ปลายปี 2557 ภาพยนตร์สารคดีเรื่องหนึ่งของสาวไทยคนหนึ่งเป็นที่ฮือฮาในสหรัฐฯ และหลายประเทศ เผยความจริงอีกด้านในสังคมอเมริกันที่แม้แต่คนในสังคมนั้นเองยังไม่เคยได้ยินมาก่อน และภาพยนตร์เรื่องนี้เองที่ได้นำพาให้เธอมาเจอกับเราในวันนี้
“ไม่ได้พูดภาษาไทยมานาน รู้สึกแปลกมาก”
มายด์—ภาริณดา วานิชวัฒน์ ออกตัวว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะพูดไม่ชัด แต่ตลอดช่วงเวลาการใช้ชีวิตในสหรัฐฯ
นั้นเธออยากเรียนรู้ความแตกต่างทางวัฒนธรรมของผู้คนที่นี่ จึงไม่ได้พยายามเกาะกลุ่มอยู่กับเพื่อนคนไทย
จึงทำให้การพูดคุยกันครั้งนี้เป็นการพูดภาษาไทยอย่างต่อเนื่องและยาวนานที่สุดในรอบหลายปี
เพราะหลังจากจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 มายด์ก็ลัดฟ้ามาเป็นนักศึกษาสาขา
Political Science and Anthropology ที่ Princeton University ด้วยทุนเล่าเรียนหลวง
แต่สี่ปีในห้องเรียนวิชารัฐศาสตร์
และหนึ่งปีแห่งการทบทวนตัวเองในประเทศจีนกลับทำให้มายด์ค้นพบว่าความสนใจจริงๆ
ของเธอนั้นมุ่งไปทางศิลปะมากกว่า ปีสุดท้ายของการเรียนในมหาวิทยาลัย มายด์จึงเลือกลงเรียนวิชาทำหนังสารคดี
และพบว่านี่แหละคือสิ่งที่เธอตามหา!
มายด์เล่าว่าตัวเธอเองนั้น สนใจเรื่องของผู้คนอยู่แล้วเป็นทุนเดิม
เมื่อได้รู้ว่าเพื่อนของเธอเป็น Sugar Baby หรือเด็กสาวที่มีความสัมพันธ์กับชายอายุมากกว่าโดยได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินสด
บัตรเครดิต หรือสิ่งของต่างๆ ก็ทำให้เธอสนใจเรื่องราวเหล่านี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น “
เรารู้สึกว่าตัวเองก็อยู่ในสถานะคล้ายกับพวกเขามาก เราทำงานที่รักแต่ได้ค่าตอบแทนน้อย
แถมยังต้องไปสู้กับคนอื่นๆ ในนิวยอร์ก ยิ่งทำงานศิลปะก็ยิ่งต้องใช้เงินมาก เมื่อเข้าไปดูในเว็บไซต์หาคู่แบบนี้ก็ได้พบว่าเรื่องนี้มันมีช่องว่างระหว่างความเป็นจริงกับสิ่งที่สื่อนำเสนอ
เราจึงอยากเห็นด้วยตาตัวเองว่าจริงๆ แล้วมันเป็นอย่างไร”
การติดตาม Sugar Baby ไปยังที่ต่างๆ พูดคุยลงลึกถึงความคิด
มุมมองของแต่ละคนจนหนึ่งในนั้นกลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้ว มายด์เล่าต่อไปอีกว่า “ที่น่าสนใจคือผู้หญิงส่วนใหญ่ในธุรกิจนี้เรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก
บางคนเรียนปริญญาเอก เพียงแค่งานประจำที่พวกเขารักมันไม่ทำเงินไง
จึงต้องมาทำแบบนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นพวกเขาก็ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นการลดคุณค่าของตัวเอง
แต่เป็นเพียงหนทางหนึ่งในการทำสิ่งที่รักให้ประสบความสำเร็จ”
เมื่อเริ่มแรก มายด์ตั้งใจเพียงบันทึกวิดีโอไว้เป็นไดอารี่เพื่อเรียนรู้วิธีการถ่ายทำภาพยนตร์เอง
แต่ด้วยตัวเรื่องที่น่าสนใจและใหม่ในสังคมโลก สำนักข่าวชื่อดังอย่าง
Al Jazeera, CNN, Huffingtonpost ฯลฯ สนใจมาทำข่าวภาพยนตร์สารคดี Daddies
Date Babies ของเธอ บางสำนักติดต่อซื้อลิขสิทธิ์โดยให้เธอเป็นคนกำกับ
แต่สุดท้ายด้วยข้อจำกัดที่มากเกินไปทำให้เธอต้องกลับมาลงมือทำเรื่องนี้ทั้งหมดด้วยตัวเองอีกครั้ง
“เรารู้สึกเหมือนได้เป็นพยานโมเมนต์ตรงหน้านั้น มันเหมือนเป็นรางวัลของชีวิตที่เราได้อยู่ตรงนั้น ได้ยินคนอื่นพูดมันก็คงตื่นเต้นระดับหนึ่ง แต่เราอยู่ตรงนั้น เราชอบถามคำถามที่ลึกซึ้ง เวลาได้ถามพวกเขา เหมือนเราได้คุย ได้ค้นพบอะไรบางอย่างไปด้วยกัน เราอยากรู้มากขึ้นว่าทำไมเขาจึงทำแบบนั้น แล้วเผยแพร่มันออกไป คงเพราะเราเป็นคนอยากรู้อยากเห็นมากๆ คนหนึ่ง” มายด์หัวเราะก่อนจะเล่าเล่าถึงความคับข้องใจในวัยเด็กที่มักถูกครูในโรงเรียนกล่าวหาว่าชอบลองภูมิผู้ใหญ่ ด้วยชุดคำถามที่ระดมยิงใส่ครูแบบไม่ยั้งตลอดคาบเรียน “ครูส่วนใหญ่จะมองว่าเราเป็นคนก้าวร้าว เรารู้สึกว่าเราอยู่ในสังคมแบบนี้ไม่ได้แล้ว ในเมื่อเราแสดงความเห็นของเราแบบนี้ในเมืองไทยเราอาจจะติดคุกอยู่ก็ได้นะ แต่ที่นี่ทุกคนเปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างได้มากกว่า”
ปีนี้วีซ่าของมายด์หมดอายุแล้ว เธอจึงต้องเดินทางกลับประเทศไทยตามกฎหมาย
แต่ความฝันของเธออยู่ที่นี่
“เราชอบนิวยอร์กเพราะมันเต็มไปด้วยความแตกต่าง ไม่ได้มีอคติกับเมืองไทยนะ แต่การอยู่ที่นี่ทำให้เราได้เจอคนที่มีความสนใจร่วมกันมากกว่า” เธอเล่าว่ายังประทับใจไม่หายกับ artist workshop ที่เพิ่งไปเข้าร่วมมาเมื่อคืน เป็นการจัดแสดงงานศิลปะแล้วถกเถียงแสดงความคิดเห็นกัน ได้แลกเปลี่ยนความคิดกับศิลปินชื่อดังที่มาร่วมงานนี้ด้วย “นิวยอร์กเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจสำหรับคนทำงานศิลปะทุกแขนง นี่คือสิ่งที่ทำให้เราสนุกกับการใช้ชีวิตที่นี่มากจริงๆ”
ตัวอย่างภาพยนตร์สารคดี Daddies Date Babies
ติดตามอ่านเรื่องอื่นๆ ได้ที่ giraffe