้แตกต่างจากที่เรียนมาเมื่อปีก่อนสักเท่าไหร่ ผมเลยไม่คิดว่ามันเสียเวลานะ คือที่เรียนมาหนึ่งปีเต็มๆ ผมก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก ได้เรียนถ่ายรูป เรียนจัดแสง ซึ่งผมคิดว่าสามารถเอาความรู้ตรงนั้นมาใช้ต่อยอดได้ ผมจะคิดว่า ถ้าผมมุ่งมั่นมาทางสายการแสดงแล้ว ก็อยากจะต่อยอดมันให้ดียิ่งขึ้น คือถ้ายังไม่ถึงจุดหนึ่งที่เราอิ่มตัวหรือว่าไปต่อไม่ได้จนต้องกลับเชียงใหม่ไปช่วยธุรกิจที่บ้านจริงๆ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถ้ามีโอกาสอะไรเข้ามา ผมก็อยากรับไว้ เลยอยากเรียนด้านนี้ เพื่อที่ว่าเราจะสามารถทำมันได้ดีขึ้น 

"พอมาได้เล่นซีรีส์เรื่องนี้ มันทำให้เรารู้จักวิธีคิด รู้จักวิธีแสดงออกของพวกเขามากขึ้น ซึ่งมันดีต่อทั้งตัวผมและสังคมนะครับ อย่างตอนนี้ผมก็ไม่แคร์ว่าเพื่อนจะล้อว่าเราเป็นเกย์หรือเปล่า เพราะทั้งหมดที่เราทำคือการแสดง ส่วนเรื่องการเหยียดเพศ ผมไม่เห็นด้วยแน่ๆ ผมคิดว่ามันไม่สมควรที่จะทำแบบนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องไปดูถูกเหยีดหยามใครด้วยเรื่องเพศ แล้วคนเพศที่สามบางคนเขาอาจมีบทบาท มีความรับผิดชอบมากกว่าคนที่เป็นเพศชายหรือหญิงที่ไปดูถูกเขาด้วยซ้ำ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ผมคิดว่ามันไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศเลยนะ"

ปัจจุบันสิ่งที่คุณให้ความสำคัญมากที่สุดคืออะไร
ครอบครัวครับ เพราะผมรู้สึกว่าตอนนี้พ่อแม่เริ่มแก่แล้ว น้องผมก็ยังเด็กอยู่ เขาอาจโตไม่ทันที่จะรับผิดชอบหน้าที่ตรงนั้น ดังนั้นถ้าผมต้องกลับไปช่วยที่บ้าน ต้องกลับไปเรียนรู้งานจากแม่จริงๆ ผมก็อาจต้องกลับ

แล้วเรื่องความรักแบบหนุ่มสาวล่ะ วัยรุ่นอย่างคุณให้ความสำคัญขนาดไหน
ผมเป็นคนให้ความสำคัญกับความรักมากนะครับ เป็นคนที่ทุ่มเทให้เรื่องพวกนี้คนหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งบางทีผมก็ยังมานั่งถามตัวเองอยู่เลยว่า จริงๆ แล้ว เราต้องเอาเรื่องความรักหนุ่มสาวมามีผลกับชีวิตขนาดนี้ไหม เพราะตอนนี้เราก็มีหลายเรื่องให้ต้องจัดการ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน มีเรื่องส่วนตัวให้รับผิดชอบด้วย คือจะไปทุ่มเทให้กับมันมากไม่ได้ สิ่งที่พอจะทำได้คือพยายามเกลี่ยๆ ความสำคัญแต่ละเรื่องในสัดส่วนที่พอๆ กัน

ถ้าเลือกได้แค่อย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างมีความสุขโดดๆ โดยไม่มีแฟน กับมีแฟนแต่บางวันอาจมีความทุกข์บ้าง คุณจะเลือกอะไร
ผมว่ามีความสุขโดยไม่มีคนรักดีกว่า เพราะการที่เราชอบใครสักคน อยากอยู่กับใครสักคน เราก็คงต้องการได้รับความสุขจากเขา เพราะฉะนั้นถ้่ารักแล้วทุกข์ ผมคิดว่ามันอาจไม่ใช่ความรักหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้น โสดแล้วอยู่คนเดียวอาจโอเคกว่า

แล้วถ้าต้องเลือกตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง คุณเป็นคนที่ทำตามสัญชาตญาณหรือทำตามเหตุผลมากกว่ากัน 
ผมคิดว่า สำหรับบางเรื่อง ทำตามที่ใจเราบอกดีกว่าครับ เพราะถ้าเราทำตามเหตุผลแล้วไม่สบายใจ ยังไงมันก็จะผิดอยู่ดี อย่างน้อยก็ผิดต่อใจของเราเอง คือสุดท้าย ถ้าทำตามใจต้องการ แล้วเกิดผิดพลาด ผมคิดว่า เราคงไม่รู้สึกแย่เท่าทำตามสมองแล้วไม่ถูกใจเราน่ะครับ



ถ้าวันหนึ่งมีพรวิเศษทำให้สามารถอ่านใจคนรักได้ จะเอาไหม
ไม่เอาดีกว่า  บางเรื่องเราไม่ต้องรู้จะดีกว่าหรือเปล่า ถ้ารู้ไปหมดทุกเรื่องคงอึดอัดทั้งสองฝ่าย เรื่องความสัมพันธ์ผมว่ามันเป็นเรื่องของการทำความเข้าใจ มากกว่าที่จะไปอ่านใจของอีกฝ่าย บางเรื่องที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาเราก็ไม่ควรรู้ คือมันมีรายละเอียดเยอะน่ะครับ เช่น การให้เกียรติ การยิมยอมให้แต่ละคนมีพื้นที่ส่วนตัว ลองคิดดูว่าถ้าเขาอ่านใจเราได้ มารุกล้ำพื้นที่ของเรา ก็อาจเป็นเราเองที่เป็นฝ่ายรำคาญ

ได้ยินมาว่า บรรดาแฟนคลับของคุณกำลังจับตาความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับหญิงสาวคนหนึ่งในวงการ รู้สึกอย่างไร กดดันบ้างไหม
ก็ดีนะครับ ไม่รู้สึกกดดันอะไร ผมก็ยังใช้ชีวิตปกติ โดยเฉพาะสำหรับแฟนคลับ ผมคิดว่าที่เขาชอบเรา ก็เพราะเขาชอบที่เราเป็นเรา ซึ่งถ้าจะให้ไปโกหกเขา ผมคิดว่าไม่น่าจะดี สู้เปิดเผยไปเลยยังจะดีเสียกว่า

วันก่อนเพิ่งประกาศในอินสตราแกรมส่วนตัวว่า 'ผมมีคนคุยอยู่แล้ว' ทำไมต้องประกาศขนาดนั้น
คือเนื่องมาจากมีสื่อมาสัมภาษณ์ผมเรื่องความรัก แต่ตอนนั้นผมกำลังรีบ มีงานต้องไปทำต่อ อาจเป็นเพราะผมเองที่สื่อสารไม่ดี จนทำให้สื่อเข้าใจผิด แล้วไปเขียนว่า ผมยังไม่เปิดใจ ยังไม่พร้อมมีคนรัก ซึ่งผมต้องขอโทษด้วย คือที่ผมต้องประกาศออกมาว่า ผมมีคนคุยอยู่แล้ว เนื่องจากผมไม่อยากให้ใครเข้าใจผิด เพราะอีกฝ่ายเขาก็ให้สัมภาษณ์ไปแล้วก่อนหน้านั้น พอข่าวของเราออกมาอีกแบบ คนอื่นก็อาจจะคิดได้ว่าทำไมให้สัมภาษณ์ไม่ตรงกัน ซึ่งผมแคร์ความรู้สึกของฝ่ายหญิงไงครับ ไม่อยากให้ภาพลักษณ์ของเขาต้องเสียเพราะผม

"ผมเป็นคนให้ความสำคัญกับความรักมากนะครับ เป็นคนที่ทุ่มเทให้เรื่องพวกนี้คนหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งบางทีผมก็ยังมานั่งถามตัวเองอยู่เลยว่า จริงๆ แล้ว เราต้องเอาเรื่องความรักหนุ่มสาวมามีผลกับชีวิตขนาดนี้ไหม"

ตอนนี้ถึงขั้นไหนแล้ว
ยังไม่ใช่แฟน อยู่ในขั้นที่คุยๆ กันแบบเพื่อนครับ

ถ้าวันหนึ่งมีโอกาสได้เข้าไปในบ้านผู้หญิงที่เราชอบ สิ่งแรกที่คุณจะมองหาคืออะไร
พ่อแม่ครับ ก็มาถึงที่บ้านแล้ว เราก็ต้องเคารพพ่อแม่เขาก่อนเลย เข้าทางพ่อแม่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ (หัวเราะ)

ทุกวันนี้คุณมองตัวเองอย่างไร ถ้าให้เลือกสีสักสีเพื่อมาอธิบายตัวเองจะเลือกสีอะไร
ผมคิดว่า ตัวเองคงไม่มีสีตายตัวนะ เพราะผมเป็นคนที่อารมณ์แกว่งมาก ถ้ามีสิ่งรอบตัวสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากระทบ อารมณ์ของผมจะพร้อมเปลี่ยนไปตามสิ่งที่มากระทบนั้นๆ ได้ตลอดเวลา ผมเป็นคนที่อารมณ์สวิงง่ายเกินไป บางครั้งมันก็ส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างด้วย ยิ่งกับเรื่องงาน บางครั้งเพื่อนร่วมงานก็อาจไม่สบายใจ หรืออาจคิดไปว่า เราเป็นอะไรหรือเปล่า ทั้งที่ความจริงเราไม่ได้เป็นอะไร เขาอาจคิดว่าที่เราเป็นแบบนี้เพราะเขา นี่คือข้อเสียในตัวเองที่ผมอยากปรับปรุงเหมือนกัน ดังนั้นถ้าให้เปรียบเทียบเป็นสี มันคงเป็นเฉดสีที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วอาจเป็นสีฟ้า เป็นสีของท้องฟ้าที่สะท้อนอยู่บนน้ำ ผมคิดว่า ผมเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ไหลไปเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่คนใจเย็น ถ้ามีใครมาทำให้เดือดร้อน ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนชิลๆ มากกว่า



หน้าตาหล่อๆ แบบนี้ ถ้าต้องเลือกทางเลือกใดทางเลือกหนึ่งระหว่างหน้าตาหน้าเกลียดแต่มีชีวิตยืนยาว กับ หน้าตาหล่อๆ แบบนี้นี่แหละแต่ต้องเสียชีวิตภายในหนึ่งปี คุณจะเลือกอะไร
ผมว่าหน้าตาแบบนี้ดีกว่านะ คือแค่เกิดมาเป็นมนุษย์เนี่ยก็ทุกข์มากแล้ว มีหลายเรื่องมากเลยที่เราต้องแบกรับ เช่น เอาง่ายๆ อย่างเรื่องการจัดสรรเวลาให้ตัวเอง การดูแลความรู้สึกคนรอบข้าง ที่เราไม่รู้ว่าเราปฏิบัติกับเขาแบบนี้ ต่อหน้าเขาอาจโอเค แต่ลับหลังอาจเป็นอีกอย่างหรือเปล่า คือการอยู่ในสังคมมนุษย์มันซับซ้อนมากน่ะครับ จะให้ผมอยู่เป็นร้อยปีคงไม่ไหว ถ้าเลือกตายได้โดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ก็เลือกตายดีกว่า แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้นะ ขอสักสามสิบละกัน (หัวเราะ)