ฉันเป็นคนค่อนข้างแรงและรั่วเมื่ออยู่ในกลุ่มเพื่อน พวกเขาจึงคาดหวังว่าจะได้ยินได้ฟังชีวิตรักอันโลดโผนจากปากฉันขณะที่เรากำลังจุดประเด็น sex talk ฉันต้องขอโทษพวกเขาที่ทำให้ผิดหวัง ฉันไม่ได้โกหกและไม่ได้เขินอายที่จะพูด แต่มันไม่มีอะไรหวือหวาให้พูดถึงจริงๆ (หรือมาตรฐานความหวือหวาของฉันจะสูงไป?) ก็แหม ฉันไม่ได้ “เอา” กับใครง่ายๆ นี่ แล้วอีกอย่าง ชีวิตรักกับเซ็กส์มันก็คนละเรื่องกันด้วย ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนกันก็เอากันได้นี่
คนเรารักกันชอบกันเพราะอะไร? ที่รูปร่างหน้าตารึเปล่า เพราะมันเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ตั้งแต่แรกเห็น แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่ดูดีทุกคนจะต้องมีแฟนเท่านั้นนะ บางคนดูดี แต่สภาพจิตไม่ปกติ ก็ไม่มีใครอยากจะยุ่งด้วยหรอก เคยได้ยินไหม “สวยมักนก ตลกมักได้” แสดงว่ามันอาจจะไม่ได้เริ่มต้นคบหากันที่หน้าตาเสมอไป แต่เริ่มต้นที่การพูดคุยถูกคอถูกใจอย่างสม่ำเสมอ หรืออาจจะเริ่มต้นที่หน้าตานั่นแหละ แต่ไม่ได้พัฒนา เพราะนิสัยหรือลีลาไม่น่าประทับใจก็เป็นได้
แล้วการที่จะเลือกคบใครเป็นแฟนสักคนเหตุผลมันคืออะไร? อยู่คนเดียวไม่ได้เหรอ? ทำไมต้องมีแฟน? ช่วยตัวเองไม่เป็น? ถือของหนักไม่ได้? ไม่มีใครคอยบอกฝันดีแล้วจะนอนไม่หลับทั้งคืน? ไม่มีคนคอยป้อนข้าวป้อนน้ำยามป่วยไข้ (และใคร่?) ไม่มีคนช่วยทำงานให้ฟรีๆ? ฯลฯ ถ้าแค่อยากจะมอบความรู้สึก
ดีๆ ให้ใครสักคน แอบรักข้างเดียวก็ได้นี่จริงไหม อย่างนี้ก็แสดงว่ารักที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนมันไม่มีจริงน่ะสิ
หลายคนอาจเถียงว่ารักของพ่อแม่ไงที่จริงแท้และบริสุทธิ์ แต่เราเชื่อได้อย่างไรกับมายาคติความเป็นพ่อคนแม่คน หรือเราต้องลองเป็นดูเองแล้วจึงจะรู้ว่ามันซาบซึ้งเหลือเกินที่ได้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูชีวิตคนอย่างที่เขาว่าไว้ มีใครไม่เคยเถียงพ่อแม่หรืออย่างน้อยก็แอบขัดแย้งกับเจตนาบางอย่างของพวกท่านอยู่ในใจลึกๆ บ้าง ทำไมพ่อแม่ถึงอยากให้ลูกได้ดี ถ้าไม่หวังให้กลับมาเลี้ยงดูพวกท่านยามแก่เฒ่า อย่างน้อยก็ทำให้พวกท่านภาคภูมิใจเมื่อได้คิดถึง สิ่งตอบแทนที่ว่าก็คือพวกความคาดหวังต่างๆ นี่แหละ ฉันไม่ได้จะบอกว่าเราไม่จำเป็นต้องรักหรือกตัญญูต่อกันนะ แต่จะบอกว่าครอบครัวมันไม่ได้มีแค่เรื่องความรัก มันยังมีอีกหลายอย่างเป็นส่วนประกอบ ส่วนหนึ่งก็คือความผูกพัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครก็ตามเมื่อวนเวียนมาพบเจอและใช้ชีวิตช่วงหนึ่งร่วมกันมันก็ต้องมีอยู่แล้ว กับแฟน กับเพื่อน กับครู กับสัตว์ กับสิ่งของก็เหมือนกัน
ส่วนตัวฉันไม่ค่อยชอบเวลาอ่านคำขวัญ คำกลอน หรือเรียงความวันพ่อวันแม่สักเท่าไร เพราะมันดูอวยพ่ออวยแม่ตัวเองเกินเหตุ คือมันไม่ผิดหรอก ถ้าท่านดีจริง แต่คนเรามันมีหลายด้านไง ฉันโชคดีที่มีพ่อแม่เป็นคนปอนๆ ทำผิดทำพลาด ล้มลุกคลุกคลานให้ฉันเห็นเป็นแบบอย่างมาตั้งแต่เด็ก จนฉันเรียนรู้ได้ว่าทุกคนต่างก็มีข้อบกพร่อง ถ้าเรายอมรับซึ่งกันและกันได้ ต่อไปมีอะไรเราก็จะเปิดใจคุยกันตรงๆ เข้าใจกันง่ายขึ้น เว้นช่องว่างให้กัน ไม่อึดอัดเกินไป ช่วยลดความคาดหวังที่มีต่อกัน แถมยังช่วยให้เรารู้จักประมาณตนอีกด้วย
คนที่น่าจะถูกรักมากที่สุดในโลกเห็นจะเป็นพระเจ้าของชาวคริสต์ ศาสนาที่เชื่อว่ามีคนนับถือมากที่สุดในโลก คุณรักพระเจ้า พระเจ้าก็รักคุณ แต่คำว่ารักมันนามธรรมมากเลยนะ รักจากคนที่เรามองเห็นอาจจะได้อะไรที่จับต้องได้ในทุกวัน เช่น ข้าวหนึ่งจาน หอมหนึ่งฟอด ช่อดอกไม้ หรืออะไรก็ตามที่ฝากเอาไว้ในกายเธอ แต่ความรักจากพระเจ้านี่มันสัมผัสได้ด้วยความรู้สึก เหมือนสิ่งที่เรามโนไปเองเลย เช่น การได้พบเจอเรื่องดีๆ มากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละวันเป็นความรักจากพระเจ้ารูปแบบหนึ่งรึเปล่า หรือมันเป็นผลของการกระทำของเราเมื่อวันก่อน และมันเป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญอยู่แล้ว ทุกอย่างจะมีคำอธิบายทางศาสนาเสมอ ไม่ว่าจะศาสนาใดก็ตาม มีความพยายามจะโยงให้สมเหตุสมผลที่สุด แต่มันไม่มีหรอกที่จะเจอแต่เรื่องดีๆ ทุกวัน พระคัมภีร์ถึงได้บอกให้อดทน เชื่อฟัง ทำตาม นมัสการพระเจ้า ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้รับความรอด ไม่ได้เป็นคนโปรดของพระเจ้า แล้วแบบนี้มันต่างจากการที่รุ่นพี่รับน้องโหดที่บังคับให้รักสถาบันยิ่งชีพ หรือโจรปล้นสวาทที่เอาปืนมาจ่อหัวแล้วบังคับให้อมนกเขาตรงไหน ในศาสนาอื่นถ้าสวดมนต์อยู่แล้วแต่ยังเจอเรื่องไม่ดีต้องทำอย่างไร? สะเดาะเคราะห์ แก้ปีชง เบญจเพส แล้วจะดีขึ้นจริงไหม? บนบานศาลกล่าวแล้วของหายจะได้คืน จะได้เข้าเรียนหรือเข้าทำงานในที่นั้นๆ รึเปล่า? อัลเลาะห์ได้อะไรจากการให้ชาวมุสลิมละหมาดวันละหลายครั้ง? พ่อแม่ได้อะไรจากการที่ลูกบวช? ฉันไม่ได้ลบหลู่นะ แค่อยากจะรู้ ขอคำตอบที่มากกว่าความสบายใจที่พิสูจน์ไม่ได้ ความเชื่อที่มองไม่เห็น พิธีกรรมที่ทำสืบต่อกันมาด้วยนะ
การมีความรักในสิ่งใดก็ตามมันไม่ผิด ถ้าไม่มากไม่น้อยเกินไปจนทำให้ใครเดือดร้อน อย่างการรักชาติ คุณจะมีอุดมการณ์ชาตินิยมฝังหัวถึงขั้นไหนก็ได้ แต่อย่าเอามาลงกับคนอื่นที่ไม่เห็นด้วย อาทิ การเขียนประวัติศาสตร์ในแบบเรียนที่บังคับใช้กับคนทั้งชาติซึ่งมีชุดความคิด ความเชื่อ อุดมการณ์แตกต่างกันออกไป ให้บิดเบือนไปจากความเป็นจริง ความภาคภูมิใจในชาติ เห็นจุดบกพร่องก็กล้ายอมรับและพร้อมจะแก้ไข กับการคลั่งชาติ ยกย่องไม่ลืมหูลืมตา มันไม่เหมือนกันนะ หรือแม้แต่การรักสถาบันมากไปจนใครก็แตะไม่ได้ เช่น ใครมาหยามอนุบาลหมีควายสยายผมช่างกรนของเราไม่ได้ ใครหมิ่นเจ้าต้องเอาให้มันตายคาคุก เป็นต้น ต่างคนต่างทรรศนะก็จริง แต่อย่างน้อยเราน่าจะเปิดโอกาสให้คนอื่นได้แสดงทรรศนะบ้าง รับฟังกันหน่อยก็ดี เหมือนที่หนังเรื่อง Hector and the Search for Happiness (สร้างจากหนังสือ Le voyage d’Hector ou la recherche du bonheur ปี 2002 ที่เขียนโดยนักจิตวิทยาชาวฝรั่งเศส François Lelord) ว่าไว้ "การรับฟังคือความรัก" (Listening is loving)
สำคัญที่สุดคือรักตัวเอง ไม่ใช่เห็นแก่ตัวนะ (แต่คนเราจะเห็นแก่ตัวบ้างไม่ได้เหรอ หรือกลัวคำว่าโกง กลัวคำว่าคอรัปชั่นกันไปหมด ถ้าบางเรื่องมันจำเป็นจริงๆ เป็นสิ่งที่ใครก็ช่วยไม่ได้ล่ะ จะเห็นแก่ตัวบ้างได้รึเปล่า?) คนหล่อคนสวยหลายรายมีตรงนี้ค่อนข้างเยอะจนล้น ก็ที่เราเห็นว่าหล่อแล้วหยิ่งสวยแล้วเชิดไง เขาหยิ่งเขาเชิดกันไปทำไมนะ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ตัวเองเหรอ หรืออยากสแกนแต่คนประเภทที่ดีแต่เปลือกเหมือนกันเข้าหากันอย่างเดียว บางคนนี่เห็นแล้วอยากถามด้วยซ้ำว่าเพื่อนแท้น่ะมีบ้างไหม
ความรักอยู่รอบตัวเราจริงๆ แค่เผื่อแผ่กันบ้างในระดับที่พอดี แค่นั้นก็น่าจะดีพอแล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in