ตั้งแต่ยุคโบราณ ผู้หยั่งรู้หรือหมอดูจะมีบทบาทเคียงคู่กับผู้นำเสมอ ไม่ว่าจะในยุคชนเผ่า ยุคราชสำนัก จนถึงยุคที่มีรัฐสภาปกครอง และหลายครั้งที่คำทำนายมีอิทธิพลต่อการบริหารและจัดการสังคม 

    นั่นเพราะยิ่งย้อนเวลากลับไปไกลเท่าไหร่ คนเราก็มีเรื่องที่ยังไม่รู้มากเท่านั้น ซึ่งความไม่รู้และควบคุมไม่ได้ทำให้คนเรารู้สึกไม่มั่นคงเสมอ จึงไม่แปลกที่ผู้นำจะใช้ผู้ที่สามารถบอกสิ่งที่คนไม่รู้ เพื่อให้คนรู้สึกมั่นคง และเชื่อว่าเขาจะพาสังคมไปในทิศทางที่ถูกต้อง จนมีอำนาจควบคุมคนในสังคมอย่างสมบูรณ์แบบ

    แม้ว่าเวลาผ่านไปโหราศาสตร์จะมีอำนาจในทางควบคุมสังคมน้อยลง แต่สำหรับปัจเจกชน การดูดวงยังคงมีอิทธิพลอยู่มาก เพราะในบางเรื่องโลกสมัยใหม่ก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ เช่น เรื่องในอนาคต หรือเรื่องที่เชื่อว่ามีอำนาจอื่นกำหนดเอาไว้ (โชคชะตา, ดวงดาว, เทพเจ้า, กรรม ฯลฯ) การดูดวงจึงแทบจะเป็นหนทางเดียวที่พามนุษย์ไปใกล้กับคำตอบเหล่านั้นได้มากที่สุด 

    หากคิดในทางวิทยาศาสตร์ เราตั้งคำถามกับโหราศาสตร์ได้มากมาย เช่น เพียงแค่เกิดในเดือนเดียวกัน เราต้องมีดวงชะตาเหมือนกันหรือ แล้วทำไมดวงชะตาถึงมีผลเฉพาะกับมนุษย์ แล้วสัตว์อื่นบนโลกล่ะ ฯลฯ ในคำถามมากมายเหล่านั้นท้ายที่สุดมันจะเป็นจริงหรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องของการใช้วิจารณญาณส่วนบุคคล แต่เชื่อว่าในช่วงที่อ่อนแอที่สุด วูบหนึ่งคนเรายังคงอยากได้คำตอบจาก ‘เบื้องบน’ อยู่ดี

    ยิ่งคำทำนายใกล้ตัวเราได้มากแค่ไหน ยิ่งส่งผลต่อจิตใจคนได้มากเท่านั้น แม้คนที่ไม่เคยเชื่อเรื่องนี้ เมื่อเจอคำทำนายที่กลัวอยู่ลึกๆ เช่น 'คนรักกำลังจะมีคนอื่น' หรือ 'การเงินกำลังจะมีปัญหา' จิตใจก็ต้องมีหวั่นไหวกันบ้าง ดังนั้นสิ่งที่คนต้องการจากหมอดูก็คือเรื่องที่อยู่นอกเหนืออำนาจล่วงรู้ของตัวเอง กระทั่งความรู้สึกขนลุกวูบวาบเมื่อพบว่าหมอดูทำนายแม่น ก็เป็นสิ่งที่เร้าอารมณ์หลายคนได้เช่นกัน

    นอกจากบอกสิ่งที่ไม่รู้แล้ว หมอดูยังให้ทางแก้ด้วย

    มีคำกล่าวหนึ่งที่น่าสนใจว่า หมอดูก็มีหน้าที่คล้ายจิตแพทย์ เพราะคงมีเพียง 2 อาชีพนี้เท่านั้นที่พร้อมจะรับฟังทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตคน ในขณะที่จิตแพทย์ให้ทางแก้ด้วยการปรับจิตใจ หมอดูก็ให้วิธีแก้อื่นๆ ซึ่งง่ายกว่าและยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวชั้นดี ไม่ว่าจะเป็นการสะเดาะเคราะห์ หรือบนบานศาลกล่าว ถึงจะไม่รู้ว่ามันแก้ปัญหาได้จริงไหม แต่เรื่องความสบายใจในหลายๆ เคส หมอดูชนะขาด