เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
WOF2017: WAT Life Diarylhnlt
01 Before we arrive
  • หลังจากเราได้ขอเกาะเพื่อนบินด้วยกันนั่งเครื่องสุดแสนทรมาณเกือบ 20 ชั่วโมง (ไปเกาหลี 5.30 ชั่วโมง และต่อไปชิคาโก้ 13 ชั่วโมง) พาร์ทแรกไปเกาหลีก็ยังชิวๆ อยู่ อารมณ์บ้านใกล้เรือนเคียง คนเอเชียที่เราคุ้นเคย หลับแปปเดียวตื่นมาถึง อาหารก็อร่อย แต่ขาไปอเมริกานี่สิของจริง!! เรานอนไม่หลับเลยยยย จะหลับๆ ตื่นๆ ทุกครึ่งชั่วโมง เป็นแบบนี้ไปตลอดการเดินทาง มันแย่มากจริงๆ เหนื่อยสุดๆ ไปเลย ฮือ

    และในที่สุด!!!!

    เราก็ถึงชิคาโก้, สหรัฐอเมริกา
     
    เนื่องจากเราได้แพลนกับเพื่อนไว้ว่าจะแวะเที่ยวที่นี่ก่อนสัก 3-4 วัน ซึ่งตามตารางพอออกจากสนามบินจะนั่ง MTA หรือซับเวย์ไปยังที่พักเพื่อเก็บกระเป๋าและออกเที่ยวกัน และแน่นอน คนแต้มบุญเยอะแบบเราๆ ตายตั้งแต่ถึงสถานีและต้องแบกกระเป๋าเดินทาง 28" ขึ้นบันไดแคบๆ ฮ่าาาา 

    พอไปถึงที่พักเพื่อเช็คอิน เวลาประมาณบ่ายโมงเพื่อพบว่า เข้าห้องไม่ได้นะจ๊ะ ต้องรอ 15.00 ก่อนถึงจะเช็คอินได้จ้ะ เงิบค่ะ เราเลยออกไปหาอะไรกินกัน ลองเดินรอบๆ และได้เบอร์เกอร์กับน้ำอัดลมแก้วใหญ่จาก 7-11 ในราคา $2.45 (สำหรับเราก็ยังคิดว่าแพงนะคะ มื้อแรกในเมกาของฉัน ฮือ) หลังจากกลับมาก็พบว่าเราสามารถขึ้นห้องได้แล้ว เย้! เลยเอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องกัน 

    พอเห็นเตียงมันก็เคลิ้มๆ เนาะ อืมมม 
    มองหน้ากับเพื่อน บีหนึ่งนายคิดเหมือนเราหรือเปล่า
    โอเค ง่วงอะ อาบน้ำแล้วนอนกันเถอะ Zzzzzzz

    วิวจากเตียงนอนชั้นล่างของเราในโฮสเทล
    วิวที่หน้าต่างจากห้องเรา ได้ยินเสียงรถไฟตลอดคืนเลย
    และสิ่งที่เราคิดว่าพีคในการใช้ชีวิตในอเมริกาอย่างแรกของเราก็คือออออ การเข้าห้องน้ำนี่แหละ          ทำให้เรารู้สึก culture shock ไปเลย เนื่องจากห้องน้ำที่นี่เป็นแบบมีช่องข้างล่างและข้างบนกว้างมากกก อารมณ์ว่าถ้าเราเขย่งเรามองเห็นข้างหลังประตูเลย ตกใจมาก เท่านั้นไม่พอ ระหว่างบานประตูกับที่ใส่กลอนก็เป็นช่องกว้างเช่นกัน โอ๊ย ประเทศนี้มันอะไรกันเนี่ย และการเข้าห้องน้ำทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของที่ฉีดน้ำแบบพกพาสุดๆ ถึงกับฝากน้องคนไทยที่ตามมาทีหลังซื้อเลย!

    เหมือนเราจะลืมอะไรบางอย่างไป 
    .
    .
    .

    อ่ออออ อาการ Jetlag ไง ก็น่าจะเห็นจากการนอนแต่หัวค่ำ หลับตอน 17.00 ของเราในวันแรก แน่นอนค่ะ เราและเพื่อนเลยตื่นขึ้นมาตอนเช้าในเวลา 03.00 ใช่ค่ะ ตีสาม!! คุณไม่ได้อ่านผิดหรอก แล้วก็นอนไม่หลับอีกเลย ตีห้าเลยชวนกันไปอาบน้ำ กินข้าวเช้าและเตรียมออกเที่ยวกัน





  • วันที่ 2 ของชิคาโก้นั้น เราเลือกไปที่แรกคือ Millennium Park หรือสวนสาธารณะที่มีสถาปัตยกรรมอย่างเจ้าถั่วยักษ์ หรือ Cloud Gate ถูกสร้างขึ้นโดย ศิลปินชาวอังกฤษที่มีชื่อว่า Anish Kapoor โดยใช้เวลาก่อสร้างกว่า 2 ปี สร้างขึ้นจากแผ่นสแตนเลส 168 ชิ้นเชื่อมติดเข้าด้วยกัน จากนั้นขัดเงาจนไร้รอยต่อ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากปรอทเหลว มีพื้นผิวที่สะท้อนแสง ทำให้ภาพที่สะท้อนตึกสูงออกมาบิดเบี้ยวไปตามพื้นผิว

    เจ้าถั่วยักษ์

    จากนั้นเราก็เดินตามสวนสาธารณะไปเรื่อยๆ จนไปถึง ถนน lakeshore drive เป็นเส้นทางที่อยู่ขนานกับทะเลสาบมิชิแกนยาว 15.83 ไมล์ เมื่อเดินมาเรื่อยๆ ข้ามถนนไปจะเป็นทางสำหรับเดินและปั่นจักรยานเลียบทะเลสาบที่เรียกว่า Chicago Lakefront Trail มีความยาว 18 ไมล์ ซึ่งจะมีเรือยอตช์จอดเทียบท่าอยู่เป็นจำนวนมากของแต่ละคลับ ซึ่งที่นี่อากาศดีมากๆ ลมเย็นๆ แดดไม่แรงมาก

    นั่งกินลมชมวิว ลมเย็นๆ น้ำใสสีสวย ฟังเสียงคลื่นเพลินๆ 




  • นั่งเป็นนางเอกเอ็มวีได้สักพักก็รู้สึกว่า เออ ไปที่อื่นกันต่อเถอะ เรากับเพื่อนเลยเดินเลียบ Lakefront นี้ไปเรื่อยๆ จนถึงเป้าหมายต่อไป Navy Pier เพื่อขึ้น Architecture River Cruise ที่จองไว้ เป็นทัวร์พาล่องเรือชมตึกต่างๆ ที่ขึ้นชื่อของชิคาโก้ โดยจะมีไกด์บรรยายความเป็นมาของแต่ละตึก เอาจริงๆ ก็ฟังทันบ้าง ไม่ทันบ้าง (ส่วนใหญ่อันหลัง ฮ่าาา) ก็ถือว่ามาเอาบรรยากาศละกันเนาะ ตึกทุกตึกมีความเป็นไป มีเบื้องหลังหลายๆ อย่าง เราชอบนะ 

    และด้วยความแต้มบุญเยอะของเรา ระหว่างขากลับที่นั่งเรืออยู่ฝนก็ตกลงมาเฉยยยยยย อ้าว งี้ก็ได้หรอ พอขึ้นเรือได้เลยรีบวิ่งเข้าตึกเพื่อหลบฝนและรอฝนซา ซึ่งจริงๆ Navy pier เนี่ยเป็นสถานที่ที่สวยนะ คาดว่าเอเชียทีคน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากที่นี่ เพราะมันเหมือนมาก ทั้งป้าย ท่าเรือ ชิงช้าสวรรค์ สิ่งที่ไม่เหมือนก็คงจะเป็นสีน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยากับ Lake Michigan นี่แหละ

    ก่อนฝนตก อากาศดีมากๆ
    หลังฝนตกมันก็จะครึ้มๆ หน่อยนะ


  • เย็นวันนั้นเรากลับมาถึงที่พักก่อนพระอาทิตย์ตก เนื่องจากที่นี่พระอาทิตย์ตกประมาณ 20.00  เราและเพื่อนเกิดความโฮมซิคอะไรขึ้นมาไม่รู้ มันทนขนมปังไม่ไหวแล้วนะว้อยยย ปะ ไปต้มมาม่ากัน!! (เดี๋ยวนะ นี่เพิ่งวันที่ 2 ของการมาเมกานะแกรรรร) เลยตัดสินใจไปหาวัตถุดิบใน7-11เจ้าเก่า ได้แฮมมาในราคา $5 น้ำตาไหลพรากไปเลยค่าาา จากนั้นก็มาใช้ครัวในโฮสเทลชั้นตัวเองเพื่อต้มมาม่ากินกัน อาเมน
    มาม่า 5 บาท แฮม 5 ดอล ...

    เช้าอันสดใสในชิคาโก้วันที่ 3 อากาศเย็นมากกกก ประมาณ 12 องศาได้ ซึ่งเราไม่ได้พกเสื้อหนาวมาสักตัวเพราะเมืองที่ทำงานเป็นเมืองร้อน หนาวสั่นเลยค่ะ หนูผิดไปแล้วววว ฮือ วันนี้เราไปตามหา Landmark กันที่ Chicago Theater ก่อนเป็นที่แรก

    ระหว่างทาง

    สร้างแลนด์มาร์ค (ทำเสียงเกมเศรษฐี)

    ต่อมาไปเดินเล่นที่ Chicago Riverwalk กัน เป็นทางเดินเลียบแม่น้ำที่วันก่อนเรามาล่องเรือกันนั่นเอง จากการสังเกตของเราพบว่า ที่นี่จะมีคนวิ่งออกกำลังกายและพาสุนัขมาเดินเล่นเยอะมากๆ ซึ่งถ้าคนวิ่งเป็นผู้ชายเนี่ยยยยยส่วนใหญ่เค้าจะชอบถอดเสื้อกันนะคะ เราก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่ได้สนใจเลยจริงจริ๊งงงงง


    จากนั้นก็ถึงไฮไลท์ของวันนี้!! การขึ้นตึก Willis Tower เพื่อขึ้นไปชมเมืองชิคาโก้กันบนตึกสูง ซึ่งจุดเด่นของที่นี่คือจะมีกระจกใสยื่นออกไปข้างนอกให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปโดยมีพื้นหลังเป็นเมืองชิคาโก้ที่เต็มไปด้วยตึกสูง โดยเอาจริงๆ เราเป็นคนกลัวความสูง ตอนขึ้นลิฟท์ก็เริ่มใจสั่นๆ ละ แต่อุตส่าห์เสียเงินขึ้นมาก็เลยไปต่อแถวถ่ายรูปกับกระจก ซึ่งตอนไปยืนจริงๆ มันน่ากลัวมากกกก มองลงไปเห็นหัวคนเดินไปเดินมา รถวิ่งฟิ้วๆๆ เลย ขาสั่นไปหมด แต่เมืองมันสวยมากจริงๆ โดยช้อตที่ยื่นกล้องให้พี่การ์ดถ่ายรูปให้เนี่ย ก็คิดว่าเค้าจะถ่ายดีนะ เห็นถ่ายให้ทุกคนเลย สรุปเบลอ ละกดถ่ายให้รูปเดียว ขอบคุณค่าาาาา ส่วนรูปที่ถ่ายเองกับเพื่อนเราต้องเลือกระหว่างเอาวิวหรือเอาหน้าตัวเอง ถ่ายไปก็กดดันคนข้างหลังยืนมองไป เหมือนกินบอนชอนโต๊ะติดกระจกที่สาขาสยามเซนเตอร์ละมีคนอื่นรอคิวอยู่หน้าร้านจ้องมาที่โต๊ะเราอะ ฮืออออออออ 

    ที่สุดท้ายที่เราไปคือ Art Institute Of Chicago เป็นมิวเซียมแสดงผลงานศิลปะที่ใหญ่มากๆ จากนั้นเรากลับมานอนและลุกมาจัดกระเป๋าเตรียมบินไป Missouri ในวันรุ่งขึ้น!
    รูปสุดท้ายในชิคาโก้
    .
    .
    .

    'Goodbye my windy city'

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in