ชวนคุยเรื่องอนาคตกับนักแสดงสุดฮอต 'ส้มส้ม' แพรว—นฤภรกมล ฉายแสง

เธอถูกริบโทรศัพท์มือถือไปจากมือ ผู้จัดการส่วนตัวเอ็ดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงว่าห้ามเล่นระหว่างสัมภาษณ์ เธอยิ้มทะเล้นแทนคำตอบ “รู้แล้วน่า แต่มันอดไม่ได้นี่นา” เพิ่งสังเกตว่าโทรศัพท์ของเธอจอแตกยับ เราถาม “ซุ่มซ่ามเหรอ” เธอยิ้มทะเล้นเช่นเดิม ความหลุกหลิกยุกยิกไม่อยู่นิ่งของเธออาจเรียกได้ว่าสมกับวัย เพราะเมื่อนึกย้อนกลับไป ตอนอยู่ ม.6 เราก็คงสะกดคำว่านิ่งไม่ถูกเหมือนกัน


“ชื่อจริงของคุณแปลกมาก มันแปลว่าอะไรนะ” เราถามด้วยความสงสัย ก็จริงไหมล่ะ แพรว—นฤภรกมล ฉายแสง เป็นชื่อไม่สามัญหรอก เกิดมาไม่เคยได้ยิน ถ้าไม่ไปเสิร์ชกูเกิลเพื่อหาว่าใครแสดงเป็น ‘ส้มส้ม’ ในซีรีส์ Hormones ซีซั่น 3 ตัวละครที่โดดเด่นอย่างมากในภาคอวสานและถูกพูดถึงอย่างมากบนโลกโซเชียล มากจนเราเกือบจะลืมไปแล้วว่าจริงๆ เธอชื่อแพรว

ชื่อจริงของเธอมีความหมายว่า ‘เป็นดวงใจของคนทุกคน’ แต่เธอเชื่อไหมว่ามันจะเป็นอย่างนั้นได้จริง ต่อให้เป็นพระท่านตั้งให้ก็ตาม? “ก็เชื่อนะ ทุกวันนี้หนูก็เป็นดวงใจของทุกคนไง” เธอตอบติดตลก แต่ก็อธิบายต่อว่ามันเป็นเรื่องปกติแหละที่คนเราจะต้องสนใจเรื่องดวงชะตากันอยู่แล้ว อย่างเธอเองก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็มากโขสำหรับคนเราที่ยังไงก็ต้องอยู่กับปัจจุบัน เพราะอนาคตเป็นเรื่องที่ทำได้เพียงการคาดการณ์และคาดเดา ปกติเสียจนโลกนี้มีการดูดวงชะตากันอย่างมากมาย นิตยสารแทบทุกเล่มมีคอลัมน์ที่ว่า ในรายการโทรทัศน์ก็ไม่น้อย ไหนจะริมทางเดินตามย่านต่างๆ แต่เราจะเชื่อใครได้ล่ะ? “ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือ” แพรวให้ทัศนะ อย่างเธอก็เคยหลวมตัวเข้าหาบริการดูไพ่ยิปซี แต่ผลที่ได้ก็มั่วเป็นส่วนใหญ่ เพราะเพื่อนผู้ชายที่ไปด้วยไม่ใช่แฟนสักหน่อย 

แพรวเว้นช่วงเล็กน้อย แล้วเล่าต่อว่ายังดีที่หมอดูคนนั้นไม่ได้ทักอะไรที่ไม่ดีนัก ไม่งั้นเธอคงจะแย่ “แพรวไม่ดูดวงเรื่องความรัก เพราะกลัวจะคิดมาก” นั่นสินะ ความรักเป็นเรื่องใหญ่ของคนเราอยู่แล้ว โดยเฉพาะวัยรุ่น อย่างที่เราเห็นในฮอร์โมนส์ฯ ตัวละครกว่าครึ่งมีความรักเป็นหลักชัย เป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต กระทั่งตัวส้มส้มก็ตาม ขืนโดนทักว่าไม่ดีอาจมีเบลอกันได้

“รู้ตัวไหมว่าจะดัง” เราโยนไปอีกคำถาม มีหลักฐานสำคัญคือการชวนเธอมาขึ้นปก giraffe ฉบับที่คุณกำลังถืออยู่ เธอยิ้มอีกแล้ว “หนูมั่นใจอยู่แล้วว่าถ้าเป็น ฮอร์โมนส์ฯ ยังไงก็ต้องมีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง เพราะเห็นจากฟีดแบ็คของซีซั่นที่ผ่านๆ มา” ซึ่งเป็นสาเหตุเดียวกันที่ทำให้เธอตัดสินใจลงทะเบียนสมัครโครงการ ‘Hormones the Next Gen’ โครงการหานักแสดงหน้าใหม่ของซีรีส์ที่ว่า จนผ่านเข้ารอบลึกสุดกระทั่งมีผลงานให้พวกเราได้เห็นและเป็น ‘ส้มส้ม’ ในวันนี้



12 คนจากจำนวนหลายหมื่น คิดเป็นสัดส่วนเปอร์เซ็นต์น้อยยิ่งกว่าน้อย ยากไหมในสายตาของเธอ? “ไม่ยากเลย แค่ทำตามที่เขาบอก” ตรงนี้เองที่ทำให้เธอรู้ว่ามีทักษะด้านการแสดง และเมื่อหลังจากเข้าคลาสการแสดงหลังจากที่ผ่านเข้ารอบไปเธอก็ยิ่งรู้ถึงวิธีที่จะนำทักษะที่ว่านั่นออกมาใช้จนได้รับคำชมมากมาย “พวกพี่ๆ เขาบอกเหมือนกันว่าใช้สายตาได้ดี เล่นดี เล่นคม แต่หนูก็ไม่รู้เรื่องนะ (หัวเราะ) แค่เล่นไปตามที่เราคิดว่าตัวละครจะเป็น” เป็นคำตอบที่หากไม่ได้เห็นบทบาทที่เธอแสดงหรือการทำงานร่วมกันในวันนี้ การโพสท่าที่สั่งได้และความเข้าใจในงาน ความเป็นมืออาชีพในการวางตัวตรงหน้ากล้อง เราคงจะมีคำถามในความเป็นตัวจริงของเธอมากกว่านี้ จนน่าแปลกใจที่เราไม่เคยเห็นผลงานของเธอมาก่อน เพราะความสวย ความน่ารักและความสามารถของเธอไม่น่าจะเล็ดลอดสายตาแมวมองมาได้นานขนาดนี้ “แพรวเคยเจอโมเดลลิ่งมาชวนก่อนหน้านี้เหมือนกัน แต่กลัวโดนหลอก ก็เลยไม่ได้ไปกับใครที่ไหน” ...อ๋อ

"ถึงมันจะมีหลายอย่างที่เราจะต้องเสียไป แต่มันก็คุ้มนะคะที่เราได้อะไรบางอย่างมาซึ่งก็ทำให้เรามีความสุขได้เหมือนกัน" 
เราหันไปถามคุณอารีย์ ปริวานนท์ แม่ของเธอที่วันนี้ตามมาดูการถ่ายปกและนั่งอยู่ในห้องสัมภาษณ์ด้วยกัน “มีลูกสาวสวยนี่ลำบากไหมครับ?” คำตอบพร้อมเสิร์ฟโดยอัตโนมัติ “กังวลมากค่ะ นี่เขาไปไหนก็จะติดตามไปตลอดเพราะเขาสวยนี่แหละ” คุณแม่หัวเราะ ส่วนเราเองก็ไม่มีอะไรจะเถียง “แต่แพรวเขาดีตรงที่อยู่ในโอวาท มีอะไรก็บอกและคอยรายงานกัน” แพรวยิ้มบอกกับเราว่าที่ต้องทำยังงั้นเพราะ...กลัวระเบิดจะลง


เราถามคู่แม่ลูกว่า รู้ไหมว่าหลังจากที่แพรวตัดสินใจจะเป็นนักแสดงที่อาจอัพเลเวลจนกลายเป็นดาราดัง ชีวิตของครอบครัวอาจต้องเปลี่ยนไป อย่างน้อยก็ชีวิตวัยรุ่นของเธอ หรือความเป็นส่วนตัวที่อาจหาได้น้อยยิ่งกว่าน้อย แพรวพยักหน้าเห็นด้วยตามนั้น ถึงจะอยู่ในวงการไม่ถึงปี แต่ด้วยดีกรีความดังจากบทที่ได้รับจากหนังที่ได้เล่นก็ทำให้เธอถูกจับตาและจับจ้องในทุกที่เป็นเท่าทวีคูณ รวมถึงอีกหลายอย่างที่อนาคตทางการแสดงเริ่มลิดรอนเวลาต่างๆ ไปจากเธอ เช่น การเรียน ความรัก ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน “แต่...ถึงมันจะมีหลายอย่างที่เราจะต้องเสียไป แต่มันก็คุ้มนะคะที่เราได้อะไรบางอย่างมาซึ่งก็ทำให้เรามีความสุขได้เหมือนกัน เพราะงานก็ทำให้เรามีชื่อเสียง ทำให้เราได้เงินมากพอจะส่งเสียตัวเองเรียนได้ ช่วยแม่ได้เยอะ ซึ่งหนูว่ามันได้มากกว่าที่เราจะเสียซะอีก” 

"ถ้าส้มส้มมีตัวตนจริง หนูน่าจะสนิทกับส้มส้มเพราะความเหมือนกันนี่แหละ เพราะหนูก็อยากคบกับเพื่อนที่สามารถปกป้องเราได้และออกตัวแทนเราได้ด้วยเหมือนกัน"
การ ‘เกิด’ ของแพรวและส้มส้ม เป็นหลักฐานหนึ่งว่า แม้จะไม่ได้อยู่บนฟรีทีวีหลักอย่างช่อง 3, 5, 7, 9 แต่ถ้าอยู่บนกองทัพที่สามารถยึดหัวหาดที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ตสำเร็จได้ก็สามารถโด่งดังได้ไม่แพ้กัน หมายความว่าโอกาสที่ใครสักคนจะเป็นดาวจรัสฟ้าอาจไม่ยากเย็นเหมือนเมื่อก่อน ดาวมากมายกำลังรอวันฉายแสงอยู่ อาจเป็นพรุ่งนี้หรือมะรืน ดังนั้น แพรวกลัวไหมว่าตัวเธออาจดังหรือเป็นที่นิยมอยู่ไม่นาน แพรวคิดเล็กน้อย “เคยกลัว แต่อยู่กับที่นี่ (บริษัท นาดาว บางกอก จำกัด) ก็ไม่น่ากลัวขนาดนั้น หนูจริงจังกับการแสดงมากนะ อินกับมันมาก ตั้งแต่ได้เล่น ฮอร์โมนส์ฯ ก็รู้สึกว่าชอบและคิดว่าตัวเองมาถูกทาง จนอยากจะเรียนการแสดงอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ เลย”
 
ถึงจะรู้ว่าโลกแห่งความจริงเธอมีชื่อว่าแพรว แต่ในขณะที่สัมภาษณ์อยู่นี้เราหลุดเรียกเธอว่า “ส้มส้ม” อยู่หลายหน ไหนๆ ก็ไหนๆ เราถามถึงความเหมือนกันของแพรวและส้มส้ม เธอว่า “นิสัยที่ดูตรงๆ แมนๆ และรักเพื่อน ออกตัวและเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเพื่อนอยู่เสมอ อาจเพราะโรงเรียนที่หนูเรียน (โรงเรียนบอสโกพิทักษ์ จังหวัดนครปฐม) มีนักเรียนค่อนข้างน้อย สนิทกันทั้งห้อง” ออกตัวแทนอย่างที่ส้มส้มลุยไปด่าซันที่ทำให้เพื่อนและน้องของเธอต้องช้ำใจต่อหน้าชาวบ้านถึงโรงเรียนกวดวิชาหรือเปล่า? เราถามถึงฉากพีคซีนหนึ่งในซีรีส์ ฮอร์โมนส์ฯ “ฉากนี้เราเข้าใจเลยว่าทำไมตัวละครตัวนี้ถึงคิดแบบนี้ เพราะถ้าเป็นเพื่อนหนูจริงๆ ก็คงอยากจะเข้าไปช่วยคลี่คลาย” อ้าว อะไร ไม่กลัวโดนคนหาว่าจุ้นเหรอ ธุระของเราก็ไม่ใช่นะ? “ไม่รู้แหละ เป็นคนแบบนี้ มีอะไรก็เลือกจะชนเอาไว้ก่อน เพราะยังงี้ถ้าส้มส้มมีตัวตนจริง หนูน่าจะสนิทกับส้มส้มเพราะความเหมือนกันนี่แหละ เพราะหนูก็อยากคบกับเพื่อนที่สามารถปกป้องเราได้และออกตัวแทนเราได้ด้วยเหมือนกัน” หือ แล้วจะไม่รำคาญเหรอที่เขาจะมายุ่งกับชีวิตเราไปหมด? “ไม่หรอกมั้ง เพราะหนูก็คงไปยุ่งกับส้มส้มมากเหมือนกันแหละ” แพรวหัวเราะ

เราชวนเธอคิด แต่ละตัวละครในซีรีส์ ฮอร์โมนส์ฯ นั้นมีปัญหาเฉพาะตัวทั้งนั้น เธอคิดว่าปัญหาของใครหนักที่สุด คำตอบของเธอคือเฟิสต์—ตัวละครหนุ่มร่าเริงที่รับบทโดย ปีโป้—ณัชพัณณ์ ปรมะเจริญโรจน์ “คิดว่าเป็นเฟิสต์ เพราะคือปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ด้วยตัวเอง มาจากพ่อแม่แยกทางกัน ถ้าเกิดวันไหนพ่อเขามีคนใหม่ขึ้นมามันคงจะลำบากมาก”

 

แล้วกับ ‘พละ’ ล่ะ? (ตัวละครหลักที่เป็นแฟนกับส้มส้ม รับบทโดย สกาย—วงศ์รวี นทีธร) แพรวนิ่งคิด “อย่างพละเขามีเชื้อ HIV ตั้งแต่ยังเด็กแล้ว มันก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ของเขาแล้วล่ะมั้ง หนูคิดยังงั้นนะ” แล้วเธอจะคบกับเขาเหมือนอย่างที่ส้มส้มตัดสินใจไหม? “ในโลกของความเป็นจริงคงคอยเตือนแค่กินยา คอยดูแลกัน แต่คิดว่าคงไม่ได้คบอะไรแล้วนะคะถ้ารู้” หรือถ้าเป็นเพื่อนส้มส้มล่ะ? จะห้ามไม่ให้คบกับพละไหม? “คงทำอะไรไม่ได้ เพราะส้มส้มมันคงไม่ฟังเราอยู่แล้ว” แพรวหัวเราะอีกแล้ว

"หนูไม่รำคาญผู้ใหญ่สมัยนี้ แต่จะรำคาญผู้ใหญ่สมัยนู้นที่ชอบคิดว่าทุกอย่างต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีตัวเองเป็นบรรทัดฐาน อย่างครูบางคนที่ไม่สามารถเข้าใจวัยรุ่นได้เลย แต่หนูก็ไม่ตอบโต้อะไรนะ เพราะคิดว่าถ้าคิดไม่เหมือนกัน พูดกันยังไงก็คงไม่เข้าใจกันอยู่แล้ว"

ในแทบทุกซีซั่นของซีรีส์ ฮอร์โมนส์ฯ ปฏิเสธได้ยากว่าเรื่องราวของตัวละครทั้งหมดล้วนเป็นปัญหาที่ถูกมองด้วยมุมของผู้ใหญ่ที่พ้นจากวัยรุ่นไปแล้ว แล้วกับคนที่อยู่ในช่วงชีวิตวัยรุ่นอย่างแพรวล่ะ มองว่าปัญหาที่แท้จริงของเด็กมัธยมฯ คืออะไร ทว่าเธอค้านขึ้นมาเสียก่อน “แต่ว่าบางเรื่องเป็นเรื่องจริงนะ อย่างเรื่องกีฬาสีนี่ก็เรื่องจริง เพราะเราก็เห็นเพื่อนต้องทะเลาะกันเพื่อถ้วยรางวัลที่สุดท้ายก็ต้องเอาไปคืนให้โรงเรียน ผิดใจกันจนไม่มองหน้ากันไปเลยก็เยอะ ไหนจะเรื่องการเรียนที่มันก็เครียดจริงๆ เพราะผู้ใหญ่กดดัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องอดทน จนสิวขึ้นเต็มแล้วเนี่ย” แน่นอน เธอจบด้วยหัวเราะร่าเริงเหมือนเดิมทุกคำตอบ ร่าเริงจนเราต้องถามว่าแล้วเธอล่ะมีอะไรที่กังวลใจที่สุด “ไม่มีอะไรเลย” เธอตอบรวดเร็ว ก่อนนิ่งคิดแล้วอีดิตคำตอบตัวเองว่า “จริงๆ ก็มีเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนนั่นแหละ บางคนที่เคยสนิทกันก็ไม่คุยกับหนูแล้ว เหตุผลอะไรก็ไม่รู้...” เป็นครั้งแรกที่เราเห็นเธอมีสีหน้ากังวล

เปลี่ยนเรื่องคุย “ถ้าคุณเป็นคนเขียนบทซีรีส์ ฮอร์โมนส์ฯ เอง จะเอาปัญหาไหนของวัยรุ่นมาเขียน” แพรวกระดิกขานึกนาน...

“น่าจะเป็นเรื่องความกดดันที่พ่อแม่มีต่อลูก การที่อยากให้ลูกเรียนดีมากๆ เพื่อแข่งขันกับคนอื่นเพื่อตัวเขาเองทั้งที่หัวของเด็กอาจจะไม่ไหว เพราะหนูเคยเจอคนที่ทำยังไงก็เรียนรู้ไม่ได้ เพราะเขาได้แค่นั้นจริงๆ แต่แม่เขาก็ยังจับยัดๆๆ ให้อ่านหนังสือจนดึกดื่น แต่เขายิ่งเรียนก็ยิ่งเบลอ ทั้งหมดนี้ก็เพราะแม่เขากลัวจะอายที่ลูกเรียนไม่เก่งเหมือนลูกของญาติ”

นั่นไง ว่าจะไม่เครียดแต่ก็เริ่มซีเรียสอีกแล้ว ขณะที่บนโต๊ะเริ่มเงียบ แพรวฉกโทรศัพท์คืนจากผู้จัดการมาได้ชั่วคราว ก่อนที่อีกฝ่ายจะยึดกลับไปได้อีกหน เราถาม “ติดโซเชียล?” แพรวพยักหน้าบอกว่าติด ไลน์ ว่างเมื่อไหร่ก็คุย จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่แค่วัยรุ่นหรอกน่า เพราะผู้จัดการของเธอเองตอนนี้ก็ก้มหน้าก้มตาแชตอยู่เหมือนกัน ช่วยไม่ได้ เพราะแทบทุกสิ่งทุกอย่างของเราในวันนี้อยู่ในนั้นแทบทั้งสิ้น อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือกลายเป็นปัจจัยสำคัญกับชีวิตอย่างที่ทุกคนรู้และก้มหน้ายอมรับ แต่แพรวคิดว่าโซเชียลมีเดียทำให้เราไว้ใจคนยากขึ้นไหม เมื่อเราทุกคนเข้าหากันง่ายขึ้น สนิทกันง่ายขึ้น และแน่นอนว่ามันมีโอกาสที่จะกระทบกระทั่งกันไม่ว่าทางใดทางหนึ่งมากขึ้น “ไม่เคยคิดประเด็นนี้เลย ไม่เคยคิดว่า ‘ควรไว้ใจ’ หรือ ‘ไม่ควรไว้ใจ’ เพื่อนเลย” แม้กระทั่งโลกนี้จะมี ‘ออย’ (ตัวละครจอมหลอกลวงในซีรีส์ ฮอร์โมนส์ฯ รับบทโดย ฟรัง—นรีกุล เกตุประภากร) อยู่ร่วมกับเราได้ในทุกที่ แต่แพรวก็ยังคิดว่าทุกคนเป็นเพื่อนกัน และเธอคงไม่มีเพื่อนอย่างออย แม้ว่าจะเคยโดนหลอกและหักหลังจากความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนก็ตาม “เมื่อทุกอย่างมันเฉลยออกมา ถึงจะทำให้หนูรู้สึกแย่ แต่หนูก็คิดว่า ‘เขาคงไม่ทำแล้วล่ะ’ แต่ในความเป็นจริง คนเราถ้าแย่แล้วเขาก็มักจะแย่อยู่อย่างนั้นแหละ ทุกวันนี้หนูมีเพื่อนกลุ่มที่หนูคิดว่าไว้ใจได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนผู้ชาย แมนๆ เหมือนกัน อย่างน้อยเราเชื่อว่าเขาจะไม่เอาเราไปพูดลับหลัง” เราหัวเราะ ถามกลับ รู้ได้ยังไงว่าผู้ชายไม่พูดลับหลัง? เธอว่าจากสถิติคือยังไม่เคย ต่างจากผู้หญิงที่พบบ่อยกว่า แม้จะสนิทกันก็ยังมีเรื่องทำนองนี้

"หนูเคยเจอคนที่ทำยังไงก็เรียนรู้ไม่ได้ เพราะเขาได้แค่นั้นจริงๆ แต่แม่เขาก็ยังจับยัดๆๆ ให้อ่านหนังสือจนดึกดื่น แต่เขายิ่งเรียนก็ยิ่งเบลอ ทั้งหมดนี้ก็เพราะแม่เขากลัวจะอายที่ลูกเรียนไม่เก่งเหมือนลูกของญาติ"

“ผู้หญิงเข้าใจยากไหม?” เราถามเธอผู้ซึ่งเป็นผู้หญิง “ยากสิ หนูยังไม่เข้าใจเลย!” เธอผู้ซึ่งเป็นผู้หญิงตอบและเสริมต่อ “จริงอยู่ที่มันจะมีความน่ารำคาญแบบผู้หญิง คืองุ้งงิ้งกันตามประสา แต่หนูคิดว่ามันไม่ใช่ความนิสัยไม่ดีนะ แล้วหนูก็ไม่ได้รำคาญแบบยี้แหวะ และก็รู้เหมือนกันว่าในความที่เราเป็นคนเสียงดังโวยวาย ก็มีคนที่รำคาญเราเหมือนกันนั่นแหละ” มีอะไรอีกที่แพรวคิดว่าตัวเองน่ารำคาญ? เธอตอบรวดเร็วว่าความใจร้อน เอาแต่ใจ และคิดว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่คิด “จริงไหมครับคุณแม่?” เราหันไปปรึกษาเพื่อย้ำคำตอบ “ทั้งแม่ทั้งลูกแหละค่ะ” ท่านว่า จบด้วยเสียงหัวเราะครืน

เคยตบกับเพื่อนไหม? เราถามเพราะเห็นเธอรับบท ดาว ม.5 ในหนัง เมย์ไหน..ไฟแรงเฟร่อ หนึ่งในแก๊งดาว 6 แฉกที่ตบแหลกเพื่อชิงความสนใจจากหนุ่มหล่อรุ่นพี่ “ยังไม่เคยเลยนะ มีแค่เกือบๆ แหละ” แพรวหัวเราะ “แต่ก็แค่เกือบ เพราะสุดท้ายเราก็แอบไปร้องไห้คนเดียว” ส่วนเรื่องกรี๊ดรุ่นพี่อย่างในหนัง แพรวว่าก็มีอยู่บ้างตามประสา แต่ถึงขั้นไปสารภาพเลยยังไม่มีเหมือนกัน เก็บเอาไว้คนเดียว รอให้เพื่อนผู้ภักดีอย่างส้มส้มไปพูดแทน ตบท้ายด้วยหัวเราะอีกครั้ง

ว่าด้วยเรื่องแฟน เราต่างได้ยินพ่อแม่กรอกใส่หูตั้งแต่ยังเด็กว่า ‘รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมก่อน’ แล้วแพรวมีปัญหาเดียวกันไหม? “หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ถึงเหมาะสม” ถึงตรงนี้คุณแม่ขอเฉลย ก็เหมือนอย่างที่แม่ทุกคนบอกนั่นแหละว่า รอให้เรียนจบ มีงานทำ แล้วเมื่อนั้นก็จะถึงเวลา เราย้อนถามอีกทีว่า ก็รู้ใช่ไหมว่าอีกไม่นาน เมื่อขึ้นมหาวิทยาลัย มันก็จะถึงวัยที่เลี่ยงได้ยาก  คุณแม่ยิ้มกลับ บอกว่าใช่ว่าเธอกับลูกจะไม่เคยคุยกันในเรื่องนี้ แพรวเองต่างหากที่เป็นฝ่ายยอมรับว่าดูอยู่และจะดูไปเรื่อยๆ แต่จริงจังไหมก็คงยัง เพราะผู้ชายน่ะเปลี่ยนไปได้ทุกวันอยู่แล้ว ประมวลจากประสบการณ์ที่เคยเจอระดับสุดยอดแบดบอย และเอาเข้าจริงแม้แต่เธอที่ยังเด็ก ก็ยังคิดว่ามัธยมปลายมันยังเร็วและยังเด็กเกินไปเหลือเกินสำหรับเรื่องนี้
 
แพรวเอาโทรศัพท์กลับมาได้อีกแล้ว และผู้จัดการสาวก็ยังฟอร์มดีไม่มีตก ไม่กี่อึดใจก็ริบโทรศัพท์กลับไปได้อีกหน 


ระหว่างดูเกมชิงโทรศัพท์ เราถามแทรกเพราะเห็นว่าเด็กเดี๋ยวนี้สมาธิสั้น เธอล่ะเป็นไหม แพรวเลิกยุ่งกับการแย่งโทรศัพท์ทันควัน หันมาตอบอย่างรู้ตัวว่า “ใช่ สมาธิสั้นมาก คุณแม่...หนูเป็นอะไรอะ...” คุณแม่ส่ายหัวไม่รู้ “เมื่อกี้ตอนแต่งหน้าหนูก็อึดอัดนะ อยากลุกไปเดินนู่นนี่ อยู่นิ่งได้ไม่นานเลย”

อาจกล่าวได้ว่า เด็กรุ่นใหม่นั้นเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด เหมือนอย่างที่คนเจนเอ็กซ์ก็เอือมระอาเด็กเจนวายอยู่บ้าง ยิ่งเมื่อเวลาหมุนผ่านไป โลกผลิตเด็กเจนต่อไปอย่างขยันขันแข็ง เสียงบ่นก่นด่าพฤติกรรมของความเป็นเด็กนั้นยิ่งถูกยกขึ้นมาตำหนิอย่างรำคาญ อย่างเรื่องสมาธิสั้นนั่นก็ใช่ แล้วเด็กอย่างเธอล่ะ รำคาญผู้ใหญ่สมัยนี้บ้างไหม “ไม่นะคะ หนูไม่รำคาญผู้ใหญ่สมัยนี้ แต่จะรำคาญผู้ใหญ่สมัยนู้นที่ชอบคิดว่าทุกอย่างต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีตัวเองเป็นบรรทัดฐาน อย่างครูบางคนที่ไม่สามารถเข้าใจวัยรุ่นได้เลย แต่หนูก็ไม่ตอบโต้อะไรนะ เพราะคิดว่าถ้าคิดไม่เหมือนกัน พูดกันยังไงก็คงไม่เข้าใจกันอยู่แล้ว"

แล้วเราเข้าใจเขาบ้างไหมล่ะ? 

    “ไม่ค่ะ” เราหัวเราะพร้อมกัน ก่อนแพรวจะได้รับอิสรภาพทั้งโทรศัพท์โดยสมบูรณ์




ติดตามความเคลื่อนไหวของแพรวได้ที่
IG : narupornkamol