คุ้ยเหตุผลคนเหงา ทำไมกินข้าวคนเดียวแล้วความหว่องต้องถามหา



         มนุษย์อยู่ร่วมกับผู้อื่นก็เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่แต่ละคนต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความจำเป็นทางกายหรือใจ

            ตั้งแต่เด็กเราจำเป็นต้องมีครอบครัวก็เพื่อความอยู่รอดปลอดภัย มีบ้านให้อยู่ มีคนดูแล โตขึ้นมาอีกหน่อย เราก็เริ่มอยากเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเพื่อนเพื่อความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เราเข้าสังคมเพื่อคอนเนกชั่น เพื่อหน้าที่การงาน เพื่อการเป็นที่ยอมรับ เพื่อให้เรารู้สึกได้เป็นส่วนหนึ่งของอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง

             Aristotle นักปราชญ์ชาวกรีก กล่าวว่า “Man is a social animalด้วยความเชื่อที่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม ไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ตามลำพังได้ มนุษย์เพียงคนเดียวนั้นไม่อาจสืบเชื้อสาย ไม่อาจป้องกันตัวเองและไม่อาจหาเลี้ยงชีพอยู่ได้นาน แต่ Thomas Hobes และนักปรัชญาหลายคนเห็นแย้งว่าก่อนที่เราจะมารวมกันเป็นสังคมนั้น เรามีชีวิตอยู่ตามธรรมชาติ ไร้สังคม ไร้กฎเกณฑ์ ต่างใช้พละกำลังช่วงชิงสิ่งที่ต้องการ แต่เมื่อมนุษย์เพิ่มจำนวนมากขึ้น ปัจจัยในการใช้ชีวิตจึงซับซ้อนขึ้น บรรพบุรุษของเราจึงต้องยอมจับมือกันเพื่อความปลอดภัยและผลประโยชน์ที่จะได้รับร่วมกัน



The New York subway, by Stanley Kubrick


            จนกระทั่งการเข้ามาของสิ่งพิมพ์ การผลิตในระบบอุตสาหกรรม ทำให้เรามีสิ่งอำนวยความสะดวกแทบทุกอย่างจนแทบไม่จำเป็นต้องพึ่งพามนุษย์ด้วยกันอีกต่อไป เราอ่านหนังสือแทนฟังเรื่องเล่า เราดูโทรทัศน์แทนการนั่งชมการแสดงสด เรามีสมาร์ตโฟนและเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ทำหน้าที่แทบจะทุกอย่างแทนเราได้โดยไม่ต้องก้าวเท้าออกจากบ้าน
                นี่จึงอาจเป็นยุคที่ถ้อยคำประเภท ‘ไปด้วยกัน ไปได้ไกล’ หรือ ‘คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย’ กลายเป็นคำตกยุคที่ไม่สามารถจูงใจให้เราอยากร่วมหัวจมท้ายกับคนอื่นอีกแล้ว  ยืนยันด้วยตัวเลขจาก Euromonitor International ที่พบว่าในปี 1996 มีคนที่ใช้ชีวิตตัวคนเดียวทั่วโลกราว 153 ล้านคน และในอีก 10ปีต่อมาเพิ่มมาเป็น 202 ล้านคน และคาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าตัวเลขจะพุ่งสูงไปถึงราว 80% ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น ญี่ปุ่น จีน หรือบราซิล ส่วนในสหรัฐฯ นั้นประชากรกว่า 124.6 ล้านคนหรือคิดเป็นครึ่งหนึ่งของประเทศครองตัวเป็นโสดอยู่ในขณะนี้ ที่น่าสนใจคือไม่ใช่เพียงคนรุ่น Millennials เท่านั้น แต่เจนเอ็กซ์กว่า 43% ก็คิดว่าชีวิตแต่งงานเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว Eric Klinenberg ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย New York ผู้เขียนหนังสือ Going Solo: The Extraordinary Riseand Surprising Appeal of Living Alone กล่าวถึงปรากฏการณ์นี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า การอยู่คนเดียวนั้นเป็นผลจากการให้คุณค่าแก่แนวคิดเชิงเสรีนิยม บทบาททางสังคมของผู้หญิงที่มากขึ้น รวมทั้งความเป็นเมืองที่ขยายตัวอยู่ทั่วทุกมุมโลก และการพัฒนาของเทคโนโลยีทำให้เรามีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น เราจึงอยู่คนเดียวได้อย่างไร้ปัญหา




หากอ่านตรงนี้ยังไม่จุใจ กดฟังศาสตร์จารย์ 
Eric Klinenberg อธิบายยาวๆ ได้ที่นี่



            ในเมื่อเรามีทุกอย่างที่ต้องการแล้ว การอยู่คนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลอีกต่อไป เช่นที่ Eric Klinenberg กล่าวเสมอว่า “การอยู่คนเดียวคือทางเลือก ไม่ใช่การลงทัณฑ์”


            เมื่อการกักขังในพื้นที่จำกัดคือการลงโทษสำหรับผู้กระทำผิดในสังคม ขั้นกว่าของการลงโทษผู้ที่กระทำผิดในเรือนจำก็คือการถูกแยกออกจากการอยู่ร่วมกับผู้อื่น การขังเดี่ยวเกิดจากแนวความคิดความเชื่อที่ว่าห้องคุมขังของเรือนจำที่มีลักษณะปิดทึบ ตัดขาดจากโลกภายนอก จะช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม บั่นทอนความสามารถในการกระทำผิดของผู้ต้องขังได้ คิดดูให้ดีแล้วคงไม่ต่างจากการการลงโทษเด็กๆ เมื่อทำผิดด้วยวิธี time out ซึ่งให้แยกตัวออกไปนั่งมุมห้อง ไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมกับครอบครัวหรือเพื่อนๆ

            อาจเป็นเพราะที่ผ่านมา การต้องอยู่คนเดียวถูกมองว่าเป็นการลงโทษทางสังคมอย่างหนึ่งตลอดมา ทำให้การตัดสินใจใช้ชีวิตตัวคนเดียวเป็นเรื่องน่ายุ่งยากใจไม่ใช่น้อย ไม่เช่นนั้นเราคงไม่ได้ยินสำนวนอย่าง ‘คว่ำบาตร’ ‘หัวเดียวกระเทียมลีบ’ ซึ่งหมายถึงการที่ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วยเพราะทำอะไรบางอย่างที่สังคมไม่ยอมรับ หรือคำกล่าวที่ว่า ‘คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย’ ซึ่งแฝงแนวความเชื่อที่ว่าการอยู่คนเดียวนั้นเป็นเรื่องอันตราย จนกลายเป็นค่าปกติของสังคมที่คนเราต้องหาหนทางทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับผู้อื่นอยู่เสมอ

จากคอลัมน์ Core ใน giraffe Magazine 31—One Life Stand Issue