สงครามฆ่าความฝันไม่ได้ คำตอบในใจเด็กผู้ลี้ภัย'อยากเป็นอะไรเมื่อโตขึ้น'

ย้อนกลับไปครั้งที่เรายังเด็ก (โอเค บางคนอาจย้อนไกลหน่อย ก็พยายามนึกหน่อยเนอะ) วัยเด็กไปช่วงที่ความฝันกำลังเติบโต ช่วงวัยที่ใคร ๆ ก็เชื่อว่าอะไรก็เป็นไปได้ เมื่อมีคำถามว่า 'โตขึ้นอยากเป็นอะไร' เราสามารถจินตนาการถึงชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของตัวเองได้สารพัดแบบ โดยเฉพาะนึกภาพเอาจากผู้ใหญ่ที่เราเห็นรอบตัว เราอยากเป็นครูเพราะเราเห็นคุณครูในฐานะผู้ให้ความรู้ เราอยากเป็นนักข่าวเพราะเราเห็นพี่นักข่าวสุดเท่ในทีวี หรือเราอาจจะอยากเป็นนายก ก็ยังได้ ...

ในขณะที่ชีวิตของเด็กผู้ลี้ภัยกลับต่างออกไป พวกเขาและเธอไม่ได้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ชวนให้ความฝัน ความหวัง และชวนให้จินตนาการเติบโต แต่ใครจะไปเชื่อว่าแม้แต่สงครามก็ไม่อาจขวางกั้นความฝันของพวกเธอได้ 'โตขึ้นอยากเป็นอะไร' ลองมาฟังคำตอบจากเด็กหญิงผู้ลี้ภัยที่จะทำให้เราอิ่มใจไปพร้อม ๆ กัน


4.6 ล้าน คือตัวเลขมหาศาลที่บอกถึงจำนวนผู้ลี้ภัยจากประเทศซีเรีย ที่องค์การสหประชาชาติบันทึกไว้นับตั้งแต่มีสงครามเกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่ 2.4 ล้านคือจำนวนผู้ลี้ภัยที่มีอายุต่ำกว่า 17 ปี (ผู้ลี้ภัยเกินครึ่งเป็นเด็กเหรอเนี่ย)(น่าเศร้าจัง)

Meredith Hutchison ช่างภาพจาก International Rescue Committee ถูกส่งตัวไปยังค่ายผู้ลี้ภัยในจอร์แดนเพื่อพูดคุยกับเด็กหญิงผู้ลี้ภัย พร้อมถ่ายภาพพวกเธอในชุดอาชีพต่าง ๆ ที่พวกเธออยากเป็นเมื่อโตขึ้น แต่ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายที่จะทำให้เราอิ่มใจ เพราะข้อความสั้น ๆ ที่พวกเธอเล่าถึงสิ่งที่เธอฝันต่างหากที่ทำให้เราเห็นความหวังในตัวเด็กผู้ลี้ภัยเหล่านี้

   Fatima อายุ 12 ปี ฝันอยากเป็นครู



"ภาพนี้ คือตัวฉันในห้วงเวลาเช้าตรู่ ฉันยืนอยู่ในห้องเรียนเพื่อเฝ้ารอการมาถึงของนักเรียนของฉัน ฉันสอนเด็ก ๆ ให้อ่านและเขียนภาษาอาหรับ ฉันเป็นครูที่ใจดีและเต็มไปด้วยความรัก และแน่นอนเป็นครูที่สมบูรณ์แบบที่สุดด้วย" 


Muntaha อายุ 12 ฝันอยากเป็นช่างภาพที่บอกให้คนรู้ว่าโลกนี้ยังมีความรักและความหวัง

"ฉันชอบบันทึกภาพผู้คนตั้งแต่ฉันยังเด็กแล้วล่ะ ฉันรักที่จะไปในสถานที่ต่าง ๆ ไปตามดูเหตุการณ์อันหลากหลายที่เกิดขึ้นจริง มันก็มีทั้งเหตุการณ์ที่ดีและไม่ดีนั่นแหละ แต่ตอนนี้ฉันเป็นช่างภาพมืออาชีพแล้ว ฉันใช้ภาพถ่ายของฉันบอกคนอื่นว่า โลกยังมีความหวัง ฉันอยากให้ภาพถ่ายของฉันบอกทุกคนว่าโลกนี้มันยังมีความรักและความเข้าใจอยู่จริง"

(นี่สินะที่เขาบอกว่าสงครามฆ่าความฝันและความหวังของบางคนไม่ได้)

Fatima อายุ 16 ปี ฝันอยากเป็นสถาปนิกที่สร้างบ้านแห่งความสุขของผู้คน



"ฉันไม่เคยหยุดฝันถึงการเป็นสถาปนิกเลย ใช่ ตอนที่ฉันยังเด็กใคร ๆ ก็พากันพูดว่าผู้หญิงเป็นสถาปนิกไม่ได้หรอกนะ พวกเขาพยายามโน้มน้าวให้ฉันเลือกอาชีพที่ดูเป็นอาชีพของผู้หญิงมากกว่านี้ แต่ฉันชอบความฝันของฉัน ฉันอยากสร้างบ้านที่งดงามที่สุดสำหรับครอบครัว อยากสร้างตึกที่ทำให้ผู้คนมีความสุข ตอนนี้ฉันทำฝันฉันสำเร็จแล้วนะ และฉันหวังว่าฉันจะเป็นต้นแบบให้เด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ ฉันอยากประกาศให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาต้องไม่ทิ้งความฝันของตัวเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และไม่ว่าใครจะพูดถึงความฝันของพวกเขาว่ายังไง

('พวกเขาต้องไม่ทิ้งความฝันของตัวเอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น' โอ๊ยยย ประโยคนี้ผู้ใหญ่หลาย ๆ คนตายไปเลยจ้ะ)


Haja อายุ 12 ปี ฝันอยากเป็นนักบินอวกาศหญิงเพื่อบอกเด็กหญิงคนอื่นว่าอย่ากลัว


"วินาทีที่ฉันได้เรียนเรื่องระบบสุริยจักรวาลตอนประถม ฉันตกหลุมรักอวกาศและอยากเป็นนักบินอวกาศทันที ฉันจินตนาการถึงตอนที่ฉันล่องลอยอยู่บนฟ้าเพื่อค้นหาสิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอด ฉันว่าฉันรักการเป็นนักบินอวกาศเพราะมันทำให้ฉันได้เก็นโลกในมุมที่ไม่เคยเห็น แต่ในสังคมที่ฉันอยู่มันไม่ง่ายเลยนะ ใคร ๆ เอาแต่บอกว่า เด็กผู้หญิงเป็นนักบินอวกาศไม่ได้ แต่เห็นมั้ยล่ะ ตอนนี้ฉันเป็นนักบินอวกาศได้แล้ว ฉันอยากตะโกนบอกเด็กผู้หญิงทุกคนว่าอย่ากลัว อย่ากลัวที่จะเดินไปบอกพ่อแม่หรือใคร ๆ ว่าเราอยากเป็นอะไร ที่สำคัญที่สุดจงมั่นใจอยู่เสมอว่าอะไรกันแน่ที่เราอยากเป็นในชีวิตนี้" 

('จงมั่นใจอยู่เสมอว่าอะไรกันแน่ที่เราอยากเป็นในชีวิตนี้' หูยย ทำไมอ่านแล้วน้ำตาคลอเบา ๆ )

Amani อายุ 10 ปี ฝันอยากเป็นนักบินพาผู้คนออกเดินทางและเห็นโลกในมุมที่ไม่เคยเห็น



"ฉันรักเครื่องบินก่อนฉันจะมีโอกาสได้ขึ้นเครื่องบินซะอีก ฉันรู้มาตลอดว่าฉันอยากเป็นนักบิน การได้บินอยู่บนฟ้ามันคือการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นน่าดูเลยล่ะ ถึงตอนฉันยังเด็กพี่ชายชอบพูดกรอกหูฉันซ้ำ ๆ ว่าผู้หญิงเป็นนักบินไม่ได้ แต่สุดท้ายแล้วฉันรู้ว่าฉันต้องการอะไร พอเรียนจบฉันเลยมาเรียนการบินต่อ ดูสิ ตอนนี้ฉันอยู่ในฝันที่เป็นจริงแล้วนะ ไม่ใช่แค่นั้น ฉันยังพาผู้คนออกเดินทาง ออกไปเห็น ไปค้นพบโลกทั้งใบที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยล่ะ"







ความฝันและความหวังของพวกเธอไม่ได้แค่แสดงออกมาผ่านสีหน้า แววตา หรือชุดที่สวมใส่เพียงอย่างเดียว คำพูด ทัศนคติและความคิดของพวกเธอเป็นอีกสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจชัดว่าเด็กหญิงผู้ลี้ภัยเหล่านี้มั่นคงและเห็นภาพตัวเองในอนาคตชัดเจนเพียงไร

ภาพถ่ายพวกนี้เด็ก ๆ จะได้เป็นของตัวเองชุดหนึ่งเพื่อเอาไว้บอกพ่อแม่ บอกตัวเองว่าครั้งหนึ่งนี่คือความฝันของพวกเขาได้เติบโตอย่างงดงาม ที่แม้แต่สภาวะความรุนแรงของสงครามที่เกิดขึ้นก็ไม่อาจทำลายมันลงได้


ที่มา ภาพ: Meredith Hutchison