พลังของพลัง Star Wars นั้นเปลี่ยนโลกไปอย่างไร

คงไม่เกินเลยไปนัก หากจะกล่าวว่า Star Wars คือผู้กำหนด 'รูปลักษณ์ของอุตสาหกรรมฮอลลีวูดทั้งวงการอย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้'

    “George Lucas มองการณ์ไกลอย่างมาก เขารู้ดีว่าโลกกำลังเปลี่ยนไป ผมหมายถึง เขานั่นแหละที่เปลี่ยนมัน”

    นั่นคือคำยืนยันจากปากคำของ Gareth Wigan หนึ่งในผู้บริหารของ 20th Century Fox ซึ่งได้อ่านบท Star Wars: Episode IV ของ George Lucas เป็นคนแรกๆ ในตอนที่มันยังเป็นแค่แผ่นกระดาษ ก่อนจะออกมาโลดแล่นอยู่บนจอเงิน และเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล


   

    Star Wars เริ่มต้นจากความฝันยิ่งใหญ่ของชายคนหนึ่ง เด็กหนุ่มที่เคยอยากเป็นนักแข่งรถ แต่กลับโชคร้ายประสบอุบัติเหตุจนตัดสินใจเบนเข็มมาเรียนด้านหนัง แต่ถ้า Lucas ไม่โชคร้ายในวันนั้น โลกใบนี้คงกลายเป็นจักรวาลคู่ขนานอีกใบที่เราอาจนึกภาพไม่ออก

    เอาแค่ในวงการหนัง—ในช่วงยุค 70 แม้เราจะได้เห็น 'หนังชุด' อย่าง Wong Fei-Hung จากฝั่งฮ่องกง หรือ James Bond จากอังกฤษอยู่บ้าง แต่หนังเหล่านี้ในแต่ละภาคก็มักแยกขาดจากกัน ต่างจาก Star Wars ที่ผูกเรื่องให้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องทีละภาค นี่คือการตลาดรูปแบบใหม่ที่ฮอลลีวูดไม่เคยเห็น มันได้เปลี่ยนวิธีดูหนังของผู้คนไปตลอดกาล ด้วยการกำหนดแกมบังคับว่า ถ้าเราดูได้ภาคหนึ่ง หากอยากคุยกับคนอื่นรู้เรื่อง ก็จำเป็นต้องดูภาคต่อๆ ไปด้วย จนส่งให้วัฒนธรรมการทำหนังแบบ 'เฟรนไชส์' แพร่หลาย เปิดประตูบานใหญ่ให้แก่หนังเฟรนไชส์ยุคหลัง

    ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยเรื่องราวแบบแมนๆ กลุ่มเป้าหมายหลักของ Star Wars จึงกลายเป็นเด็กผู้ชายอายุ 12-24 ปี อันเป็นกลุ่มประชากรถึง 10% ในสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ Star Wars ภาคแรกกวาดรายได้ไปกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ฯ จนทำให้ค่ายหนังเล็งเห็นถึงช่องทางทางการตลาดนี้ และเลิกเหวี่ยงแหไปยังคนทุกกลุ่มเหมือนที่แล้วๆ มา แล้วมุ่งเป้าไปที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแทน เช่น การเทงบก้อนใหญ่ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนให้แก่การประชาสัมพันธ์แบบ tie-in ผ่านไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่น อย่างของแถมในร้านฟาสต์ฟู้ด ซึ่งก็กลายเป็นคัมภีร์ของฝ่ายการตลาดในค่ายหนังมาจนถึงทุกวันนี้

    แต่ก็ไม่ใช่แค่วงการหนัง เพราะในด้านสังคมและการเมืองเอง Star Wars ก็ยังแทรกซึมไปทุกหัวระแวง—ปี 1983เกิดเรื่องชวนขันแต่แสดงให้เห็นถึงพลังของหนังเรื่องนี้อย่างแจ่มชัด เมื่อ Ronald Reagan ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เสนอแผนชื่อ SDI (Strategic Defense Initiative) เพื่อสร้างสถานีอวกาศที่จะใช้แสงเลเซอร์ทำลายหัวรบนิวเคลียร์ของศัตรู แต่ด้วยความคลั่งไคล้ Star Wars ของคนอเมริกันนี่เอง แผนการนั้นจึงถูกเปลี่ยนชื่อเรียกมาเป็น Stars Wars จนฮอตฮิตติดปากยิ่งกว่าชื่อเรียกจริงๆ ของมันเสียอีก

    ถึงวันนี้ Star Wars จึงไม่ใช่แค่หนังชุดหนึ่งที่มีความยาวต่อภาคเพียง 2-3 ชั่วโมงอีกต่อไป แต่กาลเวลายาวนานพิสูจน์แล้วว่ามันมีค่ามากกว่านั้น นี่คือผู้นำทางวัฒนธรรมที่คอยส่งต่อ 'พลัง' ให้แก่ผู้คนทั่วโลก เริ่มจากเปลี่ยนสิ่งที่เคยอยู่แค่ในจินตนาการ (อย่างโฮโลแกรม) ให้เป็นภาพ พาอุตสาหกรรมหนังไปอีกขั้น หรือแม้กระทั่งทำให้เด็กเนิร์ดบ้าวิทยาศาสตร์ได้ลืมตาอ้าปาก ด้วยการผลักความเนิร์ดก้าวสู่ความเป็นเมนสตรีม—เอาง่ายๆ เช่น ถ้าคุณอยากจีบสาวสักคน การหยิบเรื่อง Star Wars ขึ้นมาพูดคุยกับเธอ คงไม่ใช่หัวข้อที่น่าเบื่อนักจริงไหม



จากคอลัมน์ Core—giraffe 28—Star Wars Issue