พื้นที่ห้ามเศร้า! เหตุผลที่เราไม่กล้าร้องไห้ให้ใครเห็น


            เราไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็น ไม่กล้าเผยความอ่อนแอที่มีอยู่ข้างในให้ใครรู้ เพราะสังคมนี้ไม่มีพื้นที่ให้ความเศร้า เราถูกสังคมกดดันให้ไขว่คว้าหาความสุขจนเคยตัว ผู้ป่วยจิตเวชที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองให้สตรองอย่างที่สังคมคาดหวังได้ จึงถูกมองว่าเป็นคนผิดปกติ อ่อนแอ ด้อยค่า ถูกรุกไล่จนต้องถอยร่นออกไปเป็นคนชายขอบของสังคมในที่สุด 

            นับตั้งแต่สังคมไทยในอดีตที่ยังเข้มข้นด้วยความเชื่อเรื่องผีสางเทวดา จึงทำให้เกิดข้อสรุปว่าผู้ที่มีอาการทางจิต หรือมีลักษณะอาการผิดแปลกไปจากคนปกตินั้น ถูก ‘ผีเข้า’ เมื่อเข้าใจไปว่าความผิดปกตินั้นเกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติ จึงแก้ไขด้วยการพาไปให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ ดูเจ้าเข้าทรง หรือหากทำมาทั้งหมดแล้วยังไม่หายก็เหลือวิธีสุดท้ายคือกักขังไว้ในบ้าน ปล่อยให้ ‘ผีบ้า’ ในสายตาของสังคมกลายเป็นโครงกระดูกในตู้ที่ใส่กลอนปิดตายไว้จนกว่าจะถึงเวลาจากโลกนี้ไป

            จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 5 สังคมไทยได้ทำความรู้จักกับการแพทย์แผนปัจจุบัน อาการทางจิตจึงค่อยๆ ถูกมองว่าเป็นโรคที่ต้องรักษา แต่ด้วยความเข้าใจด้านจิตเวชที่ยังไม่แพร่หลายทำให้โรงพยาบาลกลายเป็นสถานที่คุมขังผู้ป่วยมากกว่าสถานที่บำบัด ความน่าสนใจคือแม้จะเป็นช่วงเวลาร้อยกว่าปีก่อนก็มีผู้ป่วยเข้ามาขอรับการรักษาจำนวนมากจนต้องแยกออกมาเป็น ‘โรงพยาบาลคนเสียจริต’ หรือที่เรามักเรียกกันว่า ‘หลังคาแดง’ ซึ่งต่อมาถูกสร้างภาพลักษณ์ให้น่ากลัวเกินจริงไปมาก จนทำให้ผู้ที่มีอาการทางจิตไม่อยากไปหาหมอเพราะกลัวถูกชาวบ้านหาว่าเป็นบ้า คนในครอบครัวก็ไม่กล้าส่งลูกหลานเข้าไปบำบัดอาการ เพราะมองว่าโรคทางจิตนั้นน่าอับอาย เพราะฉะนั้นชนชั้นนำจึงเลือกที่จะปกปิดความเจ็บป่วยไว้ ส่วนชนชั้นแรงงานก็อาจไม่มีเวลาหรือทุนทรัพย์มากพอที่จะเข้ารับการรักษา โชคดีที่ช่วงทศวรรษที่ผ่านมานี้ คนในสังคมก็เริ่มเข้าใจโรคทางจิตมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงภาครัฐที่มีนโยบายให้ความช่วยเหลือเยียวยาไม่ต่างจากโรคทางกาย เห็นได้จากสำนักงานประกันสังคมที่เพิ่งขยายความคุ้มครองสิทธิด้านการรักษารักษาพยาบาลแบบไม่จำกัดเงื่อนไขสำหรับผู้ป่วยจิตเวช ไปเมื่อปี 2554

            ปัจจุบันในโรงพยาบาลรัฐทั่วไป  มีจิตแพทย์คอยทำหน้าที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการของผู้ป่วยจิตเวชอยู่แทบทุกแห่งในกรุงเทพฯ โดยจิตแพทย์จะประจำอยู่ในแผนกอายุรกรรมอย่างเงียบๆ เป็นที่รู้กันเองในหมู่ผู้ป่วยด้วยกัน แต่ในพื้นที่ต่างจังหวัดมีผู้ป่วยอีกมากที่ยังเข้าไม่ถึงการดูแลของจิตแพทย์ เนื่องจากสังคมยังมองว่าอาการซึมเศร้า ภาวะเจ็บป่วยทางใจนั้นเกิดขึ้นในสังคมเมืองมากกว่าในชนบท ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำอาชีพอะไรก็มีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้าได้ไม่ต่างกัน 



จากคอลัมน์ Core : giraffe Magazine 30 — Depression Issue  
ติดตามอ่านฉบับเต็มได้ที่
 giraffe