ไม่มีครั้งแรกก็ไม่มีคำว่าเริ่มต้น—ใครบางคนเคยว่าไว้แบบนั้น
5 มกราคม 2016 วงการหนังไทยที่กระแสดีมาตลอดปี 2015 มีเรื่องให้หน้าตื่นเต้นอีกครั้ง เมื่อ Motel Mist โรงแรมต่างดาว 'หนังยาวเรื่องแรก' ที่บอกเล่าเรื่องราวหลากชีวิตในโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง โดยฝีมือการกำกับของ 'ปราบดา หยุ่น' นักเขียนหนุ่มเจ้าของรางวัลซีไรต์ประเภทรวมเรื่องสั้นจากหนังสือ 'ความน่าจะเป็น' เมื่อปี 2002 มีชื่ออยู่ในไลน์อัพเข้าชิงรางวัล Hivos Tiger Awards ในสายการประกวดหลักของเทศกาลหนังนานาชาติรอตเทอร์ดาม
ปราบดาเขียนสเตตัสในเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงก้าวเล็กๆ ของหนังเรื่องนี้อย่างไม่ปิดบังความรู้สึกยินดีของตัวเอง เขาบอกเล่าประสบการณ์การทำหนังเรื่องแรกอย่างคร่าวๆ เล่าที่มาที่ไปของหนัง ขอบคุณโอกาส ขอบคุณทีมงาน และกล่าวถึงเหล่านักแสดงที่ส่วนใหญ่เป็นหน้าใหม่ แต่มีความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมว่า “รู้สึกโชคดีมากที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงชุดนี้”
และหนึ่งในนักแสดงผู้ไร้ประสบการณ์ที่ผู้กำกับหนุ่มพูดถึง ก็คงต้องรวมนักแสดงหน้าใหม่ถอดด้ามอย่าง แคทยา—คัทรียา เทพชาตรี ผู้ได้รับบทเป็นสาวไซด์ไลน์สุดเปรี้ยวคนนี้เข้าไปด้วย...
ไม่มีครั้งแรกก็ไม่มีคำว่าเริ่มต้น—ใครบางคนเคยว่าไว้แบบนั้น
และนี่คือการแสดงหนังครั้งแรกของเธอ เป็นการเข้าโรงแรมม่านรูดครั้งแรก เป็นการจับดิลโด้ครั้งแรก และแน่นอน เป็นการถูกสัมภาษณ์และขึ้นหน้าปกนิตยสาร (และถ่ายภาพคู่กับหุ่นยนต์) ครั้งแรกของเธอเช่นเดียวกัน
ไม่มีครั้งแรกก็ไม่มีคำว่าเริ่มต้น—หลังจากได้คุยกับหญิงสาวผู้กล้าแสดงออกและเปี่ยมอารมณ์ขันคนนี้ เราจึงเชื่อว่า จากนี้ต่อไป จะมีคำว่า 'ครั้งแรก' วิ่งเข้ามาในชีวิตและรอให้เธอเปิดซิงอยู่อีกมากมายเลยทีเดียว
ก่อนมาแสดงหนังเรื่องนี้คุณรู้มาก่อนหรือเปล่าว่า ปราบดา หยุ่น คือใคร
รู้สิคะ รู้ว่าเขาเขียนหนังสือหลุดๆ (หัวเราะ) ได้ยินมาจากคนอื่น เพราะเราเป็นคนชอบอ่านการ์ตูนไร้สาระ จะไม่ค่อยรู้จักพวกวรรณกรรมเท่าไหร่ แต่เคยได้ยิน พอได้รู้จักก็ โอ้ คนนี้เหรอ...
เป็นไง
หัวล้าน (หัวเราะ) แล้วตอนแรกก็จะจำชื่อเล่นเขาไม่ได้ ไม่แน่ใจว่า คุน คุ่น คุ้น ก็จะเอ๊ะ สรุปเรียกพี่เขาว่าอะไรดี งงกับตัวเอง เราก็เลยเรียกว่า คุ่นคุ้น ละกัน แล้วจำชื่อได้แม่นๆ เลย โดยที่ไม่ต้องให้คนอื่นมาบอก ก็ตอนจะปิดกล้องแล้ว (หัวเราะ) รู้สึกผิดมาก เพราะเขาเป็นคนน่ารัก เป็นคนที่ดุแล้วไม่น่ากลัว เป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ
ประสบการณ์การแสดงหนังครั้งแรกเป็นยังไง
ยากมากค่ะ อย่างฉากที่เราต้องโดนทำร้ายเวลาไปเรียนมหาวิทยาลัย เราจะฝึกทุกวันเลยนะ พยายามจินตนาการว่า เวลาโดนกระชากหัวต้องทำยังไง แล้วเราจะหงุดหงิดมาก เพราะเราทำได้ไม่เป็นธรรมชาติ ยังเล่นไม่ได้สักที เครียดมาก รู้สึกตัวเองเล่นได้ไม่ดี หลายเทคมาก แล้วทุกคนต้องรอเราคนเดียว เราก็เลยรู้สึกผิด คือเวลาเล่น เราจะรู้สึกว่าเรายังไม่เชื่อเลย แล้วจะทำให้คนดูเชื่อได้ยังไง แต่พวกพี่ๆ ทีมงานก็จะคอยให้กำลังใจ ทำให้เราสบายใจ จนผ่านมาได้
ปราบดา หยุ่นให้สัมภาษณ์ว่า ตัวละครในเรื่องค่อนข้างจะต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัว ตอนแสดงคุณกังวลไหม
ไม่ ตอนแรกๆ อาจมีเกร็งบ้าง คือคำว่าเปลืองเนื้อเปลืองตัวมันหมายถึงว่า อาจจะมีการโชว์เรือนร่างค่อนข้างเยอะ แต่เดี๋ยวนี้เด็กวัยรุ่นก็ใส่กางเกงขาสั้นเสมอหู ใส่สายเดี่ยวกันเป็นเรื่องปกติ ถ้าเป็นมุมมองของผู้ใหญ่อาจจะใช่ แต่ถ้าเป็นมุมมองเด็กวัยรุ่น เราคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกนะ
เวลาต้องแต่งตัวโป๊แล้วมีคนมองเขินไหม
เขินสิ ทำไมจะไม่เขิน ก็ใส่สายเดี่ยว ยกแขนแล้วเห็นเต่าเขียว ใครจะไม่เขิน (หัวเราะ)
"เกิดมาไม่เคยเห็นโรงแรมม่านรูดเลย เมื่อก่อนเราจะคิดว่า มันคงเป็นคล้ายๆ ซ่อง มืดๆ ทึมๆ น่ากลัว พอเข้าไปเจอจริงๆ แล้วเราก็จะร้อง โอ้ โอ้ โอ้ ตลอดเวลา คือมันเป็นสิ่งปลูกสร้างที่พิสดารมาก มีกระจกอยู่ข้างบนด้วย ห้องน้ำก็เป็นกระจกใส มองทะลุเห็นห้องนอน แล้วเราต้องพักในห้องนั้นด้วย เวลาเข้าห้องน้ำก็ต้องเอากระดาษหนังสือพิมพ์มาแปะๆๆๆ"
ในภาพนิ่งที่ปล่อยออกมาเพื่อโปรโมตหนัง คุณต้องจับดิลโด้ด้วย ตอนจับรู้สึกยังไง
เฉยๆ อะ คือไม่เคยใช้นะคะ (หัวเราะ) แต่เคยเห็นรุ่นพี่ผู้ชาย เวลาเมาๆ เขาจะเอาดิลโด้มาทำเป็นไมค์สวมบทเป็นพิธีกรเล่นๆ กัน เราเลยรู้สึกเฉยๆ แต่จะตื่นเต้นนิดหน่อย เพราะว่าในฉากมันมีเยอะมาก คือในหนังมันจะค่อนข้างมีสัญลักษณ์เกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์ค่อนข้างเยอะ แต่เรามองว่า มันไม่ใช่เรื่องที่ไม่ควรพูดนะ คือถ้าในสังคมไทยทั่วไป คงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนส่วนใหญ่จะเขินอายไม่กล้าพูดเรื่องนี้ เพราะเราได้รับการปลูกผังมาตั้งแต่เด็กว่า เราไม่ควรคุยเรื่องเกี่ยวกับเซ็กซ์กับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ไม่ควรคุยเรื่องนี้กับลูก แต่จริงๆ แล้วเรื่องเซ็กซ์มันเป็นเรื่องปกติน่ะ เราคิดว่าทุกคนก็คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่สังคมเราจะมีกรอบบางอย่างที่ทำให้เขาไม่กล้าพูดมันออกมามากกว่า
คุณรู้สึกยังไงที่แค่ได้เล่นหนังเรื่องแรก ชื่อของคุณก็ได้ไปปรากฏในเวทีเทศกาลหนังระดับนานาชาติ
แน่นอนว่า รู้สึกดีใจมาก เพราะดูมันได้เปิดตัวแบบเว่อร์วังอลังการดี (หัวเราะ)
คุณมาแสดงหนังเรื่อง Motel Mist... ได้ยังไง
ก่อนหน้านี้เราเรียนอยู่คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ มหาวิทยาลัยรังสิต เคยถ่ายแบบโฆษณามาบ้าง มีเพื่อนชวนเข้ามาให้รู้จักกับพี่ๆ ที่ทำงานด้านนี้ แล้วเราก็รู้จักพี่ที่เป็นทีมงานแคสติ้งของหนังเรื่องนี้ เขาก็ชวนเรามาแคสต์ บอกว่า มาแคสต์สิ เป็นสาวไซด์ไลน์ ตอนแรกเราไม่คิดว่าเราจะได้หรอก แต่ที่ทำให้สนใจเพราะพี่เขาบอกว่า บทพูดไม่ค่อยมี (ลากเสียงยาว) แต่พอได้แสดงจริงๆ อยู่ๆ บทพูดก็เพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัวเฉยเลย (หัวเราะ)
คิดว่าทำไมเขาถึงเลือกเรา
คือที่บทพูดมันเยอะขึ้นเนี่ย เพราะพอพี่คุ่นเขาเจอตัวเราจริงๆ เขาคงรู้สึกถูกชะตา เขาเลยเขียนบทเพิ่มให้ (หัวเราะ) ส่วนพี่ๆ ทีมแคสติ้ง เขาจะบอกว่าเราน่าจะเล่นได้ เราเป็นคนมีความเป็นธรรมชาติ และลิงก์กับบทของตัวละครตัวนี้ ถึงแม้เวลาเราอยู่ข้างนอกกับคนที่ไม่ค่อยสนิท เราจะเกร็งตลอดเวลาก็เถอะ (หัวเราะ) คือหนังเรื่องนี้มันค่อนข้างจะมีบทเลิฟซีนเยอะ แต่เราค่อนข้างจะไม่ติดกับการต้องเข้าฉากอะไรพวกนี้ ไม่เขิน และเข้าใจว่ามันคือการแสดง
คุณรับบทเป็นใคร
เป็นนักเรียนคนหนึ่ง เป็นเด็กไซด์ไลน์ จี๊ดๆ แซ่บๆ ห้าวๆ ชื่อวิกกี้ จะอยู่กับกลุ่มเพื่อนสามคน แล้วก็เข้ามาในโรงแรมแห่งนี้เพราะเพื่อนชักนำมา ทำภารกิจอะไรบางอย่าง
"เราค่อนข้างจะกลัวกระบวนการของการสร้างความสัมพันธ์ด้วยซ้ำ เพราะเราเคยโดนเข้าใจผิดมาก่อน เช่น เรื่องเพื่อน บางทีเราพูดจาหยาบคายออกไปโดยที่คิดว่าเราสนิทกับเพื่อนคนนั้นแล้ว แต่เขายังไม่เข้าใจว่าจริงๆ เราก็เป็นแบบนี้ ไม่ได้มีอะไร ไม่ได้คิดอะไร มันเลยทำให้เข้าใจผิดกัน สุดท้ายเรื่องพวกนี้เลยทำให้เราค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูง เป็นคนที่พยายามจะไม่สนใจเวลามีคนมองเราไม่ดี แต่มีนิดหนึ่งแหละที่เราต้องคิด เพราะคนเรามันไม่สามารถอยู่คนเดียวได้—มนุษย์เป็นสัตว์สังคม"
หลายคนที่ได้ดูหนังตัวอย่างอาจจะยังงงๆ อยู่ว่า หนังต้องการบอกเล่าเรื่องราวอะไร ในฐานะนักแสดงคุณช่วยอธิบายให้เราฟังหน่อยได้ไหม
เนื้อเรื่องก็งงๆ แบบนั้นแหละค่ะ เราแสดงไป อ่านบทไปก็งงๆ คือพยายามทำความเข้าใจกับบทของตัวเอง แต่ตอนถ่ายจบแล้วก็ยังงงๆ ถ้ามีคนถามว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร เราก็คงตอบสั้นๆ ว่า ไม่รู้ ก็หนังอินดี้อะ (หัวเราะ) ล้อเล่นนะ คือจริงๆ แล้ว หนังมันเล่าเรื่องในโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า Motel Mist เป็นเรื่องของสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งที่เข้าไปใช้บริการโรงแรมนี้ มีทั้งเรื่องราวของเด็กรับแขก เสี่ย เด็กวัยรุ่น อดีตนักแสดง แต่ละคนก็จะเข้าไปด้วยจุดมุ่งหมายของตัวเอง แล้วเรื่องราวของแต่ละคนก็จะ cross over กัน ที่ชื่อว่า โรงแรมต่างดาว เพราะมันจะมีตัวละครตัวหนึ่งที่ได้รับสารจากมนุษย์ต่างดาว ให้ต้องมาทำภารกิจอะไรบางอย่างในโรงแรมนี้ คือเรื่องราวมันก็จะยึดอยู่กับแก่นของการตั้งคำถามว่า พื้นที่นี้เป็นสถานที่ของมนุษย์ต่างดาว หรือคนที่เข้ามาคือมนุษย์ต่างดาวกันแน่ ซึ่งคำว่า 'ต่างดาว' อาจเป็นสัญลักษณ์ของ 'ความแปลกแยก' (alienation)
อย่าง 'วิกกี้' แปลกแยกอย่างไร
ก็คงแปลกแยกตรงแบ็กกราวด์ของตัวละคร ที่เป็นเด็กไซด์ไลน์ที่มักถูกสังคมตัดสินใจว่าเป็นคนไม่ดี เพราะมีบุคลิกแรงๆ แต่งตัวจัด พูดจาหยาบคาย ซึ่งมันค่อนข้างจะลิงก์กับตัวเรามากนะ เพราะบุคลิกของเราก็คล้ายๆ กับวิกกี้ ที่เหมือนจะกล้าแสดงออก แต่จริงๆ ก็แอบซ่อนความกลัวไว้ข้างหลัง ใช้การกล้าแสดงออกมาปิดบังความอ่อนแอ ทำเหมือนไม่กลัว พูดจาหยาบคาย อย่างคำหยาบนี่ตอนแรกๆ เราก็ไม่กล้าพูดนะ แต่ก็ฝึกพูดเอา (หัวเราะ) พอฝึกมากๆ เข้าเลยกลายเป็นสันดาน (หัวเราะ)
ในชีวิตจริงคุณเป็นแปลกแยกกับอะไรบ้าง
ตอนนี้เราเป็นวัยรุ่น คิดว่าที่แปลกแยกที่สุดน่าจะเป็นเรื่องครอบครัว เพราะเมื่อก่อนครอบครัวเราค่อนข้าง strict ค่อนข้างดุ ห้ามกินมาม่า แต่ไม่รู้ว่าจะซื้อมาม่ามาเก็บไว้ในห้องครัวทำไม (หัวเราะ) เวลากินข้าว คนที่อายุน้อยที่สุดในโต๊ะต้องพูดว่าเชิญทานคะ ห้ามยักคิ้ว ห้ามไขว่ห้าง ห้ามพูดเวลาทานอาหาร เจาะหูเกินรูที่สองไม่ได้ แล้วพอเราโตมากลายเป็นเด็กที่ดูแรงๆ แบบนี้ บางครั้งครอบครัวก็จะมองว่าเราเป็นเด็กไม่ดี หรืออย่างเวลาพูด เราจะพูดจาตรงไปตรงมา ทำให้หลายคนมองว่า เราเป็นเด็กไม่มีมารยาท ซึ่งเวลาคนอื่นมองเราแบบนั้น เราก็พยายามที่จะไม่สนใจนะ เราค่อนข้างจะกลัวกระบวนการของการสร้างความสัมพันธ์ด้วยซ้ำ เพราะเราเคยโดนเข้าใจผิดมาก่อน เช่น เรื่องเพื่อน บางทีเราพูดจาหยาบคายออกไปโดยที่คิดว่าเราสนิทกับเพื่อนคนนั้นแล้ว แต่เขายังไม่เข้าใจว่าจริงๆ เราก็เป็นแบบนี้ ไม่ได้มีอะไร ไม่ได้คิดอะไร มันเลยทำให้เข้าใจผิดกัน สุดท้ายเรื่องพวกนี้เลยทำให้เราค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูง เป็นคนที่พยายามจะไม่สนใจเวลามีคนมองเราไม่ดี แต่มีนิดหนึ่งแหละที่เราต้องคิด เพราะคนเรามันไม่สามารถอยู่คนเดียวได้—มนุษย์เป็นสัตว์สังคม
ครั้งแรกที่ได้ยินว่าต้องแสดงหนังเกี่ยวกับ 'โรงแรมม่านรูด' รู้สึกอย่างไร
อยากเห็น (หัวเราะ) เกิดมาไม่เคยเห็นโรงแรมม่านรูดเลย เมื่อก่อนเราจะคิดว่า มันคงเป็นคล้ายๆ ซ่อง มืดๆ ทึมๆ น่ากลัว พอเข้าไปเจอจริงๆ แล้วเราก็จะร้อง โอ้ โอ้ โอ้ ตลอดเวลา คือมันเป็นสิ่งปลูกสร้างที่พิสดารมาก มีกระจกอยู่ข้างบนด้วย ห้องน้ำก็เป็นกระจกใส มองทะลุเห็นห้องนอน แล้วเราต้องพักในห้องนั้นด้วย เวลาเข้าห้องน้ำก็ต้องเอากระดาษหนังสือพิมพ์มาแปะๆๆๆ (หัวเราะ) คือถ้าอยู่กับทีมงานเยอะๆ ก็โอเคนะ แต่ถ้าให้อยู่คนเดียวเราจะรู้สึกวังเวง เข้าไปมันจะเป็นบล็อกๆ แล้วก็มืดมากด้วย
"เราเคยเข้าไปแตะๆ งานสาย commercial แล้วคิดว่าไม่น่าจะตามเขาทัน รู้สึกไม่ค่อยสบายตัว เช่น เรื่องของชนชั้นในกองถ่าย คนนั้นยศสูงกว่า เราต้องยกมือไหว้ ต้องเข้าหา คือจริงๆ มันก็คงเป็นทุกสังคมแหละ แต่เท่าที่ไปสัมผัสมา เราจะรู้สึกว่า มันออกนอกหน้ามากเลย"
ตอนนี้คุณเรียนอยู่ปี 4 คณะนิเทศศาสตร์ ซึ่งก็ค่อนข้างเป็นคณะที่เกี่ยวข้องกับการแสดง วางแผนไว้ไหมว่าหลังจากนี้จะเข้าสู่วงการบันเทิงเต็มตัว
(หัวเราะ) จริงๆ ตอนแรกเราขอคุณพ่อเรียนคณะนิติศาสตร์ค่ะ แต่คุณพ่อบอกว่าถ้าเลือกนิติศาสตร์ต้องจ่ายตังค์เรียนเองนะลูก คือคุณพ่อไม่ค่อยสนับสนุนเท่าไหร่ เราก็เลยต้องเปลี่ยน โดยเลือกคณะที่คิดว่าน่าจะเรียนจบง่ายที่สุด—ตอนมัธยมเราเรียนสายวิทย์-คณิตมา เลยคิดว่านิเทศฯ ง่าย คงไม่มีอะไรมั้ง... แต่พอเข้าปุ๊บ อยากขอลาออกทันทีเลย ไม่อยากเรียนแล้ว (หัวเราะ) สอบคะแนนเต็ม 30 เราได้แค่ 3 คะแนน แต่สุดท้ายก็พยายามฝืนเรียนให้จบ เพราะกลัวเสียเวลา ซึ่งพอได้เรียนมากขึ้นเรื่อยๆ เราก็เริ่มชอบคณะนี้มากขึ้นนะ รู้สึกว่ามันเป็นงานที่ใช้หัวคิดดี ไม่มีอะไรตายตัว ต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา
ไม่ใช่เลือกเรียนเพราะอยากเป็นนักแสดง?
ไม่ค่ะ เราจะคิดว่ามันค่อนข้างเป็นไปได้ยาก เพราะเราไม่ค่อยชอบสังคมในวงการบันเทิง เราเคยเข้าไปแตะๆ งานสาย commercial แล้วคิดว่าไม่น่าจะตามเขาทัน รู้สึกไม่ค่อยสบายตัว เช่น เรื่องของชนชั้นในกองถ่าย คนนั้นยศสูงกว่า เราต้องยกมือไหว้ ต้องเข้าหา คือจริงๆ มันก็คงเป็นทุกสังคมแหละ แต่เท่าที่ไปสัมผัสมา เราจะรู้สึกว่า มันออกนอกหน้ามากเลย เราคิดว่าถ้าต้องทำขนาดนั้นเราคงเป็นตัวของตัวเองได้ยาก แต่ถ้าเป็นกองถ่ายแบบ Motel Mist เราชอบนะ เพราะการทำงานในกองนี้มันสนุกมากๆ คือถ้าได้ทำงานในบรรยากาศแบบนี้อีกเราก็อยากเล่นอีกนะ คือตอนทำงานในกองนี้มันทำให้เรารู้สึกอยากมาทำงานทุกวัน ไม่มีความรู้สึกขี้เกียจไม่อยากมาเลย
แล้วจริงๆ อยากเป็นอะไร
เป็นอะไรก็ได้ที่ได้ตังค์เยอะๆ (หัวเราะ) ล้อเล่นนะคะ เราคิดว่าตอนนี้ เรากำลังอยู่ในช่วงวัยที่กำลังค้นหาตัวเอง ถ้าถามว่าอยากเป็นอะไร อาจจะยังตอบชัดๆ ไม่ได้ เราจะคิดว่าชีวิตมีอะไรให้ทำอีกมาก อย่าไปวางกรอบให้ตัวเอง
วันนี้คุณได้มาถ่ายปกกับหุ่นยนต์—ว่ากันว่า อีกไม่กี่ปีข้างหน้า มนุษย์จะต้องใช้ชีวิตประจำวันร่วมกันกับหุ่นยนต์จนเป็นเรื่องปกติ คุณคิดว่าถึงตอนนั้นโลกจะเป็นอย่างไร
คิดว่ามันคงดีมากๆ ชีวิตมนุษย์คงจะสะดวกสบายขึ้นเยอะ เราจะใช้หุ่นยนต์ทำเรื่องต่างๆ แทนเราทุกอย่าง ใช้ทำอาหาร ใช้ทำความสะอาด ใช้ลอกการบ้าน (หัวเราะ) และเราก็จะซื้อหุ่นยนต์มาเยอะๆ ให้มันออกไปทำงาน หาเงินแทนเรา แล้วเราก็จะเอาเงินค่าตอบแทนของหุ่นยนต์มาใช้ (หัวเราะ)
หลังจากปิดกล้องหนังเรื่องนี้ไปแล้ว ถ้ามีโอกาสได้ไปโรงแรมม่านรูดอีก คุณจะทำอะไรเป็นอย่างแรก
คงไม่ไปแล้ว (หัวเราะ) เพราะตอนได้แสดงหนังเราก็เก็บข้อมูลมา และพบว่าโรงแรมม่านรูดมีพนักงานต้อนรับด้วย ถ้าเป็นแบบนั้น พนักงานก็ต้องเห็นหน้าเราด้วยใช่ไหม ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง เราไม่เอาดีกว่า (หัวเราะ) แล้วจริงๆ บรรยากาศมันก็ค่อนข้างน่ากลัวนะ ตอนเด็กๆ เราเคยอ่านข่าวที่มีคนโดนฆ่าหมกไว้ในโรงแรมม่านรูด มันเลยทำให้เรากลัว ถ้าให้ไปอีกคงไม่แล้ว