โทนี่ รากแก่น หรือ ธีรชัย วิมลชัยฤกษ์ เป็นคนขี้เหงา
พูดให้ชัด แม้บุคลิกภายนอกของเขาจะดูเป็นชายหนุ่มมาดขรึม แต่โทนี่ก็บอกว่า เขาไม่มีวันขาดการปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่นได้เลย
เขามีแฟนตั้งแต่อายุ 15 ระยะของการใช้ชีวิตแบบโสดสนิทยาวนานที่สุดนั้นก็ไม่เคยกินเวลาเกินสองสัปดาห์ แต่แล้วทำไมเราถึงต้องเลือกเขามาขึ้นปก giraffe ฉบับที่ 31 ซึ่งมีธีมชัดเจนว่า One Life Stand หรือ 'ชีวิตตัวคนเดียว' ด้วยล่ะ?
นั่นอาจเพราะว่า หนึ่ง—เราอยากเปิดพื้นที่ให้เห็นอีกมุมมอง เป็นมุมมองจากคนขี้เหงา เพื่อแก้เลี่ยนเนื้อหาของคอลัมน์ Core ในหน้าถัดๆ ไป ซึ่งจะอัดแน่นไปด้วยเรื่องราวการใช้ชีวิตแบบฉายเดี่ยว ที่เป็นประหนึ่งการตบบ่าปลอบใจให้ใครต่อใครที่ยังอยู่ตัวคนเดียว ในช่วงเดือนแห่งความรักที่ชายหนุ่ม-หญิงสาวจะจับคู่ชู้ชื่นพากันออกมาพลอดรักอย่างดูดดื่มให้เห็นจนน่าหมั่นไส้
สอง—ประเด็นสำคัญที่เราอยากรู้จากปากผู้ชายขี้เหงาอย่างโทนี่ นั่นก็คือ ทำไมคนเราถึงขี้เหงากันนัก เหตุใดคนจำนวนไม่น้อยถึงชอบประกาศตัวบนโซเชียลมีเดียว่าฉันเหงา ความเหงาเป็นเรื่องส่วนตัว หรือเป็นเรื่องที่ควรประกาศก้องให้สาธารณชนรับรู้ หรือจริงๆ แล้วมันก็เป็นแค่เทรนด์หนึ่งของโลกยุคใหม่ที่ไม่ว่าจะเหงามาก เหงาน้อย หรือไม่เหงาเลยก็ตาม เราก็ควรจะ #กระทำความหว่อง เหมือนคนอื่นๆ กันสักครั้ง เพื่อจะได้ไม่โดดเดี่ยวจนเกินไป
และสาม—ในช่วงวัยที่ย่างเข้าปีที่ 34 เราก็อยากรู้เช่นกันว่า ชีวิตของชายผู้น่าสนใจคนนี้เป็นอย่างไร หลังเพิ่งได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีกับบท 'บอย' ชายหนุ่มผู้ชื่นชอบการถ่ายรูป คอยบันทึกความทรงจำผ่านเลนส์กล้อง แต่กลับพลัดตกลงไปในหลุมพรางของความทรงจำอันสวยสดระคนขื่นจากความรักสมัยมัธยมกับเพื่อนสาวคนหนึ่งเมื่อ 8 ปีก่อน ในภาพยนตร์เรื่อง Snap ของผู้กำกับ คงเดช จาตุรันต์รัศมี ซึ่งก็ประจวบเหมาะพอดี เพราะหากนับรวมจนถึงตอนนี้ โทนี่ก็อยู่ในวงการบันเทิงมา 8 ปีเข้าไปแล้วเช่นกัน
และมันก็เป็น 8 ปีที่เราอยากรู้เหลือเกินว่า ชายหนุ่มที่บอกกับเราว่า เขาสามารถตกหลุมรักง่ายๆ เพียงแค่ได้พบสบตากับคนที่ถูกใจ ในวันนี้ทั้งมุมมองเรื่องความรักและการใช้ชีวิตมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป เหตุไฉนโทนี่ถึงอยู่โยงในวงการบันเทิงมายาวนาน ทั้งที่ก็เคยบอกใครต่อใครอย่างมั่นใจว่า เขาอยากเป็น 'ช่างตัดผม' มีร้านตัดผมเล็กๆ แนวๆ เป็นของตัวเอง และก็ค่อนข้างอึดอัดขัดข้องกับหน้าที่อื่นๆ ที่ย่อมตามหลังจากก้าวเข้าสู่วงการ ทั้งการต้องไปออกกล้องสัมภาษณ์รายการโทรทัศน์ที่เขาตามมุกคนอื่นไม่ทัน หรือความหวาดระแวงว่าสายตาของมิตรสหายเมื่อมองเห็นเขาในบทบาทอื่นๆ นั้นจะเปลี่ยนแปลงไป
แน่นอนแหละว่า เรื่องราวเมื่อ 8 ปีก่อน กับ ณ เวลานี้ ต้องมีรายละเอียดยิบย่อยแตกต่างออกไป และชีวิตของโทนี่ก็คงไม่ได้เป็นเช่นเดียวกับคำพูดของตัวละครตัวหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Snap ที่กล่าวไว้ว่า “8 ปีแล้ว ทำไมยังไม่ไปถึงไหนเลย" ไปเสียทั้งหมด
ได้ข่าวมาว่าคุณชอบ Snap ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของตัวเองใช่มาก
ใช่ๆ คือตอนที่เราได้รับบทมาอ่าน ก่อนที่จะได้เจอกับพี่คงเดช เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เล่าเรื่องง่ายๆ และประเด็นอย่างคนรักในอดีตได้กลับมาเจอกันมันโดนกับตัวเรา โดนกับความรู้สึกของเรา แล้วพอได้คุยกับพี่คงเดชที่เป็นคนชอบตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ เราเลยได้เห็นแง่มุมอื่นๆ มากขึ้น ดังนั้น ก่อนที่จะได้เล่นหนังเรื่องนี้ ตอนเจอกับนักแสดงคนอื่นๆ ได้เล่นเกมกัน ได้เวิร์กช็อปกัน ก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำกันจริงๆ ก็สนุกแล้วนะ มันเหมือนเป็นการทำงานกับกลุ่มเพื่อนที่สนุกสนานกันจริงๆ เป็นเพื่อนกันจริงๆ ได้เดินทางไปถ่ายตามต่างจังหวัดด้วยกัน แล้วบรรยากาศกองก็สนุก เราจะรู้สึกว่าโชคดีมาก ที่พี่คงเดชเลือกเรามาเล่นเรื่องนี้
ภาพยนตร์เรื่องนี้ค่อนข้างมีประเด็นเกี่ยวกับ 'อดีต' ค่อนข้างเยอะ แล้วตัวคุณเองมีอดีตฝังใจอะไรบ้าง
มีนะ มีในหลายๆ ช่วงของชีวิตด้วย เพราะเราเป็นคนชอบคนง่าย แต่ดันไม่กล้าแสดงออก ส่วนใหญ่เลยกลายเป็นการแอบชอบคนอื่น และเราก็มักไปแอบชอบคนที่ฮอตมากๆ ในโรงเรียนซะด้วย (หัวเราะ) คนนั้นก็เข้ามาจีบ คนนี้ก็เข้ามาจีบ มันเลยยิ่งทำให้เราไม่มีความกล้าเข้าไปอีกนึกออกไหม แล้วสมัยก่อนเรามีนิสัยเหมือนเป็นเด็กขวางโลกน่ะ จะไม่ค่อยอยากทำอะไรเหมือนใคร เลยยิ่งทำให้เราพยายามตีตัวออกห่างจากคนที่เราชอบ ยิ่งเพื่อนมาล้อว่าเราชอบ เราก็จะพยายามแอคอาร์ตว่า เฮ้ย ไม่เว่ย ไม่ได้ชอบ แทบจะเกลียดเลยก็ว่าได้ คือจะมีโมเมนต์แบบนี้อยู่เยอะมาก
นอกจากเรื่องสาวๆ มีอดีตฝังใจอื่นๆ อีกไหม
โห เยอะแยะ อย่างเรื่องความตั้งใจเรียน ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากจะแก้ไขนะ เพราะเมื่อก่อนเราใช้ชีวิตในโรงเรียนได้สิ้นเปลืองมาก เราคิดว่าเราใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยเกินไป เอะอะ เตะบอล เอะอะ เล่นเกม ซึ่งหลังเรากลับมาจากเมลเบิร์น มาใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยแล้วเนี่ย เราจะเริ่มรู้สึกว่า เฮ้ย ทำไมตอนนั้นเราไม่ทำ ทำไมตอนนั้นเราไม่ไปว่ะ อย่างเทนนิสออสเตรเลียนโอเพนที่เป็นการแข่งขันระดับโลก มีนักกีฬาอาชีพที่เราเคยเชียร์ในจอทีวีมาเล่นให้เราดูถึงที่ เราไม่เคยไปเลย หรือแม้กระทั่งตอนที่ทีมชาติอาร์เจนตินามาเตะ มี Lionel Messi มาด้วย ตอนนั้นเรามัวแต่นั่งเล่นเกม มันมีหลายๆ เหตุการณ์เลยนะ แล้วเป็นเหตุการณ์ใหญ่ๆ ด้วยที่เราพลาดไปเยอะมาก ตอนนี้พอโตขึ้น ขณะที่เวลาในชีวิตมันน้อยลง และเวลาในการทำงานเยอะขึ้น เรายิ่งเห็นว่าของพวกนั้นมีคุณค่ามากเลย เราเห็นคุณค่าของเวลาว่างมากขึ้น อย่างเวลาว่างที่จะได้มานั่งเล่นเกมก็เหมือนกันนะ (หัวเราะ)
ตอนนี้คุณบริหารเวลาในชีวิตอย่างไร
ตอนนี้เราเริ่มมองว่า เรื่อง timing เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเมื่อก่อนเราจะเป็นมนุษย์ประเภทเร่งๆๆๆ ทุกอย่าง อยากได้อะไร อยากทำอะไร จะเอาให้ได้ จะเอาทันที จะให้ดีขึ้นเดี๋ยวนั้นเดี๋ยวนี้ แต่ตอนนี้เราจะรู้สึกว่า เร่งไปก็ไม่มีประโยชน์ เราต้องเริ่มจากจุดเล็กๆ ก่อน ค่อยๆ เก็บ ค่อยๆ สร้าง แล้วมันจะไปถึงในจุดที่เราต้องการเอง ทุกอย่างมีเวลาของมัน อย่างปีนี้เรามองว่าเป็นปีที่เราต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ต้องทำงาน ก็ให้เวลากับการทำงานไป จะไม่มานั่งเร่งว่า ปีนี้เราต้องไปเที่ยวให้ได้ ต้องไปญี่ปุ่นให้ได้ ต้องไปนิวยอร์กให้ได้ เรื่องพวกนี้เราจะตัดออกไปก่อน เพราะเราจัดการเวลาชัดเจนแล้วว่า ปีนี้จะเป็นเรื่องของงาน
แสดงว่าคุณมีการวางแผนสำหรับการใช้ชีวิตพอสมควร
เพิ่งมีเลย เพิ่งมาให้ความสำคัญกับเรื่องการจัดสรรเวลาในช่วงหลังๆ นี่เอง แล้วพอลองทำ เราค้นพบว่ามันทำให้เรามีจุดมุ่งหมายมากขึ้น แถมยังรู้สึกสนุกกับชีวิตมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เมื่อก่อนเราเรื่อยเปื่อยมาก ไม่ค่อยแพลนอะไร เพราะเวลาแพลนมันมักจะล่ม (หัวเราะ) อยากทำอะไรก็ทำเดี๋ยวนั้นเลยมากกว่า สมมุติว่าช่วงปีใหม่ เราแพลนไว้ว่าจะไปเที่ยว ซื้อตั๋วเครื่องบิน พอถึงเวลาไม่อยากไป ทิ้งตั๋วไปเลยก็มี ไม่สนใจว่าเราจะเสียค่าตั๋วฟรี ถามว่าเสียดายไหมก็เสียดายนะ มันเลยทำให้เราเป็นคนไม่กล้าวางแผนอะไรมากมายนัก แต่ตอนนี้จะเริ่มกล้าที่จะทำอะไรแบบนั้นมากขึ้น เริ่มโฟกัสกับการวางแผนมากขึ้น
จุดเปลี่ยนของการหันมาให้ความสำคัญกับการวางแผนคืออะไร
คือพอเราเดินทางมาจนถึงปีที่ 7 ของการทำงานวงการบันเทิง ก่อนหน้านี้ตลอด 7 ปี เราจะมีชุดความคิดอีกแบบหนึ่งในการทำงาน คือจะคิดว่า เราทำได้แค่ประมาณหนึ่ง แล้วคิดว่ามันก็โอเคสำหรับเราแล้ว เราทำได้ดีแล้ว ความต้องการเดียวในการเแสดงคือทำยังไงก็ได้ให้ตัวละครที่เราเล่นมีความเป็นธรรมชาติที่สุด นั่นคือสิ่งที่เราอยากทำก่อนหน้านี้ แต่จริงๆ แล้ว เราค้นพบว่า เราดูถูกการแสดงเกินไป พอเรามาถึงจุดนี้ เรารู้สึกว่า แค่เป็นธรรมชาติเฉยๆ ยังไม่พอ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น ต้องแข็งแรงกว่านี้ ต้องมีอะไรก็แล้วแต่ที่เหมาะสมจะเป็นคาแรคเตอร์นั้นๆ จริงๆ
อีกพาร์ตหนึ่ง เป็นเรื่องของการที่เรารู้สึกว่าเรายังไม่ทุ่มเทมากพอ เหมือนกับเราโชคดีที่ได้รับโอกาสอยู่เรื่อยๆ แล้วเราก็ทำไปด้วยความเข้าใจแค่ระดับหนึ่ง แต่เมื่อปีที่แล้ว เราไปรับงานชิ้นหนึ่งคือเรื่อง 7 วันจองเวร ที่คาแรคเตอร์มันไกลตัวเรามาก เป็นอะไรที่ทำความเข้าใจยากมาก คาแรคเตอร์ที่ได้รับเป็นคนที่ต่อสู้มาก เป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ ไม่ขอความช่วยเหลือจากใคร เรียกได้ว่าตรงข้ามกับเราทุกอย่าง แล้วมันเป็นซีรีส์ยาวที่เราต้องจมอยู่กับคาแรคเตอร์นี้ทั้งเรื่อง ปรากฏว่าเราแทบเล่นไม่ได้เลย เรารับงานมาแล้ว แต่พอต้องเล่นจริงๆ มันดันเล่นไม่ได้ ทางทีมงานเขาก็เลยต้องมาเจาะว่า จริงๆ แล้วมันเกิดจากอะไร แล้วค้นพบว่า จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องความสามารถทางการแสดงหรอก แต่เป็นเรื่องตัวตนของเรามากกว่า เพราะฉะนั้นเราต้องไปฝึกฝนตัวเอง ต้องไปเอาชนะอะไรบางอย่างที่ไม่เคยเอาชนะมันมาก่อน เขาก็ให้ลิสต์เรามาประมาณ 5-6 อย่าง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการเล่นฟิตเนสที่เราไม่เคยทำได้เลย เราจะไม่เคยสามารถเอาชนะตัวเองได้เลย เล่นได้แป๊บๆ ก็จะเหนื่อยแล้ว ไม่เอาแล้ว แล้วฟิตเนสมันต้องทำแบบรูทีนเพื่อให้เห็นผล การต้องทำอะไรซ้ำๆ มันยากมากสำหรับชีวิตเรา แต่ทีมงานเขาบอกว่า ต้องทำให้สำเร็จ เราก็เอาวะ เพราะเราก็อยากให้งานชิ้นนี้ออกมาดี ก็เริ่มทำ พอเริ่มทำก็เริ่มเห็น พอเริ่มเห็นก็เริ่มรู้สึกได้ว่า การเอาชนะตนเอง การมีความมุ่งมั่น การมีจุดมุ่งหมาย มันส่งผลถึงการแสดงเหมือนกัน มันทำให้เราเห็นชัดมากขึ้นว่า จุดมุ่งหมายของตัวละครตัวนี้คืออะไร แล้วมันก็ย้อนกลับมาส่งผลถึงตัวเราด้วย ทำให้เรามองเห็นจุดหมายของตัวเอง
"เรามักจำแค่ภาพแรกที่ได้เห็น ด้วยความที่เพิ่งเจอกันแค่ไม่กี่วัน ไม่กี่สัปดาห์ เราก็ไปสร้างภาพให้เขาแล้วว่า เขาคือคนแบบนั้นแบบนี้ พอเขาเริ่มเป็นตัวของตัวเอง เพราะเราอยู่กับเขามากขึ้น ก็ดันกลายเป็นว่าเรายอมรับสิ่งที่เขาเป็นจริงๆ ไม่ได้"
แล้วจุดหมายของคุณตอนนี้คืออะไร
เราชอบการเป็นนักแสดงมากเลย ชอบบรรยากาศกอง ชอบคนในกอง ชอบพี่ๆ ทีมงาน ชอบนักแสดง ชอบผู้กำกับ ชอบการเซ็ตฉาก ชอบบท ชอบเพลง ชอบการดูหนัง เราชอบอะไรพวกนี้ แล้วไม่คิดอยากจะไปไหนอีกแล้ว เราก็เลยทุ่มเทเต็มที่สำหรับสิ่งนี้ เพราะจุดมุ่งหมายของเราคือการเป็นนักแสดงที่ดีให้ได้
ทุกวันนี้อะไรคือปัจจัยที่ทำให้คุณมีความสุข
เอาจริงๆ แล้วเรามีความสุขกับอะไรไม่กี่อย่างหรอก หนึ่งในนั้นน่าจะเป็นการได้แสดง แล้วรู้สึกว่าเราหลุดเข้าไปในนั้นจริงๆ เพราะว่าตอนนี้อาชีพนักแสดงสำหรับเรามันคือชีวิต เราให้เวลาในการอยู่กับกองถ่ายมากกว่า 90% เพราะฉะนั้นการได้อยู่ในกองถ่ายแล้วจะมีความสุข มันคือการที่เราแสดงได้ดี รู้สึกกับมันจริงๆ ความรู้สึกแบบนี้มันเหมือนกับการเจอขุมทรัพย์ในแต่ละวันเลยนะ
8 ปีในวงการบันเทิง มันทำให้คุณเปลี่ยนแปลงไปในแง่ไหนบ้าง
หลายแง่เลย เพราะเมื่อก่อนตอนสมัยเรียน เราเป็นคนชอบปลีกวิเวกนิดหนึ่ง เป็นคนขี้เหงานะ เพื่อนชอบมานั่งเล่นในห้อง มาเป็นกลุ่ม แต่ต่างคนก็จะต่างทำอะไรของตัวเองไป เราก็จะเล่นกีตาร์อยู่ในมุมของเราไป แล้วคอยขำเวลาเพื่อนเล่นมุกตลก คือเราเป็นคนปลีกวิเวก ออกไปเจอสังคมก็ไม่ค่อยพูด แต่พอเริ่มมาอยู่ในวงการ มันเหมือนกับเราถูกทำลายกำแพงอะไรบางอย่างอยู่เรื่อยๆ เช่น จากการเวิกช็อปหนังแต่ละครั้งที่ทำให้เราเปิดตัวเองมากขึ้น กล้าที่จะพูดกับคนอื่น ยอมที่จะฟังคนอื่น เพื่อจะได้รับรู้เรื่องราวของคนอื่น แล้วก็กล้าที่จะแสดงออกมากขึ้น มันก็ทำให้เราสนุกกับการใช้ชีวิตมากขึ้นนะครับ เพราะตอนนี้เราไม่ได้อยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเองมากจนเกินไป เริ่มออกมาเจอผู้คนมากขึ้น
ตลอดระยะเวลาที่เข้าวงการบันเทิงมาดูเหมือนคุณจะมีแฟนตลอด ถ้าต้องเป็นโสด ไปไหนมาไหนคนเดียว คิดว่าจะสามารถมีความสุขได้ไหม
ไม่เลย เราเป็นคนที่ไม่เคยไม่มีแฟนเลยนะ หมายถึงว่า พอโสดได้สักพักหนึ่งจะเริ่มเหงามาก จะเริ่มรบกวนเพื่อนละ เพื่อนจะต้องมาบ้าน จะต้องเจอเพื่อน เราก็เลยไม่เคยปล่อยให้ตัวเองโสดเกิน 2 สัปดาห์ แล้วเราจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบไม่มีประโยชน์เท่าไหร่เลย ถ้าไม่มีแฟน
ไม่มีแรงบันดาลใจ?
ใช่ครับ เหมือนกับว่า มันต้องการน่ะ มันเป็นความเหงา แต่ไม่ใช่ความต้องการในทาง sexual นะ มันเป็นความต้องการให้มีใครสักคนอยู่ข้างๆ แล้วทำให้เราสบายใจ มันเลยทำให้เรารู้สึกว่า ถ้าไม่มีปุ๊บ มันต้องหา เรดาร์ชีวิตของเราก็จะกลายเป็นเรื่องของการหาแฟน ไม่ได้โฟกัสเรื่องงานแล้ว ไปเที่ยวก็จะมองแล้วว่า คนไหนสวย คนไหนน่ารัก
จำเป็นแค่ไหนที่คนเราต้องใช้ชีวิตเป็นคู่มากกว่าคี่ และทำไมคนในยุคนี้ถึงขี้เหงากันนัก
ผมมองว่าแล้วแต่ความต้องการของคน มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นหรือไม่จำเป็นนะ คนแต่ละคนเติบโตมาคนละแบบ ความต้องการคนละแบบ มีกรรมติดตัวมาคนละแบบ อาจเป็นกรรมที่เราสร้างขึ้นมาในยุคสมัยนี้ ชาตินี้ อย่างเราที่โตมากับครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน เราก็จะขาดจุดยึดเหนี่ยว เราเลยต้องการหาจุดยึดเหนี่ยวที่แข็งแรงเพื่อมาช่วยพยุงตั้งแต่เด็กจนโต ตอนเด็กอาจเป็น พี่ ป้า น้า อา พอโตมาก็เป็นเรื่องของแฟน
การเติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน ไม่ได้ทำให้คุณหวาดกลัวความสัมพันธ์เลยเหรอ
ไม่นะ ไม่เลย มันยิ่งทำให้เราเข้าใจว่า อะไรมันก็เกิดขึ้นได้มากกว่า คือต่อให้มีลูกแล้วก็เลิกกันได้ ซึ่งพอเรายอมรับในจุดนี้เราก็จะมองหาว่า หนทางไหนบ้างที่เราจะสามารถทำได้ระหว่างมีความสัมพันธ์ แล้วมันก็จะกลับกันเลยนะ เราจะไม่มาใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังอะไรเลยเวลาคบกับใคร ไม่ได้คิดว่าต้องเผื่อใจ ยิ่งตรงกันข้ามเลย เพราะเราคิดว่าเวลาที่มีอยู่ เราไม่มีวันรู้หรอกว่ามันจะสั้นแค่ไหน เราเลยต้องเต็มที่กับทุกความสัมพันธ์ ทำให้ดีที่สุด ทำให้มีความสุขที่สุด ถ้าทำให้กันและกันเสียใจเมื่อไหร่ ต้องรีบขอโทษให้เร็วที่สุด เพราะเราเคยมองเห็นมาก่อนแล้วว่า พ่อแม่มีปัญหายังไง คือเราไม่ได้เอาปัญหาของพ่อแม่มาเป็นปัญหาของเรา แต่เราจะทำความเข้าใจมันมากกว่า
อะไรคือเรื่องที่ยากที่สุดในความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน
ความเข้าใจครับ ถ้าเมื่อไหร่เราไม่ฟังมันก็จบ คือการไม่ฟังกันอาจเกิดขึ้นจากการเริ่มไม่อยากฟัง ไม่อยากสนใจแล้ว หรือพอไม่เข้าใจกัน ก็ไม่อยากฟังแล้ว การเริ่มไม่ฟังกัน จะทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงเรื่อยๆ ผมคิดว่าคนที่อยู่ด้วยกันได้คือคนที่ชอบฟังกัน
หลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ส่วนใหญ่ของคุณจบลงด้วยสาเหตุอะไร
เป็นเรื่องของความเป็นตัวเอง พอทั้งคู่เริ่มเป็นตัวเองมากขึ้น เราจะลืมมองความเป็นจริงว่านั่นคือสิ่งที่เขาเป็น เพราะเรามักจำแค่ภาพแรกที่ได้เห็น ด้วยความที่เพิ่งเจอกันแค่ไม่กี่วัน ไม่กี่สัปดาห์ เราก็ไปสร้างภาพให้เขาแล้วว่า เขาคือคนแบบนั้นแบบนี้ พอเขาเริ่มเป็นตัวของตัวเอง เพราะเราอยู่กับเขามากขึ้น ก็ดันกลายเป็นว่าเรายอมรับสิ่งที่เขาเป็นจริงๆ ไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเขาเลยนะ เป็นความผิดของเราล้วนๆ ที่ดันไปวาดภาพที่มันไม่ใช่เขา ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ก็สอนเรานะ มันทำให้ทุกวันนี้ เรารำคาญคนอื่นน้อยลง สมัยก่อนเราจะขี้รำคาญ แต่ตอนนี้เวลารำคาญ เราจะเกิดคำถามว่า ทำไมเขาถึงชอบพูดแบบนี้ ทำไมถึงชอบทำอะไรแบบนั้น เราจะไม่ได้เอาความรู้สึกของตัวเองไปจับการกระทำของเขาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
"ผมโตมากับครอบครัวที่แตกแยก เลยไม่กล้าคาดหวังอะไรเกินสองสามเดือน สองสามเดือนที่ว่าคือ เฮ้ย เดี๋ยวเดือนเมษาฯ เราไปเที่ยวกัน ปีใหม่ไทยหยุดยาวเราไปเที่ยวกัน นั่นคือความคาดหวังที่ไกลที่สุดแล้วสำหรับเรา เพราะเราไม่รู้ว่าเดือนธันวาฯ เราจะยังคบกันอยู่หรือเปล่า เราไม่ได้บอกว่าเราเป็นคนโลเลนะ เพียงแต่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้"
เวลาคบกับแฟนแต่ละคนคุณคาดหวังอะไร
ไม่เลย มันเป็นความรู้สึกมากกว่า เป็นเรื่องของความรู้สึกที่มันโดน เราเป็นคนชอบคนง่าย บางคนแค่สบตา แล้วเจอสายตาที่ชอบเนี่ย แค่นั้นเราก็ตายแล้ว อยากจะเป็นแฟนแล้ว ช่วงแรกๆ บอกไม่ได้หรอก มันเป็นเรื่องของความหลง คือเรายอมรับเลยว่า เราเริ่มต้นจากความหลงมากกว่าความรัก
แล้วหลังจากความหลงเปลี่ยนมาเป็นความรักแล้ว เคยคิดถึงเรื่องอนาคตบ้างไหม
อย่างที่บอกว่าผมโตมากับครอบครัวที่แตกแยก เลยไม่กล้าคาดหวังอะไรเกินสองสามเดือน สองสามเดือนที่ว่าคือ เฮ้ย เดี๋ยวเดือนเมษาฯ เราไปเที่ยวกัน ปีใหม่ไทยหยุดยาวเราไปเที่ยวกัน นั่นคือความคาดหวังที่ไกลที่สุดแล้วสำหรับเรา เพราะเราไม่รู้ว่าเดือนธันวาฯ เราจะยังคบกันอยู่หรือเปล่า เราไม่ได้บอกว่าเราเป็นคนโลเลนะ เพียงแต่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ เราไม่ได้บอกว่าเราไม่มั่นคงหนักแน่น แต่สิ่งที่เราทำได้คือทำวันนี้ให้ดีที่สุด เวลาที่เราเจอกับแฟนเนี่ย เราจะชอบถามคำหนึ่งตลอดเวลา นั่นก็คือ วันนี้คุณมีความสุขหรือเปล่า
ตอนนี้จัดลำดับความสำคัญระหว่างคนรักและงานอย่างไร สิ่งไหนมาก่อนมาหลัง
อันนี้ตอบยาก เพราะมันขาดอะไรไม่ได้สักอย่าง เราคิดว่าเราคงอยู่คนเดียวไม่ได้จริงๆ ถ้าอยู่คนเดียวเราจะพัง ถ้าต้องอยู่คนเดียวก็คิดว่าคงทำงานไม่ได้ คงไม่มีพลัง แต่ถ้ามีคนรักอยู่ด้วย ถ้าไม่ได้ทำงาน มันก็คงไม่สนุก ทั้งสองสิ่งนี้ต้องไปด้วยกัน ก็ยังไม่เคยลองเหมือนกันนะว่า ถ้าไม่สนใจใครเลย แล้วมุ่งหน้าทำงานอย่างเดียวจะเป็นยังไง
อยากลองไหม
ยังครับ (หัวเราะ)