Dudesweet กลุ่มจัดงานปาร์ตี้ ที่เปลี่ยนให้ปาร์ตี้กลายเป็นกระจกเงาสะท้อนยุคสมัย

เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ 13 ปีก่อน...
ตอนนั้น โน้ตพงษ์สรวง คุณประสพ เพิ่งเป็นบัณฑิตมาดใหม่จากคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากรชีวิตของเขาก็เหมือนคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ที่ชอบพบปะผู้คน นั่งลงยกแก้วสังสรรค์ หรือออกไปเต้นรำปลดปล่อยพลังของหนุ่มสาวอยู่บนฟลอร์
แต่ความหลงใหลในบรรยากาศของการสังสรรค์ของโน้ตก็ไปไกลกว่าคนทั่วไปอยู่สักหน่อย เขาชอบดนตรี ชอบถึงขั้นคลั่งไคล้ แต่ดนตรีที่เปิดตามร้านส่วนใหญ่ ก็กลับไม่ตรงกับจริตของเขาและผองเพื่อนเท่าไรนัก 
เราชอบเพลงที่สามารถแหกปากร้องตะโกนได้
ความอึดอัดเหล่านี้เองคือจุดเริ่มต้นให้โน้ตรวมตัวกับกลุ่มเพื่อนเพื่อจัดงานปาร์ตี้ของตัวเองในนาม Dudesweet ที่หลังจากได้ออกกระจายความเมามัน แบ่งปันรสนิยมทางดนตรี แฟชั่น และศิลปะผ่านรูปแบบ Club Night Party ครั้งแรกเมื่อปี 2002 จนถึงวันนี้ Dudesweet ก็ได้พาตัวเองมายืนแถวหน้าวงการปาร์ตี้ในยุคสมัยของเราไปโดยปริยาย
ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะทำมาถึง 13 ปี กะจำทำแค่คืนเดียวเลิก หลักๆ คือตอนนั้นไม่มีเงินกินเหล้า เพราะเพิ่งจบใหม่ๆ แล้วบ้านที่ผมเช่าอยู่กับเพื่อนจะเป็นบ้านที่สุดสัปดาห์จะมีเพื่อนมาแฮงค์เอาต์กันครั้งละประมาณ 20 คน เราเลยมานั่งคิดว่า ทำยังไงถึงจะสามารถกินเหล้ากันโดยไม่ต้องกังวล และได้ฟังเพลงที่เราอยากฟังไปด้วยได้...”

Hey! Dude
พอคิดจะทำปาร์ตี้ครั้งแรก เราดำเนินการทุกอย่างไปหมดแล้ว แต่ดันลืมไปว่า ปาร์ตี้ยังไม่มีชื่อ แล้วเผอิญในบ้านที่ผมอยู่ มันมีวิดีโอหนังอยู่ม้วนเดียวคือ Dude, where’s my car (2000) ซึ่งตอนคิดชื่อ เราเปิดหนังเรื่องนี้อยู่พอดี คำว่า Dudesweet เป็นรอยสักของตัวละครในหนัง เราก็เลยเอาชื่อนี้มาเลยง่ายๆ แบบนั้น"
แต่ในโลกนี้ ก็ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดที่ได้มาง่ายๆ จริงๆ อย่างที่โน้ตว่า...
เพราะมหากาพย์แห่งงานพบปะสังสรรค์นาม Dudesweetที่เริ่มจัดครั้งแรก ร้านอาหารร้างเล็กๆ ย่านถนนข้าวสาร กลับมีคนมาร่วมงานเพียง 80 คน จากรับรู้ข่าวสารผ่านใบปลิวทำมือขาว-ดำที่ผลิตจากเครื่องถ่ายเอกสารเท่านั้น 
งานนั้นไม่คุ้มนะ ตอนแรกเราลงขันกันคนละประมาณพันห้า แต่จบงานขาดทุนไปแปดพัน (หัวเราะ) เพราะคนเก็บตังค์ค่าเข้างานคือเพื่อนๆ กัน แล้วคนมางานเขาจะมากันประมาณสี่ทุ่มใช่ไหม แต่ไอ้เพื่อนเรามันเมาตั้งแต่สามทุ่มครึ่งแล้ว ก็เลยไม่เคยได้ตังค์—Dudesweet เพิ่งมาได้เงินเมื่อปีที่สี่ที่เราเริ่มจะมีสติแล้วนี่เอง
ต่อเมื่อเราถามว่า แล้วอะไรที่ทำให้ Dudesweet ไม่ล้มหายตายจากไปในภาวะที่ขาดทุนยาวนานถึงสี่ปี จนยืนยงมาได้ถึงตอนนี้ โน้ตตอบสั้นๆ แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยแววตาจริงจังว่า "ก็มันสนุก
ส่วน แอร์อรศิริ ประวัติยากูร หัวหอกคนสำคัญอีกคนของ Dudesweet ผู้จัดวางตัวเองลงในตำแหน่ง housekeeperหรือแปลตรงตัวว่า 'แม่บ้าน' ของทีม กล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า "เพราะความอึด ความไม่ยึดติด มิตรภาพ และความเอาแต่ใจตัวเอง"
ทั้งหมดที่แอร์กล่าวมาค่อนข้างเมกเซนส์ แต่กับ 'ความเอาแต่ใจตัวเอง' นั้น เรายังค่อนข้างสงสัย...

Be Self-willed
แล้วเราก็ได้รู้ว่า ความเอาแต่ใจตัวเองนั่นล่ะที่เป็น 'หัวใจหลัก' ของ Dudesweet ที่ทำให้ Dudesweet เป็น Dudesweet ได้จนถึงทุกวัน

เราต้องเปิดเพลงที่ตัวเองชอบสิ" โน้ตยืนยัน "เมื่อไรก็ตามที่ฝืนไปเปิดเพลงที่เป็นกระแส มันจะพังทันที คือคนมาปาร์ตี้ที่เราจัดเพราะเขาชอบเพลงที่เราเปิด ดังนั้นถ้าเราไปทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง มันก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่คนจะต้องมางานเรา สิ่งสำคัญของคนจัดงานปาร์ตี้คือการทำซ้ำๆ เพราะการเริ่มต้นจากการไม่มีใครรู้จัก แค่ทำครั้งสองครั้ง มันไม่มีคนมาหรอก"

ส่วนขั้นตอนการเตรียมงานปาร์ตี้ในแบบ Dudesweet นั้น โน้ตบอกว่า "ขั้นแรกคือการคิดธีม เพื่อให้เราสามารถสื่อสารออกไปได้ว่าเราต้องการจะพูดเรื่องอะไร แล้วค่อยลงดีเทลว่า เราจะตกแต่งสถานที่อย่างไร ที่สำคัญคือพวก Key Visual เช่น กราฟิกดีไซน์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ Dudesweet มาตลอด เพราะคนจะจำเราได้จากสิ่งเหล่านี้ อย่างบางคนไม่เคยมางานด้วยซ้ำ แต่จำเราได้จากกราฟฟิก นอกจากนั้นก็จะเป็นเรื่องของการเลือกดีเจ เลือกวงดนตรี แล้วถึงจะเป็นเรื่องของการประชาสัมพันธ์ให้คนมางาน"
ความมี 'เอกลักษณ์เป็นของตัวเอง' จึงทำให้ Dudesweet ผงาดง้ำในวงการปาร์ตี้ไทยอย่างยาวนาน จนกลายเป็นธุรกิจที่สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ด้วยตัวของมันเองจากแขกเพียง 80 คนในงานแรก เพิ่มขึ้นเป็นหลักร้อย หลักพัน รวมถึงได้ร่วมจัดอีเวนต์ให้แก่บริษัทและแบรนด์ชั้นนำมากมาย แต่แม้กระนั้น ผู้ปลุกปั้น Dudesweet ขึ้นมา อย่างโน้ตก็บอกว่า "ผมชอบขั้นตอนก่อนงานเกิดมากว่าวันงานนะ เมื่อก่อนเราจัดปาร์ตี้เพื่อให้ตัวเองสนุกใช่ไหม แต่ตอนนี้ผมจะสนุกกับการควบคุมสิ่งต่างๆ ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ อย่างสายไฟขาด ไปจนถึงมีใครอ้วกในห้องน้ำบ้างหรือเปล่ามากกว่าการพาตัวเองออกไปเต้นระบำแล้ว"

Mirror of Transformation
นอกจากนั้นด้วยองค์ประกอบทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาข้างต้น ดูเหมือน Dudesweet จะแสดงให้เราเห็นว่า พื้นที่ปาร์ตี้ที่พวกเขารังสรรค์ขึ้น ก็ไม่ต่างอะไรกับกระจกเงาที่สะท้อนวัฒนธรรมของยุคสมัยออกมาผ่านการแต่งตัวของคนร่วมงาน รสนิยมในการเปิดดนตรี และการเป็นพื้นที่แจ้งเกิดให้วงดนตรีหน้าใหม่ (Slur, sqweez animal, Apartment Khunpa ล้วนผ่าน Dudesweet มาทั้งสิ้น

"ทุกอย่างในโลกนี้เป็นผลิตภัณฑ์ของช่วงเวลานั้น เราอาจจะโชคดีที่เข้าใจและขยันศึกษาการเคลื่อนไหวของวัฒนธรรม" แม่บ้านแห่ง Dudesweet อย่างแอร์แสดงความคิดเห็น

ใช่ เมื่อไหร่ที่จับเทรนด์ต่างๆ ไว้ให้มั่นไม่ได้ คนทำงานปาร์ตี้ที่สวมหมวกอีกใบเป็น Trendsetter ก็คงไม่ต่างอะไรกับคนที่ถูกสตัฟฟ์ไว้ในคืนวันเก่าก่อน ผู้วิ่งตามรถไฟแห่งยุคสมัยไม่ทัน ดังนั้น Dudesweet จึงพยายามเท่าทันเรื่องพวกนี้เสมอ เพื่อเปลี่ยนตัวเองให้กลายสมุดบันทึกความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงไปของสังคม

เราทำมาเกินทศวรรษแล้ว มันเลยทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงเยอะมากโน้ตว่าคือใครอยากศึกษาเรื่องแฟชั่นทางเลือก ถ้าไปเปิดรูปเก่าๆ ของ Dudesweetจะเห็นเลยว่า ผู้หญิงเมื่อก่อนแต่งหน้ากันบางมาก ส่วนผู้ชายตอนนั้นก็ยังไม่มีใครมีเคราหรอกนะ (หัวเราะ)” 


Party for Life 
สรุปแบบรวบรัดคงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า ปาร์ตี้คือวัฒนธรรมร่วมหนึ่งที่ยืนยงที่สุดของมนุษยชาติ เพราะเมื่อมนุษย์เป็นสัตว์สังคมและโหยหาการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นอยู่เสมอ การพาตัวเองไปพบปะเพื่อนฝูงจึงน่าจะอยู่ในดีเอ็นของเรามาตั้งแต่เกิด

ปาร์ตี้กับมนุษย์เรามันเป็นของคู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว อย่างเต้นรอบกองไฟ บูชาแพะ แกะ นี่ก็ใช่ ปาร์ตี้มันคือการสื่อสารรูปแบบหนึ่ง เรามาสถานที่นี้เพื่ออยากให้คนรู้ว่าเราเป็นคนแบบนี้ เราแต่งตัวหรือฟังเพลงแบบนี้เพื่อประกาศว่าเรามีรสนิยมแบบนี้" โน้ตว่า

"มันทำให้เราได้เข้าใจโลกผ่านเรื่องราวที่คนอื่นมองว่าไร้สาระ ทำให้เรามีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดกับคนอื่น" แอร์เสริม
  แต่ในแง่ส่วนตัว เราก็อดสงสัยไม่ได้ว่า พวกเขาจะรู้สึกแบบไหนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้วัฒนธรรมปาร์ตี้แบบ Club Night ซึ่งเมื่อ 13 ปีก่อนแทบไม่เคยปรากฏมาก่อนในเมืองไทย กลายเป็นวัฒนธรรมร่วมสมัยที่คนจำนวนมากให้ความนิยม
ถ้าเอาในแง่ส่วนตัวเลย Dudesweetเปลี่ยนชีวิตผมไปเหมือนกัน เราไม่เคยคิดเลยว่า ปารตี้อันเดอร์กราวน์ของเด็กจบใหม่ในวันนั้น พอมาถึงวันนี้ จะมีโอกาสได้ไปจัดให้งานกาลาดินเนอร์ที่โรงแรมโอเรียนเต็ล แล้วมีไอโซมากินข้าวกันมากมาย (หัวเราะ)”
ต่อเมื่อถูกถามว่า เคยมีบางแวบไหม ที่รู้สึกโหยหาวันชื่นคืนสุขเก่าๆ ในตอนที่ยังมีคนมางานแค่ 80 คน โน้ตคิดนิดหนึ่งก่อนตอบว่า
มันก็มีภาพวูบๆ เข้ามาบ้าง แต่ผมไม่ค่อยมองข้างหลังเท่าไหร่ ยิ่งคิดย้อนหลังไปถึงความสำเร็จเก่าๆ มันก็คงไม่ไปไหนสักที ตอนนี้คิดแค่ว่าเรายังไม่ได้ทำอะไร และสามารถทำอะไรได้บ้างดีกว่า"
ส่วนแอร์เล่าว่า "ตั้งแต่สงกรานต์ปีนี้ ความอยากไปปาร์ตี้ลดลงเยอะมาก ที่ผ่านมาอย่างน้อยออกอาทิตย์ละสองวัน มีการเบี้ยวนัดสังสรรค์บ่อยขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะร่างกายเริ่มไม่สู้ อีกส่วนคืออยากจะลองใช้ชีวิตอีกแบบดูบ้าง คนเราทำอะไรซ้ำๆ มานานมันก็มีเบื่อตามปกติ
อย่างแฟน Dudesweet ยุคแรกๆ บางคนก็ยังมาอยู่นะ แต่เขาเปลี่ยนจากเต้นอยู่บนฟลอร์ มานั่งกันหมดแล้วโน้ตกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ
นั่นล่ะ เมื่อก้าวไปถึงจุดหนึ่ง บางครั้งเราก็คงอยากหวนคืนสู่สามัญ และโน้ตก็บอกว่า องค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ในงานปาร์ตี้ของเขานั้น แท้จริงแล้วก็แค่เรื่องง่ายๆ อย่างเพื่อนบ้าๆ กระเทยเมาๆ และเบียร์ปฏิเสธไม่ได้นะว่า สุรามันทำให้เกิดความใกล้ชิด เราเชื่อว่า บรรยากาศสร้างสรรค์เกิดจากบรรยากาศที่เป็นกันเอง