โถ...ทำไมช่างอำมหิต ปฏิกิริยาเมื่อดาราต้องอ่านทวีตร้ายร้ายที่...เฮ้ย พูดถึงเรานี่! - Read Mean Tweets



ในชีวิตปกติธรรมดา ถ้าไม่ได้เป็นคนเถื่อนในเลเวลเพิ่งพ้นจากยุคหินมา คงน้อยคนที่จะกล้าเดินไปด่าใครหยาบๆ คายๆ หรือแซะคนไม่รู้จักแรงๆ ต่อหน้า (ถึงจะอยากทำก็เถอะ) ส่วนหนึ่งก็อาจจะเพราะเรากลัวโดนต่อยจมูกกลับมาหรืออาจจะเพราะว่าเราก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นพฤติกรรมที่แย่และไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมซักเท่าไรหรอก 

แต่ถ้าทั้งหมดนี้ทำได้โดยที่เราก็ปลอดภัยหายห่วงอยู่หลังจอคอมล่ะ แถมดีไม่ดีก็ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นใครมาจากไหนซะด้วยนะ ถ้าเราทำได้...เราจะทำมั้ย? แล้วถ้าเราทำมันจะส่งผลเสียอะไรต่อเราปะเนี่ย ลองมาดูตัวอย่างความร้ายที่คนแปลกหน้าทำกับคนอื่น แล้วลองมาพิจารณาตัวเราเองกันว่าเคยทำมั้ยน้า เราเคยวิจารณ์คนอื่นแบบไม่แคร์ความรู้สึกเขาเพราะมัน! แต่อีกวันน้ำตาซึมเพราะโดนเองบ้าง...เคยรึเปล่าาาา ปะ! ไปดูกัน


Read Mean Tweets เป็นช่วงหนึ่งของรายการ Jimmy Kimmel Live! โดยเริ่มเมื่อปี 2012 เนื่องในโอกาสที่ Twitter ให้บริการมาครบ 6 ปี โดยรูปแบบรายการคือการเชิญบุคคลมีชื่อเสียงต่างๆ เช่น ดาราหรือเซเลบริตี้ ให้มาอ่านทวีตที่พูดถึงพวกเขาแบบแสบๆ ร้ายๆ ซึ่งเป็นช่วงของรายการที่ได้รับความนิยมอย่างสุดๆ ในความตลกดูเพลิน จนช่วงหลังมาก็เรียกได้ว่ารายการก็ขยายไปถึงคนดังในแทบจะทุกวงการ ไม่ว่าจะนักกีฬา นักดนตรี หรือกระทั่งนักการเมือง

โดยทวีตที่ทางรายการยกมาให้คนดังเหล่านี้อ่านก็มีทุกรูปแบบ วิจารณ์ผลงานบ้าง หน้าตาภายนอกบ้าง หยาบบ้างไม่หยาบบ้าง แต่ก็คัดมาแล้วว่าอย่างน้อยก็อ่านแล้วแสบๆ คันๆ แน่นอน เช่น


ทวิตนี้ก็ประมาณว่า ถ้าแกมองว่าเบเนดิคหล่อเนี่ยนะ ชั้นเดาว่าแกต้องเป็นคนประเภทที่จ้องตูดแมวก็รู้สึกเพลินจิตอภิชาติชูใจได้นั่นแหละ (ตูดแมวที่ไหนจะเท่ขนาดนี้ยะ!)   ซึ่งรีแอคชั่นของพี่เบนก็คือการยกนิ้วนางโชว์แหวนแต่งงานโชว์ซะเลย แล้วก็บอกอย่างแมนๆ ประมาณว่านี่ไงล่ะคนที่มองว่าชั้นหล่อ ฮึ

ดาราสุดเก๋าอย่างฌอน เพนน์ก็ไม่รอด แต่ละอวัยวะที่เอามาเปรียบนี่ช่างอำมหิต 


หรือจะเป็นโอบาม่าที่ก็โดนเหน็บว่า นึกไม่ออกเลยว่าทำไมโอบาม่าถึงผมหงอกขึ้นทุกวั๊นทุกวัน ดูไม่เห็นจะสนใจหรือกังวลเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งลุงก็ได้แต่ยิ้มมุมปาก ไม่ได้แสดงอาการฉุนเฉียวปั้ดโถ่แต่อย่างใด


การรับมือของเหล่าคนดังเหล่านี้ส่วนใหญ่จะดูออกมาชิวๆ ไม่ออกมาวีนเหวี่ยงหรือจิตตก (อย่างน้อยก็ที่แสดงออกมาล่ะนะ)  บางคนถึงกับกวนคนทวิตกลับอย่างสนุกสนาน ซึ่งรีแอคชั่นเหล่านี้เป็นตัวเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูได้อย่างมากมาย ยอดคนดูคลิปของ Read Mean Tweets นั้นพุ่งปรี๊ดอยู่ในหลักล้านจนไปถึงหลายสิบล้านแทบทุกคลิป

ด้วยความที่คนมีชื่อเสียงส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับความเป็นบุคคลสาธารณะ (พูดง่ายๆ ว่าเจอมาเยอะ) การรับมือกับความเกรียนหรือข้อความแย่ๆ นั้นก็จะดีกว่าคนทั่วไป สิ่งที่เราเห็นในรายการนี้เลยดูออกจะเป็นอะไรที่เพลิดเพลินและดูเหมือนว่าพฤติกรรมของคนทวิตเองก็ไม่ใช่อะไรที่ร้ายแรง แต่ถ้าลองเปลี่ยนคนอ่านเป็นคนธรรมดา เป็นเพียงเด็กวัยรุ่นทั่วๆ ไปล่ะ ?



เครือข่าย Canadian Safe School ร่วมกับเอเจนซี่โฆษณาในการทำแคมเปญเพื่อรณรงค์เรื่องCyberbullying โดยยืมคอนเซปต์ของ  Read Mean Tweets เป๊ะ  เพียงแต่ว่าผู้ที่อ่านทวิตร้ายๆ เหล่านั้นเป็นเพียงเด็กมัธยมธรรมดาสามัญ  ซึ่งเนื้อหาของทวิตก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากที่เราเคยขำกันในตอนที่ผู้อ่านเป็นดารานักร้องซักนิด ไม่ว่าจะเป็นการวิจารณ์หน้าตา รูปร่างภายนอก ว่าร้ายนิสัยต่างๆ หรือกระทั่งไล่ให้ไปตายก็ตาม

ดู Kids Read Mean Tweets ตัวเต็มได้ ที่นี่

ทาง Canadian Safe School ได้กล่าวว่าปัจจุบันนี้ในประเทศแคนาดามีเด็กที่ต้องเผชิญกับ Cyber Bullying อยู่เกือบ 40%  ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่สามารถจัดการได้ หลายคนรู้สึกเหมือนสิ่งที่เผชิญอยู่นั้นเป็นการถูกคุกคามชีวิตที่ไม่มีทางออก 

ปัจจุบันในยุคที่ใครจะพิมพ์อะไรก็ได้ การกลั่นแกล้งกันผ่านช่องทางออนไลน์เป็นอะไรที่น่ากลัว ส่วนหนึ่งนั้นเพราะว่าเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าขอบเขตของเรื่องนี้อยู่ที่ไหน ถูกส่งต่อไปเท่าไร  และเรื่องสำคัญคือผู้รับข้อความเกลียดชังเหล่านั้นสามารถรับมือได้แค่ไหน กรณีที่โชคดีเขาอาจจะมองข้ามเห็นมันเป็นเรื่องขำๆ ได้เหมือนคนดังในรายการ แต่ที่ผ่านมาเราก็เห็นแล้วว่ามีหลายคนไม่สามารถรับมือกับมันได้และบางครั้งนั่นก็ส่งผลเสียกับชีวิตเขาอย่างใหญ่หลวง

แม้ในตอนต้นมินิมอร์ได้บอกไว้ว่า เราสามารถซ่อนตัวอยู่หลังคีย์บอร์ดเพื่อพิมพ์ทำร้ายคนอื่นได้ แต่เชื่อเถอะว่าต่อให้เราซ่อนยังไง คนที่รู้แก่ใจคือเรานั่นเอง หูย คม มีสาระ! (โอเค ไม่นับผีสาง เทวดา หรือสิ่งเหนือธรรมชาติใดๆ) ทำหนแรกอาจจะสาแก่ใจ ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้ทำบ่อยนี่นา... แต่พอทำนานไป เหยยย มันซึมเข้านิสัยเราได้นะ!

พอใจเราคิดแบบหนึ่ง(เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณเผือก/ผีแซะ/กระสือนินทางี้) แต่ดั๊นนนน เผลอสร้างลุคอันดีงามและเลิศเลอให้คนเห็นไปแล้ว....ลำบากแล้วสิ เหย ต้องคีพลุค จะทำอะไรก็ต้องระวังตลอดเวลา ไม่ว่าจะทวีต เขียนบล็อก วาดการ์ตูน อัดคลิปลงยูทูป ทุกอย่างมันต้องสอดคล้องกันไปหมด ต้องไปตามสตอรี่เดียวกัน ทำไปก็ต้องกังวลจะทำพลาดมั้ยนะ จะโป๊ะแตกตอนไหน ดูสิ! ระแวงสุด ระแวงตลอด จนกลายเป็นไม่มีความเป็นธรรมชาติเลยสักสิ่ง ผ่านการดีไซน์ครอบหลายชั้นหลายเลเยอร์ นี่คนหรือหัวหอมใหญ่ที่ซุกในหอมหัวใหญ่อีกที! 

คนปกติก็มีเลเยอร์ล่ะนะ แต่ถ้าใช้เลเยอร์นั้นเพื่อกำหนดอาณาเขตความเหมาะสมในการแสดงออกมันก็ดี แต่ถ้าใช้มันเพื่อปกปิดทุกอย่าง....ก็อาจจะไม่ผิด แต่มันจะเหนื่อยนะ...เราห่วงใย

เราเชื่อว่าทุกคนเคยไม่พอใจ โกรธ หมั่นไส้ ขัดหูขัดตา แต่เราก็เชื่อเหมือนกันว่าคงไม่มีใครอยากจะทำลายชีวิตคนอื่นให้พังไปด้วยมือตัวเองด้วยเหตุผลแค่นี้หรอก ยังไงก่อนจะพิมพ์อะไรส่งครั้งต่อไป ลองคิดดูอีกครั้งว่าเรากำลังใจร้ายเกินไปรึเปล่า การเปลี่ยนจากคำพูดมาเป็นข้อความก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะสร้างบาดแผลได้น้อยลงเลยนะ ใจดีกันไว้เถอะ ไม่ใช่แค่เพื่อคนอื่นๆ เพื่อโลกใบนี้ แต่เพื่อตัวเราเองด้วย! *ทำมือไอเลิฟยูวแล้ววาดเป็นวงแบบเอฟโฟร์* :>



ทีมา: huffingtonpost