รถไฟมาจอดเทียบท่าสถานีประมาณ
คือฟังคำอธิบายก่อน การนอน 12 คนมันไม่ใช่สิ่งไม่ดีเว้ยแต่สิ่งไม่ดีก็คือการที่อี 8-9 หรือ 10 คนนี่แหละแม่งมาจัดปาร์ตี้ดั่งคืนสู่เหย้าในห้อง ชนแก้วเบียร์เมามัน(ส์)เลยไม๊มึง กว่าจะเลิกก็เที่ยงคืน ในขณะที่กูนอนอยู่บนเตียงพร้อมหลับเต็มที่ตั้งแต่ 4 ทุ่ม อี 2ชั่วโมงก่อนงานเลี้ยงเลิกรา คือช่วงเวลาที่กูสวดมนต์ในใจภาวนาให้พวกมึงเลิกก่อกรรมทำเข็ญกะกูได้แล้ว “กูจะนอน!!!”
การเสียเงินประมาณ 1,500 บาทไทยต่อ 1 คืน คือการซื้อชีวิตที่ขาดหายไปในปรากกลับคืนมา ณ ตอนนั้นผมไม่ได้มีอคติกับการนอนโฮสเทล แต่กูแค่ขอเวลาทำใจ การเช็คอินผ่านไปได้ด้วยดี เหลือเวลาอีก 4-
การมาเวียนนาเหมือนสวรรค์ ย่านของกินคือดี ผู้คนเนืองแน่นสมกับการเป็นเมืองหลวง บรรยากาศดี สะอาดสะอ้าน สถาปัตยกรรมดี ดีไปหมดจริงๆ สรุปมีความสุข และได้ซื้อไอติมมากินด้วย
ไอศกรีมที่ยุโรปเนี่ยราคาตกสกู๊ปละ 1-2
นอกจากนี้แล้วเดินทางในเวียยนาสะดวกมาก ระบบรถไฟดูเข้าใจง่าย มีตั๋วรายชั่วโมง รายครั้งรายวัน รายอาทิตย์ ทั้งหมดทั้งมวลคือสะดวก ง่าย
ถ้าจะว่ากันตามตรง หลังจากเที่ยวจนเครื่องติด ความโชคดีที่พบได้ระหว่างการเดินทางมันทำให้ผมชะล่าใจไปจริงๆตอนนั้นผมเพลิดเพลินไปกับการเดินทางคนเดียว การเจอเพื่อนใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นบนรถไฟ ในโฮสเทล หรือแม้กระทั่งบนแอพลิเคชั่น วันรุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นมาด้วยความสดใสสุดๆ
แม้ทุกอย่างจะดูราบรื่นดี แต่ดินฟ้าอากาศวันนี้ที่เวียนนาดูมืดครึ้มผิดปกติซึ่งสวนทางกับแพลนที่จะเที่ยวเวียนนาทั้งวันโดยสิ้นเชิง ผมต้องเที่ยวให้ครบก่อนที่จะย้ายเมืองวันพรุ่งนี้ ต่อให้ฝนตก “กูก็ต้องไปเที่ยวให้ได้”เข้าใจยัง
พระราชวังเชินบรุนน์ (Schon Brunn
ถึงพระราชวังอย่างปลอดภัยพร้อมกับอาการเปียกปอนหน่อยๆเดินเที่ยวในพระราชวังก็ถือเป็นการหลบฝนไปในตัวจนกระทั่งฝนดูท่าน่าจะหยุดตกราวๆตอนเที่ยง ผมจึงรีบใช้โอกาสนี้นั่งรถไฟกลับไปที่เซ็นเตอร์เวียนนา
การเดินเที่ยวโบสถ์ต่างๆที่สำคัญในเวียนนา พิพิธภัณฑ์ ที่หลากหลาย ทำให้ผมรู้สึกเลยว่าเมืองนี้เป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวจริงๆ ความสนุกมันควรจะดำเนินไปต่อแม้ฝนจะตกพรำๆก็เถอะ แต่ใครจะรู้ว่าโลกแม้งไม่ได้บันดาลแต่ความโชคดีมาให้และผมก็พลาดท่าจนได้
ดอกกุหลาบถูกยื่นมาตรงหน้าผมขณะที่ผมเปลี่ยนแบตเตอรี่กล้อง สมองอันโล่งๆตอบสนองการรับดอกกุหลาบเน่าๆดอกนั้นทันที ใช่ “มันคือกับดัก
“
ผมหยิบเศษ 2 ยูโรให้
“ไม่คุณต้องให้ชั้นเยอะกว่านี้” หญิงสาวขอเพิ่มอีก
ในใจเริ่มรู้สึกว่า "กูซวยแล้วไง" แต่ก็คิดว่าถ้าให้เพิ่มอีกหน่อยมันคงจบเรื่อง 5 ยูโรคือค่าตัดความรำคาญ
แต่
“
ในหัวตอนนั้นสับสน โดนจนได้ บอกแล้วไง “ห้ามรับของจากคนแปลกหน้า กูโดนจนได้”
“ยูเป็นแบงค์มันมากไป ให้ไม่ได้หรอก” (ให้แล้วกูจะแด๊กอะไรตอบ)
ความใจแข็งของผมทำให้นังตัวดีกวักมือเรียกผู้ชายผิวสีตัวใหญ่มาประกบทันที
“โอ้แม่เจ้านี่กูทำอะไรลงไป!!!!กูจะตายไม๊เนี่ย?
“วอทเดอะ ฟัค” คือสิ่งที่พูดออกมาหลังจากเข้ามาอยู่ในร้านไร้วี่แววคนติดตาม
ตอนนั้นผมขย้ำดอกกุหลาบขยี้ด้วยเท้าตัวเอง และทิ้งลงถังขยะผมสอดส่องจนแน่ใจแล้วว่าผู้หญิงคนนั้นกับผู้ชายร่างใหญ่ไม่เฝ้าผมอยู่ เฮ้อทำไมชีวิตมันช่างโหดร้ายแบบนี้
ผมค่อยๆ เดินออกมาจากร้านอย่างระวังและพยายามเดินอยู่ในฝูงชนให้มากที่สุด
“คุณสบายดีนะ” นางตัวดีเดินมาเยอะเย้ย
“ฟัคออฟ” คือสิ่งเดียวที่หลุดออกจากปากผม
เจ็ดยูโรกับค่าดอกกุหลาบ 1
ผมโทรคุยกับแม่ระบายเรื่องที่เกิดขึ้นและเรียนรู้ว่านี่คือบทเรียนที่มีค่ามาก
เป็นเรื่องเตือนที่ดีสำหรับนักท่องเที่ยวทุกอย่างมันมีดีและร้าย แต่ต่อให้เจอเรื่องร้าย ถ้าเราผ่านมันมาได้เราจะเติบโตขึ้น และระวังมากขึ้น
ส่วนตัวเคยโดนที่อิตาลีค่ะ แต่เป็นเด็กมาช่วยกดเครื่องขายตั๋ว
ตอนนั้นก็อ่านมาเหมือนกันว่าอย่าเผลอไปให้ช่วยเพราะเค้าจะมาขอเงิน แต่เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก อยู่ดีๆ เข้ามาคุยด้วยแล้วกดๆ ตู้ให้เราตอนนั้นกำลังจะปฏิเสธ แต่มารู้ตัวอีกทีตั๋วก็เด้งออกมาจากเครื่องแล้ว
พอยื่นตั๋วให้เราปุ๊บแบมือบอก '2 Euros' เรานี่หน้าซีดเลย ในใจคิด...โดนแล้วไง
เลยยื่นให้แค่หนึ่งยูโร บอกมีแค่นี้
ดีนะที่ไม่ขู่เอาเพิ่มกับเรา 1 ยูโร ก็ถือว่าเสียค่าโง่ไปค่ะ....