เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
To all the movies I've watched beforeilysm
Movie Review “Call Me By Your Name"
  • Movie Review

    “Call Me By Your Name

    เรียกผมด้วยชื่อคุณ”




                   ความรู้สึกตอนดูหนังจบคือ ว้าว ไม่มีคำพูดอื่นแล้ว ค่อนข้างพูดไม่ออก ตื้อๆ ได้แต่ ว้าว ทึ่งในการแสดงน้องทิโมธี ทึ่งในพลังของ Soundtrack ทึ่งในเคมีของนักแสดงหลัก และทึ่งในความนุ่มนวลกลมกล่อมแบบเป็นเอกลักษณ์ของ Call me by your name ไม่รู้สิ เราไม่ค่อยดูหนังนอกกระแส หนังชิงรางวัล ซึ่งส่วนมากก็จะติสท์ๆ อินดี้ๆ เข้าใจยาก ก็เลยไม่มั่นใจว่าใช้คำว่า เอกลักษณ์ ได้รึเปล่า ใจนึงแฮปปี้มากๆ ที่อ่านหนังสือมาก่อน เลยเข้าถึงทุกฉากของเรื่องนี้ได้โดยไม่มีปัญหา แต่อีกใจก็ไม่อยากอ่านหนังสือมาก่อนเลย เพราะทำให้เราเสพความงามของหนังได้ไม่เต็มที่ สารภาพว่าเราก็ตั้งความหวังไว้อีกแบบ ถ้าเราไม่เคยรู้เรื่องราวมาก่อน ไม่มีภาพใดๆ ในหัว ความรู้สึกตอนออกจากโรงก็คงเป็นอีกแบบ แต่ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นเราแต่เพียงผู้เดียว กรุณาอย่าถือสา T v T

                    ปล. เคยรีวิวหนังสือเรื่อง Call me by your name ไว้แล้ว สนใจอ่านได้ที่ จิ้ม 



    เรื่องย่อ

             ในหน้าร้อน Oliver วัย 24 ปีมาพักที่บ้านของ Elio เด็กหนุ่มวัย 17  เป็นเวลา 6 สัปดาห์ เพื่อให้พ่อของ Elio ช่วยดูงานเขียนวิชาการให้ ตลอดระยะเวลาสั้นๆ ความสัมพันธ์พวกเขาค่อยๆพัฒนา ความรู้สึกแปลกใหม่ผลิบาน ต่างคนต่างเรียนรู้อะไรบางอย่าง ทิ้งความทรงจำที่จะอยู่กับพวกเขาไปทั้งชีวิต






    ตัวละคร

                    เนื่องจากเคยรีวิวและวิเคราะห์นิสัยตัวละครไปแล้วในเวอร์ชั่นรีวิวหนังสือ ดังน้้นจะเน้นไปที่การแสดงแทน ขอชมก่อนว่าแคสต์บทมาโคตรดี เคมีนักแสดงไม่ธรรมดาจริงๆ พวกเขามีแรงดึงดูดบางอย่างที่จับต้องได้ และน่าแปลกที่ฉากแจะเนื้อต้องตัวเล็กๆ น้อยๆ ทำเราเขินมากกว่าฉาก "Call me by your name and I'll call you by mine" อีก สายตาเวลาเขามองกันชวนให้รู้สึกวาบไหวไปด้วย รู้ว่าในหนังน่ะฤดูร้อน แต่ทำไมนี่ต้องหน้าร้อนตาม ยอมแล้ว T////////////T  สงสัยเพราะเราก็ชอบสองคนนี้เวลาอยู่ด้วยกันอยู่แล้วด้วย นักแสดงทำให้เราเชื่อในด้านพัฒนาการความรู้สึกที่ละเมียดละไม ละเอียดอ่อน

                     อยากชมการแสดงของน้องทิมมี่ หรือน้อง Timothee Chalamet มากๆ ว่า เอาอยู่ ตีบทแตกกระจุย พร้อมรับการเสนอชื่อไปเป็นนักแสดงนำชายในรางวัลต่างๆ แล้ว เราเหลือเชื่อมากเพราะความสัมพันธ์ Elio - Oliver ลึกซึ้งกว่าคำว่ารัก จะถ่ายทอดออกมายังไงไม่ให้ดูเป็นแค่รักครั้งแรก แต่น้องก็ถ่ายทอดมันออกมาได้เงียบแต่ทรงพลัง ในหนังสือ Elio มีความคิดอ่านที่ซับซ้อนมาก การกระทำก็คาดเดาไม่ได้ แต่น้องทิมมี่เข้าใจตัวละครจริงๆ ไม่ว่าจะวิธีการพูด ท่าทาง สายตา ไม่ว่าจะบทที่ต้องดูงุ่มง่ามเงอะงะ บทที่ต้องดูซน บทที่ต้องดูเงียบขรึมเก็บงำ หรือบทที่ต้องอารมณ์ศิลปินหนักๆ ไม่ว่าจะตอนที่รักและอยากได้ หรือตอนที่เจ็บปวดและอยากปล่อย น้องก็สามารถ 'เป็น' Elio ได้ทั้งจิตวิญญาณเลย ขนลุก 


    มีสปอยล์ฉากในหนัง


                      มี 3-4 ฉากที่ชื่นชมการแสดงของน้องทิมมี่จนไม่ไหวแล้ว อยากจะตะโกนออกมาว่า แสดงดีมากเลยโว้ยยยยยยยยยยยย ขนลุกแล้ว หนึ่งในนั้นคิือฉากลูกพีช ตอนอ่านหนังสือมันดูแสดงยากมากมากมากมากมาก เราไม่เข้าใจความคิดหรือกลไกการทำงานของอารมณ์ ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ท่าน้องทิมมี่จับลูกพีช ท่าที่ค่อยๆ บีบออก เสียง สีหน้า (นี่สังเกตละเอียดเนาะ ๕๕๕๕๕) ช่วยให้ฉากที่ว่าดูไม่แปลก ไม่พิลึก ไม่ผิดที่ผิดทาง แต่เข้ากับมู้ดและโทนเรื่องอย่างประหลาด เหมือนทำให้มันเป็นศิลปะและเข้าถึงง่ายขึ้น

                     ฉากโทรหาแม่ที่สถานี เราเหมือนเห็นโลกของ Elio พังเลย แถมการลาจากไม่มีคำว่า "Later!" ให้รู้สึกขำ เอ็นดู เหมือนเวลาที่ Oliver พูดกับคนอื่น แต่ก็ให้ความรู้สึกพิเศษไปอีกแบบ บางทีการไม่บอกลาก็เหมือนเราไม่ได้จากกันเนอะ แต่วินาทีที่ Elio โทรไปหาแม่ แล้วร้องไห้ เราก็รู้สึกไม่ไหวไปด้วย ใช่เลย บางสิ่งถึงจะเตรียมใจแค่ไหนก็ไม่เคยพร้อมหรอก และเรามีความเชื่อของเราว่า Elio ไม่ได้เสียคนรักไป เขาเสียส่วนหนึ่งของตัวเองไปตลอดกาล อย่างที่พ่อของ Elio บอก ความสัมพันธ์ของพวกเขามันพิเศษ พวกเขาเป็นกันและกันไปแล้วในช่วงหนึ่งของชีวิต 

                     อีกฉากทีี่น้องทิมมี่แสดงสีหน้าได้ดีพมาก ก็คือฉากพูดคุยกับพ่อตอนใกล้จบ เรารู้สึกว่าเขาคือเด็กที่กำลังเรียนรู้ กำลังโต หนังวิจารณ์บทบาทของครอบครัวได้ดีนะ ชอบที่พ่อยอมรับและเห็นแก่ความสุขลูกมากกว่าอะไร รู้เลยว่า Elio จะโตมาเป็นคนที่ดีขนาดไหน ในเมื่อมีครอบครัวที่อบอุ่นขนาดนี้

                     ฉากสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือฉากจบ พระเจ้า เราไม่คิดว่าหนังเลือกจบแบบนี้ ดีไปอีกแบบ เราชอบจังหวะที่โคลสอัพหน้า Elio มาก สายตานักแสดงสื่อออกมาเป็นล้าน ทั้งๆ ที่ไม่มีคำพูดประกอบ เหมือนเห็นคำว่าแหลกสลายอยู่บนหน้าน้องเลยอะ อยากเข้าไปปลอบมาก โธ่ แถมมีการแช่หน้า Elio ไว้ขณะขึ้นเครดิต เพลงก็มาอีก ขยี้คนดูสุด จ้า ยอมแล้วจ้า ส่วนจังหวะที่ Elio โดนเรียกชื่อแล้วหันไปก่อนจะตัดจบ เราแอบคิดว่ามันคือการ move on ที่แท้จริง ต่อไปเขาเป็นเพียง Elio เพราะคนที่เรียกเขาว่า Oliver ไม่อยู่แล้ว 

      






    มีสปอยล์ + เปรียบเทียบบางฉากกับในหนังสือ



                      แต่ก็มีประเด็นที่อยากติ ถึงจะชมการแสดงของน้องขนาดไหน แต่ถ้าพูดถึง Elio ในหนังแล้ว วิธีที่หนัง present เขา เหมือนยิ่ง complicate เขายังไงก็ไม่รู้ ทำให้เป็นตัวละครที่เข้าใจยากกว่าในหนังสืออีก orz เพราะว่าไม่มีการบรรยายว่าเขาคิดอะไร รู้สึกอะไร ทำไมแสดงออกแบบนี้ ในแง่หนึ่งคนดูอาจจะอินเพราะไม่มีเสียง narrator มาอธิบาย แต่ในอีกแง่ก็ต้องตีความหนังจนเหนื่อย เราลองถามเพื่อนๆ ที่ไปดูด้วยกัน บางคนบอกว่าบางฉากก็ไม่เข้าใจปฏิกิริยาตัวละครไปเลย เช่น ทำไม Elio ดูโกรธตอนที่ Oliver จับไหล่ (ตามในหนังสือ Elio ค่อนไปทางตกใจ พอโดนแตะตัวแล้วพบว่าเขาต้องการ Oliver เลยรู้สึกหวั่นไหว อะไรประมาณนั้น แต่สุดท้ายทำสีหน้าคล้ายว่าเจ็บกลับไป) ทำไม Elio เสียใจหลังมีอะไรกัน (คือเราเดาว่าเป็นเพราะอยู่ในสภาวะเปลี่ยนผ่าน กำลังค้นหาตัวเอง มันอาจทำให้ Elio ตระหนักใน sexuality ตัวเอง) ทำไม Elio ร้องไห้ตอนฉากพีช (คือในหนังสือบรรยายดีมากๆ ว่าเขารู้สึกซาบซึ้ง ดีใจ ไม่คิดว่าใครจะดีกับเขาได้ขนาดนี้)

                    ส่วนตัวมองว่าหนัง connect ตัวละครกับคนดูไม่ค่อยได้ เราชื่นชมการแสดงออกมาของตัวละคร แต่เราไม่รู้สึกว่ามัน related กับตัวเองเลย ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้สึกลึกซึ้งแบบที่ Elio รู้สึก ไม่ได้แปลว่าคุณค่าหนังลดลงนะ ก็แค่เราถอยห่างออกมาจากหนัง พยายามใช้ความคิดว่าทำไมฉากนี้ตัดตรงนี้ ซูมตรงนี้ ค้างจังหวะนี้ ฯลฯ พอแบ่งสมาธิไปคิดความอินมันก็เลยลด นี่อาจเป็นสาเหตุที่เราไม่ร้องไห้ แค่น้ำตาซึม ทั้งๆ ที่เซ้นซิทีฟมากนะ 

                    แต่เราก็ยังชอบภาพรวมที่หนังสื่อออกมาอยู่ดี รักษาความซับซ้อนของตัวละครได้ดี ทำให้ประเด็น Coming-of-age เด่นชัดขึ้น เพราะเราเห็นแล้วว่า Elio มีความขัดแย้งในตัว มีความปรารถนา มีความเจ็บปวด ความเศร้า ที่ต้องรับมือแล้วก้าวต่อไปให้ได้  


    หมดสปอยล์




    พล็อต

                    จริงๆ ไม่รู้จะพูดอะไรเกี่ยวกับตัวเนื้อเรื่อง เคยรีวิวไปหมดแล้ว ๕๕๕๕๕ ดังนั้นจะไปพูดถึงการเลือกฉาก เลือกตอน มานำเสนอ ขอชื่นชมว่าเลือกเก่ง หยิบจับฉากที่มีผลต่อ conflict หรือแสดงพัฒนาการตัวละครมาหมด ทั้งๆ ที่ตัวนิยายจริงมีแต่ Elio อธิบายความรู้สึก ไม่ค่อยจะมีฉากที่มีผลต่อปมเรื่อง ดังนั้นหนังทำดีที่สุดแล้วในการแปลงนิยายมาให้ย่อยง่ายในเวลา 2 ชม. กว่า แถมจังหวะที่ใส่ฉากเข้ามา มันมีความน่ารักมุ้งมิ้งบางอย่างอีกแหนะ บางฉากก็ขำ อมยิ้ม ฉากจะเศร้าก็เศร้า โอเคเลย


    มีสปอยล์ในหนังและในหนังสือ


                    แต่... แต่สารภาพว่าเฟลที่ฉากที่ชอบที่สุดหายไป ทั้งประโยค "You'll kill me if you stop" หรือฉากต่างๆ ต่อจากตอนจบนั้น เข้าใจผู้สร้างว่ามันยากถ้าเอาตามหนังสือ แต่ฉากที่ตัดไปเป็นฉากที่เราพีคสุด ถ้าทำได้คนดูคงเดินออกจากโรงมาแบบหมดสภาพ ๕๕๕๕๕๕ ตอนอ่านนิยายเราเองร้องไห้ไม่หยุดเพราะ 20 หน้าสุดท้าย ซึ่งถูกตัดออกไปจากหนังหมดเลย เข้าใจความรู้สึกเหมือนเห็นอะไรบางอย่างตายจากป้ะ T_T สำหรับเรา Nostalgia เป็นส่วนประกอบที่เราชอบที่สุดใน Call me by your name และต้องยอมรับว่าผู้กำกับสะท้อนออกมาได้เพียงส่วนเล็กๆ ของ Nostalgia เท่านั้น ไม่ใช่ว่าเราคิดว่ายิ่งใกล้เคียงต้นฉบับยิ่งดีนะ แต่เป็นเพราะมันอิมแพคเราน้อยลง สำหรับบางคนหนังอาจจะขยี้ใจเขา แต่สำหรับเราหนังสือขยี้ใจเรา ประมาณนี้ โปรดเข้าใจ T___T 

                  ในส่วนการดำเนินเรื่อง เราไม่มีปัญหากับการตัดสลับ เปลี่ยนฉาก เพิ่มฉาก แถมฉากที่เพิ่มมาดูเข้ากับเรื่องดี ลื่นไหล ไม่หลุดมู้ด ยิ่งฉากเรทที่ควรจะกระอักกระอ่วน แต่หนังกลับทำให้ดูสมูท สวยงาม เป็นศิลปะ จุดนี้ต้องยอมเขาจริงๆ หนังไฮๆ

                  สุดท้าย ประเด็นที่หนังต้องการสื่อ หลักๆ ก็คือ Coming-of-age ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าผ่านฉลุย มีแอบสะท้อนสังคมนิดนึงตอน Oliver พูดถึงพ่อแม่เขา หรือแม้แต่ Elio ที่คล้ายๆ จะ make fun of คู่รักเกย์ ให้เห็นการไม่ยอมรับกลุ่มคนรักเพศเดียวกันในสังคมสมัยนั้น


    หมดสปอยล์



    ฉาก

                    วิวสวย ภาพสวย มุมกล้องสวย บางครั้งแสงก็สวยมากจนขับเน้นอารมณ์บางอย่าง โดยเฉพาะฉากที่ Elio และ Oliver อยู่ด้วยกัน จะเห็นว่าสองคนนี้สร้างโลกของพวกเขาขึ้นมา แต่ส่วนตัวไม่ชอบการตัดจังหวะบางฉากเหมือนกันนะ ทิ้งแช่อารมณ์น้อยไปหน่อย ปุบปับเหลือเกิน orz เราคิดเรื่องสัญลักษณ์หรือนัยยะการจัดองค์ประกอบฉากไม่ออก ขอปล่อยเบลอแล้วกัน ยอมแพ้ หรือบางทีมันอาจจะแค่ไม่มีนัยยะแอบแฝงใดๆ เลยก็เป็นได้ นี่เพื่อนๆ คุยกันจริงจังว่าแมลงวันในเรื่องเป็นสัญญะหรือไม่  ๕๕๕๕


                     (*มีสปอยล์ฉาก* แต่ชอบฉากเอาสร้อยออกมาใส่ คุยกันเรื่องยิวอะไรแบบนี้ ชอบที่บทสนทนาในเรื่องพยายาม link กับอะไรหลายๆ อย่าง เพลง ศิลปะ ตำนานกรีก เชื้อชาติ ฯลฯ ทำให้เราเห็นมิติที่หลากหลายมากกว่าโรแมนซ์)  


                    สิ่งที่ให้ 10000000/10 คือ Soundtrack ฟังทุกเพลงในนั้นแล้วนะ แต่ทำไมพอมาอยู่ในเรื่องยิ่งเพราะ ยิ่งลงตัว ยิ่งส่งอารมณ์ให้พีคขึ้นไปอีก ประทับใจมากๆ ทั้ง Mystery of Love และ Visions of Gideon เพลงโปรดเราได้เสนอเข้าออสการ์ ไปฟังกันเถอะ ความสวยงามของโลกใบนี้ T v T

                    อีกอย่างที่ต้องขอกราบคารวะตรงนี้คือคนแปลซับ ขยี้เนื้อเพลงกันแบบไม่เหลือเลยนะคะ ๕๕๕๕๕๕๕ ภาษาอังกฤษยังไม่ดราม่าเท่าภาษาไทย และที่สำคัญ คนแปลซับแปลคำว่า Later ได้ดีที่สุดตั้งแต่ที่เคยเห็น word choice มา ขอบคุณจริงๆ ค่ะ เหมือนได้บรรลุแล้วว่า Later ควรจะแปลว่าอะไร 







    ภาพรวม

                    ต้องบอกว่าประทับใจนะ โดยเฉพาะนักแสดง คนนึงก็สื่อความเป็น Elio ได้เพอร์เฟ็คท์ อีกคนก็มีเสน่ห์ Oliver เต็มร้อย ยิ่งฉากที่เล่นคู่กัน ลิสต์ไม่ถูกเลยว่าชอบฉากไหนมากสุด  บรรยากาศในเรื่องสวยงามนุ่มนวล เป็นหนังเนื้อดี เนื้อแพง แต่ก็ยังอิมแพคเราไม่มากเท่าหนังสือ ติดอยู่หนังมันเงียบ ต้องตีความนี่แหละ ซึ่งบางครั้งเราไม่ได้อยู่ในจุดเดียวกัน เราไม่สามารถซึมซับเอาความคิดความรู้สึกของ Elio เข้ามาได้หมด แต่ก็ทำให้เราแฮปปี้ตรงที่หนังเก็บเอาเสน่ห์ของเรื่องไว้ได้เกือบหมด สุดท้ายเราเลยอยู่ในจุดที่ย้อนแย้ง ทะเลาะกับตัวเอง หวีดนะแต่หวีดไม่สุด ประมาณนี้ T v T แต่ถือว่าเป็นหนังที่ควรไปดูอย่างมาก อิ่มกับความลึกซึ้งถึงอารมณ์ของการแสดง ให้ 8.5/10 



    - ilysm.






                  

                




     


                        



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Oom Supaporn (@fb1795257887204)
ขอบคุณรีวิวค่ะ
ในฐานะคนที่อ่านหนังสือมาก่อนไปดูหนังเช่นกัน เราเห็นด้วยกับคุณหลายๆจุดเลยค่ะ ด้วยความที่หนังเราดูเป็นมุมมองของบุคคลที่สาม ซึ่งบางฉากดูแล้วบางคนอาจไม่เข้าใจการกระทำของตัว Elio มากพอด้วย ทั้งที่ในหนังสือใจน้องมีเป็นพันล้านคำต่อการกระทำแม้จะเป็นสิ่งเล็กสิ่งน้อย55555
ดูจบเราเองก็มีคิดเหมือนกันค่ะว่าจริงๆแล้วอ่านก่อนมาดูดีแล้วหรือไม่ ถ้าไม่อ่านคงอินได้พีคมาก แต่อ่านมาก่อนก็ได้เข้าใจทุกองค์ประกอบ มีข้อดีข้อเสียกันไป
ที่คุณบอกว่าหนังมีจุดไม่ connect กับคนดู ตรงใจเรามากค่ะ คงเป็นเพราะเรารับรู้ความคิดความละเอียดอ่อนของ Elio อยู่แล้วมากเกินไปจนทำให้เรารู้สึกเสียดายสำหรับคนดูที่ไม่เคยอ่านหนังสือ
จุดนี้ก็เข้าใจค่ะว่าหนังมีเวลาจำกัด แต่ภาพรวมที่ออกมาก็ประทับใจมากค่ะ เคมีก็ดีจนเขินหน้าร้อน555
สิ่งที่เราชอบอีกอย่างคือหนังช่วยให้รู้สึกได้ถึงตัวตนของ Oliver ชัดขึ้นจากภาพในหนังสือค่ะ ว่าตัวเขามีความสุขหรือเศร้าหรือคิดอะไรอยู่
เราว่าจะไปซ้ำอีกรอบเพื่อเก็บรายละเอียดค่ะ เพราะประทับใจในของตัวหนังด้วย touchใจหลายๆอย่าง และหนังสือเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เรารักมากค่ะ :)
ilysm (@ilysm)
@fb1795257887204 จริงค่ะ เห็นด้วยเลยว่าในหนังเห็นภาพชัดกว่าในหนังสือมากๆ โดยเฉพาะสถานที่ต่างๆ คือสวยงามกว่าที่คิดมากกกก และเอลิโอก็จับต้องได้ด้วย อยากหาเวลาไปดูซ้ำเช่นกัน เราเป็นพวกยิ่งดูซ้ำยิ่งชอบซะด้วย 555555555555
sunnyside1909 (@sunnyside1909)
เราเพิ่งดูจบวันนี้เลยค่ะ ชอบมากๆเลย ตอนแรกว่าจะเขียนรีิวิวเหมือนกันแต่เขียนเองก็คงบรรยายได้ไม่เท่ากับที่รู้สึก เราไม่เคยอ่านหนังสือ อินกับหนังมากกกก ฉากที่ยกมาคือเราชอบทุกฉาก อีกนิดคือเราชอบฉากเท้าแตะกัน
เอลิโอดีมากกก พาเราร้องไห้ อยากจะเข้าไปกอดน้องบอกว่าไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร อย่างนี้เลย TT^TT สายตาของพ่อก็ดีมากค่ะ เราชอบมาก
ilysm (@ilysm)
@sunnyside1909 ลองเขียนรีวิวแก้ไฮป์ดูค่ะ เรื่องไหนอินเราต้องทำตลอดเพราะว่าอยากระบายความอิน ๕๕๕๕๕๕ ชอบฉากเท้าแตะกันเหมือนกัน น่ารักมากๆ จิกเบาะ >///<
Shanikant Nimplum (@fb1370439699674)
ขอบคุณรีวิวมากๆเลยค่ะ ;v; แง ชอบตรงซับมากๆ เหมือนกันค่ะ แปลเพลงได้ touch จนไม่รู้จะอินยังไงแล้ว ชอบฉากสุดท้ายด้วย ฮือ // วันนั้น sensitive มากเลยค่ะ ไปแบบกะเสพอารมณ์อย่างเดียว แล้วก็หลุดไปกับหนังเลย ติ่งทิมมี่แล้ว ทำไมช่างงามทุกมุมมองได้เหมือนรูปปั้นกรีกมีชีวิตขนาดนี้ ฮรุก ;;=;; น่ารักมากๆ แง้ // ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ ?
ilysm (@ilysm)
@fb1370439699674 น้องงามมากจริงๆค่ะ หนังสวยเหมือนกำลังเสพงานศิลปะ ติ่งทิมมี่ไปด้วยกัน มีความสุขกับเรื่องนี้จริงๆ ❤️