“หน้าหนาวปีนี้จะหนาวได้สักกี่วันนะ” ฉันคิด
ก็แหม เมืองไทยอากาศมันร้อน จะให้ใส่เสื้อกันหนาวสีสันสดใสออกไปประชันกับเพื่อนร่วมชั้นเหมือนสมัยประถมได้อย่างไร ในเมื่อโลกมันร้อนขึ้นทุกวัน ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นบ้านคนไทยชนชั้นกลางขึ้นไปมากมายติดแอร์กันแทบทุกส่วนของบ้าน โดยเฉพาะห้องนอน เรียกได้ว่าสมัยนี้ “เปิดพัดลมห่มผ้านอน” คงจะเย็นได้ไม่ถึงใจเท่านอนเปิดแอร์เป่าหอยหมีเสียแล้ว
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/174/174207/pagegallery/1669517554/8f038793.jpg)
แล้วทำไมฉันต้องเขียนถึงประดิษฐ์กรรมชิ้นเอกของโลกชิ้นนี้ด้วยล่ะ ในเมื่อมันสร้างปัญหาให้เราๆ ท่านๆ ได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเปลืองพลังงานและภาระค่าไฟ ที่จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลยถ้าหลายครัวเรือนไม่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือนเงินดาวน์เงินผ่อนและมีปัญญาจ่าย หรือเรื่องโลกร้อนที่ทางแก้เห็นจะมีทางเดียวคือต้องติดตั้งแอร์ให้โลกบ้าง จะได้เลิกร้อนเสียที
บ้านฉันก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่โลกร้อนเพราะติดแอร์เหมือนกัน ในช่วงวัยว้าวุ่น แอร์บ้านฉันเสีย อากาศร้อนจนนอนไม่หลับ โชคดีที่ฉันมีคนรักคอยปลอบใจ ประมาณว่าเปิดพัดลมแรงๆนะจ๊ะที่รัก เธอจะได้ไม่ร้อนและนอนหลับสบาย แน่นอนว่าแค่คำปลอบประโลมมันช่วยแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่คนที่อยู่ในอารมณ์แรกรัก น้ำต้มผักยังว่าหวานแบบนั้น ไม่ว่าจะแอร์หรือพัดลมก็เคลิบเคลิ้มฝันดีได้ทั้งนั้น โดยไม่ต้องพึ่งช่างแอร์ในตำนานที่ไหนให้มาแก้ปัญหาเรื่องการหลับนอน แต่พอวันเวลาผ่านไป แอร์ได้รับการซ่อมแซม ไม่ต้องเปิดแรงก็เย็นฉ่ำ เวลานั้นฉันกลับหนาวใจเพราะไม่มีใครเคียงข้างเหมือนแต่ก่อน ใช่แล้ว ฉันถูกหักอก มันเป็นเรื่องธรรมดามากของโลกที่เวลาเปลี่ยน อะไรๆ ก็ย่อมเปลี่ยน ต่างกันที่แอร์ที่เสียนั้นซ่อมได้ แต่คนรักที่เสียไป ไม่ว่าจากเป็นหรือจากตาย จะทำอย่างไรก็ไม่มีวันกลับมา แม้จะรู้ว่าเมื่อวันหนึ่งเราย้อนกลับมามอง มันจะเป็นแค่เรื่องน่าขำระคนสมเพชตัวเองก็เถอะ แต่ช่วงเวลาก่อนจะผ่านไปได้แต่ละวันมันก็ยากอยู่นะ
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/174/174207/pagegallery/1669517554/8c7ae95a.jpg)
เวลาใครพูดอะไรกรอกหูมากๆ ฉันคิดว่าถ้าเราไม่ชอบ ไม่สน เราก็แค่ไม่ต้องฟัง แต่ความจริงก็คือมันจะฝังอยู่ในหัวเราลึกๆ โดยไม่รู้ตัว บางทีมันก็หล่อหลอมความคิดความเชื่อของเราด้วย ช่วงที่ฉันตกงานอยู่ มีคนว่าฉันเป็นคนไร้ค่า อยู่ไปวันๆ พอบ่อยเข้ามันก็เหมือนถูกสะกดจิตให้เชื่อตามนั้น ประกอบกับความคิดโทษตัวเองที่ไม่เอาไหน เหนื่อยจนท้อ และกดดันจากเรื่องอื่นๆ มากมายรอบตัวที่อยู่เหนือการควบคุม เวลาอยู่กับใครๆ แล้วดูร่าเริงเกินคนก็จริง แต่มันเป็นเพราะเราได้พักจากความกังวลชั่วคราว ในใจมันรู้สึกโหวงๆ ว่างเปล่ายังไงบอกไม่ถูก รู้ตัวอีกทีมันก็ถึงจุดที่นิ่ง ทั้งวันทั้งคืน ไม่คิด ไม่ทำอะไรเลย
เช้าวันหนึ่ง ฉันรู้สึกตัวตื่นเพราะแอร์มันหนาวกว่าเดิมทั้งที่เราไม่ได้ไปปรับอุณหภูมิ คงเพราะเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาวแล้วละมั้ง แต่จะหนาวแค่ไหนหลายคนก็เลือกที่จะขดตัวใต้ผ้าห่มต่อ ทั้งที่แค่แข็งใจลุกไปปิดแอร์แปบเดียว อากาศก็อบอุ่นขึ้นแล้ว จากเหตุการณ์เล็กๆ นี้ อยู่ๆ ฉันก็เกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา การขดตัวทนหนาวก็เหมือนกับการเอาตัวเองไปจมอยู่กับความรู้สึกเดิมๆ ในอดีต เมื่อไรที่เราปลุกใจตัวเองให้ลุกขึ้นเดินก้าวต่อ อยู่กับปัจจุบัน ทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง อนาคตเราต้องได้เจอสิ่งที่ดีกว่าแน่![](//c.min.ms/t/h150/member/c/174/174207/pagegallery/1669517554/943e5065.jpg)
แม้หน้าหนาวของบ้านเมืองนี้จะไม่หนาวเท่าเมืองของเอลซ่าที่ร้องเพลง Let It Go แต่การได้รับอากาศอบอุ่นดูเหมือนจะจำเป็นต่อชีวิตฉันในเวลาแบบนี้ ไหนๆ ก็ไม่มีงาน ไม่มีห่วง ฉันก็เก็บกระเป๋าออกเดินทางตามรอยหนังสือในดวงใจที่เคยสร้างเป็นหนังมาแล้วอย่าง Eat Pray Love ที่เล่าถึงตัวผู้แต่งที่ขอหย่าจากสามีเพื่อออกไปแตะขอบฟ้าค้นหาบางอย่างในชีวิตที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะคุ้มค่าไหมกับการที่เธอต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ไอ้ฉันที่เป็นฝ่ายถูกผลักไสก็เลยลองคิดเล่นๆดูว่าถ้าฝ่ายถูกทิ้งทำแบบนั้นบ้างผลลัพธ์ที่ได้กลับมามันจะต่างออกไปไหม ในเรื่องแบ่งเป็น 3 พาร์ท เริ่มที่อิตาลี ฉันเริ่มวางแผนกินดะราวกับผู้หิวโหยจากประเทศด้อยพัฒนา แต่พอได้กินจริงๆ ฉันกลับกินได้เพียงครึ่งชม.ก็รู้สึกแน่นจนจะวิงเวียนแทบจะอาเจียนเลยต้องนั่งนิ่งๆ ไปอีกชม.ครึ่ง คงเพราะกระเพาะเล็กๆ ของฉันมันยังไม่ขยาย (แต่วันต่อมาร่างกายก็ปรับตัวได้นะ ฉันจึงเริ่มเก็บ spare ในมื้อต่อๆ มา ฉันได้พบรักกับเจลาโต้และพิซซ่าหน้าช็อคโกแลตแบบในหนังสือด้วย รสชาติของมันช่างยอดเยี่ยมเกินบรรยายเชียว) อ้อ! อยู่ที่นี่ฉันหลงทางบ่อยมากเลยล่ะ กรุงโรมคงไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวจริงๆ มันถึงได้ซับซ้อนหันไปทางไหนตึกรามก็คล้ายกันไปหมด แต่การหลงนี่แหละที่ทำให้ฉันได้เจอสถานที่ใหม่มากมายที่ไม่ปรากฏในหนังสือนำเที่ยว เช่นเดียวกับเพื่อนใหม่มากมายที่ได้กลับมา ถึงแม้พวกเขาจะไม่ช่วยให้ฉันได้งานเหมือนใน “หนีตามกาลิเลโอ” หรือมาขอความรักเหมือนใน “When in Rome” ก็เถอะ
ฉันไม่จำเป็น (หรือไม่รู้ตัวว่าจำเป็น) ต้องค้นหาจิตวิญญาณหรืออะไรก็ตามที่อินเดียและบาหลีแบบในหนังสือต่อ อย่างน้อยก็ตอนนี้ที่เงินเก็บเริ่มพร่อง ฉันจึงกลับกรุงมาเหยียบป่าคอนกรีตที่พื้นผิวหลายแห่งยังคงขรุขระอีกครั้ง การเดินทางหลบเลียแผลใจ เติมกำลังกายและไฟฝันด้วยวันหยุดแบบชาวโรมันครั้งนี้ ฉันต้องขอขอบคุณสายลมที่หวังดีที่สังเคราะห์ขึ้นจากประดิษฐ์กรรมชิ้นเอก ทำให้ฉันลุกขึ้นฉายเดี่ยวทำเรื่องบ้าบิ่น ไร้ซึ่งการวางแผน (แม้แต่เรื่องกิน เพราะมีสิ่งใหม่ๆ ให้ต้องชิมได้ไม่รู้จบ) แม้สิ่งที่ได้กลับมาจะไม่ใช่คนรักใหม่ที่ดีกว่าหรือการงานที่มั่นคง แต่สิ่งที่ได้กลับมีค่ามากกว่า เพราะมันคือตัวฉันเองที่เข้มแข็งขึ้น (ไม่ได้หมายถึงอ้วน) ปลอดโปร่ง เปิดกว้างต่อความเป็นไปได้ในชีวิต ปรับมุมมอง ขยายขอบเขตโลกทัศน์ ได้ทลายกำแพงหลายอย่างในตัว และที่สำคัญก็คือ ได้ความรัก ความเคารพนับถือ ในคุณค่าของตัวเอง และได้ให้อภัยตัวเองในการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ไม่เชื่อคุณลองออกไปเที่ยวดูบ้างสิ ไม่ต้องไปถึงเมืองนอก แค่นอกเมืองก็ได้ ไปใช้ชีวิตแบบไม่ต้องคิดถึงใครหรืออะไร อยู่กับตัวเอง โดนแดด โดนลม ดมกลิ่นดินของแท้และดั้งเดิมดูบ้าง ถึงจะแสบร้อนไปนิดแต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่น่าเรียนรู้และจดจำ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in