อย่างที่รู้กันว่าในกรุงเทพฯ อันแสนจะเจริญและอยู่เวรี่สบายของเรานี้ มีการคมนาคมที่ดีและพรีเมียมติดอันดับโลก (ประชดทั้งสิ้น) รถเมล์ก็แสนสะดวกสบาย (ประชดอีก) ยังไม่รวมไปถึงรถตู้ที่วิ่งได้อย่างมีจริยธรรมและจรรยาบรรณ (ยังคง...)
ด้วยปัญหาทั้งหมดทั้งมวล ทางเลือกในการสัญจรของหลายๆ คนที่ไม่มีรถส่วนตัว จึงไปตกที่แท๊กซี่ ซึ่งก็มีปัญหาเป็นของตัวเองอีกเซ็ต อันเป็นที่รู้กันถ้วนทั่ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหา #การส่งรถ #การเติมแก๊ซ #พี่แท๊กซี่ชวนคุยเรื่องการเมืองทั้งๆที่หนูจะฟังเพลงเทย์เลอร์สวิฟท์ให้สบายใจ #พี่แท๊กซี่รถเหม็น หรืออื่นๆ
เพราะแท๊กซี่มีปัญหาแบบนี้ เมื่อมีแอพฯ เรียกแท๊กซี่ และเรียกรถส่วนตัวอื่นๆ เข้ามาทำการตลาดในไทย จึงได้รับการตอบรับที่ดี ตอนนี้แอพฯ ที่มาแรงและเป็นผู้นำตลาดสองตัวคือ UBER และ GrabTaxi (ซึ่งในที่นี้รวมไปถึง Grabcar และอื่นๆ ในเครือด้วย) มินิมอร์จึงถือโอกาสนี้มารีวิวแอพฯ เรียกรถสองตัวในด้านต่างๆ ห้าด้านคือ
การใช้แอพฯ - จำนวนรถ (เรียกง่าย หรือเรียกยาก มีรถให้เรียกเยอะไหม) - คนขับ และบริการ - ราคา - และบริการเสริม
โดยเราได้สัมภาษณ์ผู้ใช้บริการทั้งสองแอพฯ บ่อยครั้ง (มากกว่า 8 ครั้งขึ้นไป) โดยผู้ให้สัมภาษณ์มีอาชีพหลากหลายตั้งแต่โปรแกรมเมอร์ นักเขียน จนถึงบรรณาธิการที่ต้องกลับบ้านดึกบ่อยๆ แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เป็นคะแนนในห้ายก
บทวิเคราะห์นี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากทั้ง UBER และ GRABTAXI ใดๆ #แต่ถ้าให้สปอนเซอร์เราเราก็เอา
ไปพบกับผู้ท้าชิงฝ่ายดำ #UBER
UBER เป็นแอพฯ จากสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันดำเนินการใน 58 ประเทศ รวม 300 เมือง แอดมินมีประสบการณ์เคยใช้ UBER ในต่างประเทศ ก็แฮปปี้ดี ไม่มีปัญหาอะไร ถือเป็นผู้ท้าชิงที่สตรองมาก
ผู้ท้าชิงฝ่ายนำ้เงิน #GRABTAXI
GRABTAXI เป็นแอพจากมาเลเซีย ปัจจุบันดำเนินการในหกประเทศคือ มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ตอนแรกๆ เป็นแอพสำหรับเรียกแท๊กซี่อย่างเดียวตามชื่อ (อย่างที่รู้ว่าหลายคนเรียกว่า #กราบแท๊กซี่ เพราะแท๊กซี่ไทยนี่เรียกไปไหนก็ไปส่งรถ) แต่หลังๆ ให้บริการด้านอื่นเพิ่มเติม เช่น มีรถส่วนตัวของคนทั่วไป (เหมือน UBER) หรือมี GrabBike เรียกรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งเหมาะกับสภาพการจราจรแบบไทยๆ มาก
ยกที่หนึ่ง ความง่ายของการใช้แอพ
สำหรับการใช้แอพ เสียงเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า UBER มีแอพฯ ที่ใช้งานง่ายกว่า เพราะไม่ต้องบอกจุดหมายปลายทาง สามารถกดเรียกได้ทันที ไม่เหมือน GrabTaxi ที่ต้องบอกจุดหมายของเรา จุดหมายปลายทาง และต้องกดหลายขั้นตอน (โดยเฉพาะความเห็นจากฝั่งคนทำอาชีพโปรแกรมเมอร์ที่จะรู้สึกเป็นพิเศษว่า UBER ใช้ง่ายกว่ามาก)
ดังนั้นในยกนี้ UBER ชนะไปอย่างขาดลอย
UBER 1 - 0 GRABTAXI
ในยกแรก UBER เปิดหมัดชิงอัพเพอร์คัทแกร็บก่อนจนแกร็บจุก!
ยกที่สอง จำนวนรถ (เรียกแล้วมีรถมาไหม)
เนื่องจากสำรวจในบริเวณที่ไม่ใช่ศูนย์กลางเมือง (อย่างสยาม) เสียงส่วนใหญ่จึงตอบว่า GrabTaxi มีจำนวนรถมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด (ทั้งนี้เพราะ GrabTaxi มีให้เลือกหลายออปชั่นด้วย ทั้ง GrabTaxi หรือ GrabCar) แต่ปัญหาที่เจอคือ มีรถแสดงในแอพฯ เยอะก็จริง แต่ว่าพอเรียกแล้วไม่ค่อยมากันเท่าไหร่ อาจจะเพราะระบบของ GrabTaxi นั้นให้รถสามารถเลือกรับผู้โดยสารได้ด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องตัดสินใจ เสียงส่วนใหญ่ก็ยังให้ GrabTaxi ชนะไปในยกนี้อยู่ดี
UBER 1 - 1 GRABTAXI
Grabtaxi โกรธจัดปล่อยพลังสามหมัด #รัวรัว
ยกที่สาม คนขับและบริการ
ค่อนข้างเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า คนขับของ UBER ดูจะมีบริการที่ดีกว่า GrabTaxi อย่างเห็นได้ชัด ถึงผู้สัมภาษณ์พยายามถามแล้วว่าถ้าเปรียบเทียบ UBER กับ GrabCar ล่ะ เสียงส่วนใหญ่ก็ยังตอบว่า UBER บริการดีกว่า หลายๆ คน บอกว่า เพราะระบบนำทางของ UBER ในแอพมันดีกว่า ทำให้คนขับไม่ต้องมาคอยพะวงถามทางกับผู้โดยสารด้วย
UBER 2 - 1 GRABTAXI
UBER รวบรวมพลังด้านบริการชนะไปอีกยก!
ยกที่สี่ ราคา
นี่เป็นปัจจัยที่หลายคนเห็นว่าสำคัญที่สุด เราจึงไปขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการคำนวณ ที่มีดีกรีเป็นถึงแชมป์ไมโครซอฟท์เอ็กเซลแห่งประเทศไทย มาช่วยพล็อตกราฟเพื่อคิดราคาให้ดูกันจะๆ ว่าแอพไหนถูกกว่าแอพไหน โดยเราเปรียบเทียบหลายระดับ ทั้ง GrabTaxi, GrabCar, GrabCarPremium, UBER X และ UBER Black
ทั้งนี้ไม่ได้คิดรวมราคาแบบ Surge Pricing ของ UBER และราคาตัวแปรรถติดของ GrabCar (ที่เป็นข้อมูลที่ไม่เปิดเผยให้เห็นได้โดยง่าย)
กราฟแนวตั้งแสดงราคา แนวนอนแสดงระยะทางเป็นกิโลเมตรจ้ะ
ยามรถไม่ติด
ยามรถติด
โดยสรุปจะเห็นว่า UBER Black แพงกว่า Grab Car Premium ส่วนสำหรับรถราคาประหยัดนั้น ตอนรถไม่ติด UBER X กับ GrabTaxi จะมีราคาเท่ากัน (ดังนั้นจริงๆ ควรเลือก UBER X เพราะได้นั่งรถที่ดีกว่า) แต่ตอนรถติด GrabCar จะถูกที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการคำนวณให้คำแนะนำกับมินิมอร์แบบรวบยอดดังนี้
- ตอนรถติด ให้เรียก GrabCar จะมีราคาถูกที่สุด
- ตอนรถไม่ติด ให้เรียก UberX หรือ GrabTaxi จะมีราคาถูกที่สุด (ต่างกันไม่เกิน 10 บาท)
ในยกนี้จึงเสมอกันไป
UBER 2 - 1 GRABTAXI
ทั้งสองเสมอกันไปในยกที่สี่
ยกที่ห้า บริการเสริม
สำหรับยกนี้เราลองถามจากหลายปัจจัย เช่น บริการน้ำดื่มบน UBER หรือบริการที่ GrabTaxi มีให้เลือกรถหลายแบบ (ทั้ง Taxi, รถทั่วไป และมอเตอร์ไซค์) พบว่า คนส่วนใหญ่ไม่แคร์กับบริการอย่างน้ำดื่มบนรถ #บางส่วนบอกว่ากลัวใส่ยาพิษ #ขี้นอยด์นะเรา แต่สำหรับบริการอย่าง GrabBike ที่ตอนนี้มีโปรโมชั่นนั่ง 35 บาท เมื่อใส่โค้ด นี่ได้ใจคนไปมากๆ
ดังนั้นยกนี้ชัยชนะจึงเป็นของ GrabTaxi
UBER 2 - 2 GRABTAXI
GrabTaxi รวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายชก UBER จนแทบน็อก!
ต่อเวลา
ตอนแรกใจจริงจะให้เสมอกันไปทั้ง GrabTaxi และ UBER แต่พอสอบถามหลายๆ คนแล้วก็รู้สึกว่าเป็นข้อสรุปที่ #แย่มาก ทางมินิมอร์จึงลองตั้งคำถามเพิ่มเติม ว่า ถ้าอยู่ริมถนน ลำดับที่จะเรียกรถโดยสารจากแอพ จะเป็นอย่างไร พบว่าทุกคนตอบคล้ายกันคือจะเรียกตามลำดับนี้
UBER -> GRABCAR -> GRABTAXI
เมื่อถามว่าทำไม หลายคนตอบว่า ปัจจัยชี้ขาดคือ UBER นั้นเป็นระบบที่ 'บังคับ' ให้รถต้องรับผู้โดยสารที่อยู่ใกล้ที่สุดโดยอัตโนมัติ ไม่สามารถเลือกรับผู้โดยสารได้ ทำให้หลายๆ คนรู้สึกว่า UBER ชัวร์กว่า คือไม่ต้องมาง้อคนขับรถอีกที และปัจจัยอีกอย่างคือใน UBER เราไม่จำเป็นต้องใส่จุดหมายปลายทาง จึงรู้สึกว่าอิสระในการเดินทางมากกว่าเยอะ
โดยสรุปแล้ว ศึกวันทรงชัยครั้งนี้ UBER จึงชนะไปในยกต่อเวลานี้เอง!
UBER ชนะในยกต่อเวลา!
แน่นอนว่าหลายคนอาจจะมีประสบการณ์ที่แตกต่างออกไปในการใช้ GrabTaxi และ UBER แต่นี่ก็ถือเป็นเสียงสะท้อนหนึ่งจากกลุ่มคนใช้ทั้งสองแอพพลิเคชั่นอย่างจริงจังนะจ๊ะ :)
เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร ทิ้งคอมเม้นต์ไว้ได้ด้านล่างเลย :-D ไม่แน่นะ เสียงหนึ่งของคุณอาจนำไปสู่การปรับปรุงคุณภาพของทั้งสองแอพฯ ก็เป็นได้!