และแล้วผมก็ผ่านพ้นช่วงวิกฤตของรถไฟเยอรมันมาจนได้ด้วยการเลทไป 2
“กูเสียเวลาไป
และความตั้งใจว่าจะนอนฟรีที่ห้องเพื่อน ผมเลยรีบโทรหาเพื่อนอย่างทันทีทันใด
“ฮัลโหล แบพทิส” เสียงตื่นเต้นของผมมันเกินหน้าเกินตาไปแล้ว
“เฮ่ย์ ว่าไง อยู่ไหนแล้ว?”
“ปรากไง อยู่ปรากแล้ว”
“เอ่อ ขอโทษนะพอดีแฟนไอมาอะ ยูไปหาโฮสเทลอยู่นะ แล้วเจอกันตอนเย็น”
หลังจากเสียงเงียบของโทรศัพท์ มันก็ไม่ได้ทำให้จิตใจกูสงบขึ้นเลย....ใช่ซี้กูมันแค่เพื่อนนี่กูมาปรากนะเว้ย เช็กอะมึง ไม่ใช่ปร้ากซอยอะมึง....ได้แต่ยินยอมรับความเจ็บปวดกันไป
สุดท้ายผมต้องร่อนเร่พเนจรไปหาโฮสเทลใกล้ๆเซ็นเตอร์ จนในที่สุดผมก็เจอโฮสเทลในราคาเพียงแค่คืนละ 600 บาทไทยเท่านั้น แต่ก็เพราะความถูกของมันเนี่ยแหละ คืนนี้ผมเลยมีรูมเมทมากมายถึง 11 คนนอนเป็นเพื่อนเลยจ้า ไม่เหงา ได้แต่ภาวนาให้หลับก็พอ....เนอะ
เมื่อถึงตอนเย็นเวลาที่คนเลิกงาน
“แบพทิส” ชาวฝรั่งเศส อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม จริงๆ คืออายุเท่ากันเกิดเดือนเดียวกัน ปีเดียวกันเลย ผมรู้จักแบพได้ยังไงน่ะหรอ คืองี้เมื่อปีที่แล้วก่อนมายุโรป แบพได้มาฝึกงานที่บริษัทผมและด้วยสกิลภาษาอังกฤษผมนี่แหละจึงต้องมาแบกหน้ารับหน้าที่ช่วยเหลือแบพในหลายๆเรื่องอาทิ เปิดบัญชีธนาคาร วิ่งเรื่องขอวีซ่าทำงาน บลาๆๆ จนทำให้สนิทกันไปโดยปริยาย การเจอแบพในต่างประเทศก็ทำให้ผมได้คนขับรถ พาเที่ยวฟรีๆไปด้วย รวมถึงได้กินอาหารไทยฟรีอีก สรุปสั้นๆคือดีงาม ระหว่างนั้นก็มีบทสนทนาน้ำลายฟุมปากไปตามๆ กันเพราะไม่ได้เจอกันมาตั้งเกือบ
เมื่อถึงเวลาอันสมควร แบพก็ขับรถกลับมาส่งผมที่โฮสเทล ผมก็ขอบคุณ ขอบใจกันไปตามธรรมเนียม ปราสาทปราก รวมถึงโบสถ์ กับวิวหลังคาส้มๆสวยๆ ก็เป็นไฮไลท์สำหรับทริปในคราวนี้ไปตามระเบียบ และจบลงอย่างสวยงาม
เช้ารุ่งขึ้นแบพส่งข้อความมาหาว่าอยากจะมีโอกาสกินอาหารด้วยกันอีกในตอนเย็น แต่ผมเองก็ไม่มั่นใจเรื่องเวลาของรถไฟเท่าไหร่เนื่องจากผมอยากจะไปให้ถึงเวียนนาก่อน 6 โมงเย็น (ซึ่งการเดินทางใช้เวลา 3 ชม.กว่าๆได้ถ้าจำไม่ผิด) อีกอย่างวันนั้นเองเพื่อนในโครงการที่มาจากจีนชื่อ บอนนี่ ก็ต้องการจะพบผมที่ปรากเช่นกัน เกิดความวุ่นวาย มันอิลุงตุงนังไปหมดสุดท้ายก็เลยตัดสินใจว่าจะต้องเลือกที่ไปเจอบอนนี่แทน ส่วนแบพนั้นผมไม่รู้ว่าจะเสร็จงานเมื่อไหร่หากผมมัวแต่รอแบพก็คงต้องเสียเวลาไปอีกวันกับปรากแน่นอน ซึ่งก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลยจริงๆ
วันนี้ตั้งแต่เช้าผมไปเดินเที่ยวย่านเมืองเก่าและสะพานสวยๆ ของเมืองเวลาครึ่งวันแรกเป็นการชมโบสถ์เก่าๆกับหอนาฬิกาอันเลื่องชื่อแต่น่าเสียดายที่ตอนนี้กำลังถูกบูรณะอยู่ เอาเป็นว่าเมื่อเดินจนจุใจสัมผัสบรรยากาศเมืองน่าหลงใหลนี้แล้ว ผมก็มุ่งหน้าไปโฮสเทลเก็บข้าวของพร้อมกับเดินไปที่สถานีรถไฟเพื่อไปเจอบอนนี่
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in