Movie Review
“Wonder
ชีวิตมหัศจรรย์วันเดอร์”
เรื่องย่อ
August หรือ Auggie เด็กชายผู้เป็นโรคทางพันธุกรรม Treacher Collins syndrome ตั้งแต่เกิด และผ่าตัดหน้ามาแล้ว 27 ครั้ง จำเป็นต้องเข้าโรงเรียนเป็นครั้งแรก เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่ต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนที่หวาดกลัวรูปลักษณ์ของเขา ทั้งๆ แท้จริง Auggie เป็นเด็กชายตัวเล็กธรรมดาที่หัวใจไม่ได้เล็กไปตามตัว ใช้ชีวิตทั่วไป รักไอศกรีม สตาร์วอรส์ และวิทยาศาตร์ การมาโรงเรียนทำให้ Auggie ได้พบเจอเพื่อนหลายรูปแบบ ที่ล้วนเข้ามาเปลี่ยนชีวิตเขาในแง่ที่แตกต่างกันไป ทั้ง Jack Will, Julian, Summer นอกจากนี้ภาพยนตร์ยังเล่าเรื่องผ่านมุมมองตัวละครอื่นๆ อย่าง Via พี่สาวของ Auggie และเพื่อนของ Via อีกด้วย
ตัวละคร
มีสปอยล์
Auggie เป็นเด็กที่ซื่อตรงต่อความรู้สึกมากในความคิดเรา การแสดงสีหน้าและคำพูดของเขาไม่กี่คำบอกความคิดเขาได้หมด ประโยคที่กระแทกใจเราสุดๆ คือบทสนทนาระหว่าง Auggie กับแม่ Auggie บอกแม่ว่าเขาน่าเกลียด และยังถามว่าอีกว่าการที่เขาหน้าตาแบบนี้จะ "Matter" ตลอดไปเลยเหรอ "Matter" เป็นคำที่ใหญ่สำหรับเรา แปลว่ามันสำคัญกับใครสักคน ทำไมการที่คนๆ หนึ่งหน้าตาเป็นยังไงถึงสำคัญนักล่ะ? ทำไมคนเราจึงตัดสินกันที่หน้าตา จะเห็นได้ว่าเด็กๆ ในเรื่องสร้างข่าวลือเกี่ยวกับ Auggie มากมาย จับตัวแล้วจะติดโรคห่างี้ โดนไฟคลอกหน้ามางี้ ทุกอย่างล้วนโหดร้าย ไม่ต้องพูดถึงเด็กไม่ควรต้องมาเจอ ไม่มีใครควรต้องมาเจอด้วยซ้ำ แต่ประเด็นนี้สะท้อนสังคมได้ชัดเจน ไม่ว่าคุณจะหน้าตาเป็นยังไง คุณถูกตัดสินไปแล้ว และสำหรับโลกที่ฉาบฉวยและมองกันแต่เปลือกใบนี้ Auggie จึงถูกตัดสินง่ายและไวกว่า เพราะ weakness ของเขามัน 'เห็นชัด' กว่า Auggie จึงตอบสนองโลกที่โหดร้ายกับเขามาในเชิงสร้างโลกจินตนาการ คล้ายๆ escaping from reality หลายครั้งเขาจะจินตนาการถึงตัวละครในการ์ตูน หรือจินตนาการว่าเขาสวมชุดนักบินอวกาศ และได้รับเสียงปรบมือจากทุกคน ซึ่งเป็นฉากที่สะเทือนใจแต่สะท้อนการมองโลกในแง่ดีและใจที่ซื่อบริสุทธิ์ของตัวละคร
เราจะเห็นได้ว่า Auggie อาศัยอยู่ท่ามกลางสังคมที่มืดมนแต่เขาเป็นเด็กที่สดใสได้เพราะได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากครอบครัวเสมอแท้จริงแล้วหนังเรื่องนี้ส่งเสริมสถาบันครอบครัวมากๆหนังพยายามทำให้เราเห็นว่าเมื่อพ่อแม่เข้าใจและใส่ใจลูกปัญหาทุกอย่างก็จะแก้ไขได้สุดท้ายครอบครัวมีบทบาทอย่างยิ่งในการทำให้เด็กๆก้าวผ่านอุปสรรคและเติบโตได้อย่างงดงามโชคดีจริงๆ ที่ Auggie มีครอบครัวที่อบอุ่นและรักเขาหมดใจเทียบกับครอบครัวของ Jack Will แม่ของเขามีลักษณะควบคุมลูกแต่ไม่ถึงกับบังคับขู่เข็ญ ดังนั้น JackWill จึงมีแนวโน้มที่จะไม่กล้าแสดงออกมากนักเพราะเขาขัดแม่ไม่ได้ข้อดีคือแม่ของเขามีจิตใจดี ทำให้ Jack Will ทำในสิ่งดีๆแต่ผลร้ายก็อย่างเช่นการที่เขาพยายามเข้ากลุ่มกับJulian และไม่กล้าพอที่จะบอกพวกนั้นว่าเฮ้ Auggie เป็นคนดีนะอย่าแกล้งเขาแต่กลับหัวเราะและคุยสนุกสนานไปด้วยว่า "ถ้าฉันหน้าตาแบบนั้นนะฉันฆ่าตัวตายดีกว่า"ในทางหนึ่ง หนังกำลังวิจารณ์แม่ของ Jack Will ว่าเธอควรลดการบังคับควบคุมเด็กลงเพื่อให้เขาเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
หนังพยายามสะท้อนให้เราเห็นเช่นกันว่าครอบครัวที่ไม่ใส่ใจลูกและตามใจลูกจะปลูกฝังเด็กไปในทางลบครอบครัวของ Julian ดู no ideaมากว่า Julian ประพฤติตัวยังไงที่โรงเรียนแค่อยากรู้ว่าลูกตัวเองเป็นนักเรียนดีเด่น Julian เลยกลายเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก เพราะภาพที่เขาสร้างขึ้นมามันดันทำให้พ่อแม่มีความสุขนั่นเองน่าเศร้าที่ขนาดแม่ Julian รู้ว่าลูกตัวเองทำผิดก็ยังพยายามจะ cover ความผิดนั้นให้พ่อของ Julian พยายามใช้อำนาจในฐานะสปอนเซอร์มาบีบบังคับโรงเรียนสะท้อนให้เห็นว่าทุกวันนี้การติดสินบน การใช้อำนาจบาตรใหญ่ การใช้เส้นสายกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว นี่แค่กับโรงเรียนประถมนะเห้ย!
แต่แน่นอนว่าถึงครอบครัวจะอบอุ่นขนาดไหนถ้าครอบครัวนั้นมีลูก 2 คนไม่มีทางที่เด็กจะรู้สึกว่าได้รับความรักเท่าเทียมกัน กรณี Via จึงเป็นการย้อนมาวิจารณ์พ่อแม่ของ Auggie อีกทีว่าพวกเขากำลังละเลยลูกอีกคนไปส่วนตัวเจออะไรหลายๆ อย่างคล้ายกับ Via ทำให้รักและสงสารตัวละครนี้มากเป็นพิเศษ
ความทุกข์ของ Via ซับซ้อนกว่าความทุกข์ของ Auggie เพราะมันมองไม่ได้มองเห็นได้ง่ายเหมือนรูปลักษณ์ภายนอกและ Via ก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะพูดสิ่งที่คิดต่างจาก Auggie ที่เราได้ฟังเขาระบายกับพ่อแม่บ้างอีกทั้งเมื่อ Via พยายามเปิดใจเล่าปัญหาเธอถูกมองว่าเล็กกว่าน้องชาย เห็นได้จากการที่ Auggie ตะโกนว่า "Don't you ever compare your baddays with mine" ประโยคนี้มาปุ๊บน้ำตาเราไหลพรากเลยการที่ Via ไม่ได้เจอปัญหาเดียวกับAuggie ไม่ได้แปลว่าเธอทุกข์น้อยกว่าความทุกข์คนเราวัดได้ด้วยเหรอ ในเมื่อ Auggie ไม่ใช่ Via Auggie รู้ได้ยังไงว่า bad days ของเธอ not that bad อะ เราทึ่งที่ Via สามารถใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปได้ในครอบครัวที่ไม่เห็นตัวตนเธอเลย
ในฉากที่ Via แสดงละครจบ แล้วพ่อแม่ปรบมือชื่นชม Via มีความสุขมากแต่สำหรับเรามันไม่ได้แก้ปัญหาที่ตัวละครประสบ เธอต้องการความรัก เธอต้องการเป็น someone'sfavorite ซึ่งแม้แฟนเธอจะมาช่วยในจุดนั้นแต่มันไม่มีทางให้ความรู้สึกพิเศษได้เท่าคนในครอบครัวรึเปล่าจนถึงตอนนี้เธอมีตัวตนก็เพราะเธอยืนอยู่บนเวทีพ่อแม่เห็นเธอเพราะเธอประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เพราะเธอเป็นเธอ คิดแล้วก็รู้สึกจุกๆในลำคอ อยากจะร้องไห้อีกแล้ว เจ็บมาก เจ็บมากๆ กับฉากที่ยายบอก Via ว่าเธอเป็นคนโปรดเธอก็แค่อยากเป็นคนที่ได้รับความสำคัญบ้าง แต่ถึงแม้จะเจ็บปวด เราประทับใจที่ Via เป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถันและไร้การปรุงแต่ง(oxymoron แฮะ how can something be both พิถีพิถัน and ไม่ปรุงแต่ง?) คือเธอ real เหลือเกิน ดูจับต้องได้มากๆและก็น่าเอาใจช่วยที่สุดในเรื่องสำหรับเรา
แต่ข้อเสียของหนังคือ บางทีทุกตัวละครก็ดีเกินไป๕๕๕๕๕ เราชอบที่คนนึงรีวิวไว้ว่าหนังเรื่องนี้ oversimplify ปัญหาที่ Auggie หรือตัวละครใดๆ พบเจอเราก็ว่าหนังมีความโลกสวยสดใสไปบ้างตามสไตล์หนังฟีลกู้ด บทจะช่วยก็ช่วยบทจะยอมรับก็ยอมรับ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบางครั้งเราก็แค่ต้องการหนังที่มองโลกในแง่บวกมาบรรเทาความโหดร้ายในโลกจริงๆอีกข้อเสียคือหนังเล่ามุมมองของ Miranda น้อยไปนิด เราเลยไม่เห็นพัฒนาการความรู้สึกเธอ ไม่ convincedว่าเธอคิดยังไงกับ Via กันแน่ตอนที่ยอมให้ Via ขึ้นแสดงแทน เข้าใจสิ่งที่หนังอยากจะสื่อแต่ระยะเวลาน้อยไปที่จะทำให้เราเชื่อ อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมทุกตัวละครมี backgroundและมีความคิดที่น่าสนใจ ชอบนะ
ปล. แต่ขอเลยนะ ขออวยน้องเจคอบหน่อยแสดงเก่งอีกแล้วววววววววววว ประทับใจในตัวเด็กแสนอเมซิ่งคนนี้ประทับใจน้องตั้งแต่เรื่อง Room จน Before I wake แล้วก็เรื่องนี้อีก ยิ่งดูยิ่งเห็นพัฒนาการเราจะรอวันที่น้องได้ออสการ์นะ <3
หมดสปอยล์
พล็อต
นอกจากการนำเสนอเรื่องราวผ่านมุมมองตัวละครแล้วพล็อตก็ไม่ค่อยมีอะไรนะ รวมๆ คือเหมือนดู Auggie ใช้ชีวิต แก้ปัญหาที่เจอดูตัวละครอื่นพยายามจะเข้าใจโลกและหาทาง fit in อะไรประมาณนี้ ตามสไตล์หนังดราม่าฟีลกู้ด เรื่องก็มี conflictมี resolutionทั่วไปเดินเรื่องค่อนข้างเรียบ เนิบนาบ แต่ก็กลมกล่อม ส่วนตัวไม่เบื่อเลยเรื่องมีสีสันเพราะความสดใสของเด็กๆ บางฉากก็ฮาด้วย
จุดเด่นคือหนังซึ้งมากกกกกกกกกกกกกกกกการวางเรื่องดีโคตรๆ มีหลายโมเม้นที่เราอินไปด้วยเพราะเราก็เจอหรือบางทีก็แค่สงสารตัวละคร หรือบางทีก็โมโหที่ตัวละครต้องเจอปัญหา ที่แน่ๆคือเราร้องไห้ทั้งเรื่อง ๕๕๕๕๕๕ น้ำตาซึมแล้วซึมอีกคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะโควทที่ตัวละครพูดมันโดน มันอิมแพค และมีความสวยงามเป็นเสน่ห์ของหนังประเภทนี้เลย
ในส่วนของแนวคิด แก่นเรื่องหนังเรื่องนี้แตะหลายประเด็นมาก ท่ามกลางบรรยากาศ Coming-of-age การหาตัวตน การยอมรับตัวเองของ Auggie ก็ยังมีประเด็นครอบครัว ประเด็น bullyingประเด็น lookism(เพิ่งรู้จักศัพท์นี้ เจ๋งอะการตัดสินคนจากมาตรฐานด้านรูปลักษณ์งี้) การสร้างจินตนาการและอยู่ในโลกใบนั้นก็ชวนให้เรานึกถึง depressionอยู่หน่อยๆ ด้วย แต่ที่สนใจเป็นพิเศษคือ bullying
อย่างที่บอกไปแล้วว่า"...ไม่ว่าคุณจะหน้าตาเป็นยังไง คุณถูกตัดสินไปแล้วและสำหรับโลกที่ฉาบฉวยและมองกันแต่เปลือกใบนี้ Auggie จึงถูกตัดสินง่ายและไวกว่า เพราะ weaknessของเขามัน 'เห็นชัด' กว่า..." ลองคิดในมุมกลับกัน แต่ละคนล้วนมี weaknessอยู่ในตัวหลายครั้งที่ใครไม่พอใจเราและนินทาเราเพราะ weakness บางอย่าง เช่นฐานะ น้ำหนัก นิสัยสุดท้ายแล้วเราทุกคนเป็น Auggie ในทางใดทางหนึ่งเราถูกตัดสิน แต่ในกรณีของ Auggie ช่างรุนแรงจริงๆ และเรียกน้ำตาเราได้ เพราะ Auggie ถูกตัดสินในสิ่งที่เขาเลือกไม่ได้ ถูกตัดสินในสิ่งที่เขาเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจเปลี่ยน ถ้าโลกใบนี้ทุกคนหน้าตาเหมือน Auggie ก็คงไม่โดนแกล้ง โดนล้อ จึงกล่าวได้ว่าที่ Auggie โดนกลั่นแกล้งต่างๆ นานา เพราะเขา 'แตกต่าง' ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของ bullying
ประเด็น bullying เหยื่อมักจะแตกต่างจากคนอื่น อ้วนบ้าง ผิวดำบ้าง เป็นเกย์บ้างและอย่าง Auggie ก็คือเรื่องของหน้าตาเพราะแตกต่างจึงน่ากลัวสำหรับคนบางคนพวกเขาเลยตอบโต้ความแตกต่างนั้นด้วยการทำให้ตัวเองดู 'เหนือ' กว่าเหยื่อในโลกยุคปัจจุบันเราพยายามขับเคลื่อนการยอมรับความแตกต่างและสิทธิมนุษยชน ประเด็น bullyingจึงไม่ชอบธรรมอย่างมาก ในหนังครูใหญ่ takes bullying very seriously ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี
สปอยล์
หนังเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกมีความสุข รู้สึกเต็มอิ่มแม้จะตาบวมแต่ก็ฟิน เพราะหนังให้ความหวังเราว่าโลกยังมีคนแบบตัวละครในเรื่องมีพ่อและแม่ที่เข้าใจ มีพี่สาวที่ประสบความสำเร็จและเจอความรักดีๆ หรือเพื่อนดีๆมีคนที่ไม่ตัดสินคนจากรูปลักษณ์อย่าง Jack มีคนที่ยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้องอย่างครูใหญ่ เป็นเรื่องที่เหมาะกับการไปดูแล้วดื่มด่ำเก็บเกี่ยวความรู้สึกดีๆกลับมามากอะ เวลาเกือบสองชั่วโมงสร้างแรงบันดาลใจให้เราอยากออกไปทำดีและบอกเด็กๆทุกคนว่า you're loved นะ (แต่ลงท้ายก็นอนกลิ้ง ออกไปกินบุฟเฟ่ต์และกลับมานั่งเขียนรีวิวด้วยหน้าง่วงๆ กลับสู่อีหรอบเดิม แหะๆกู้โลกไว้วันพรุ่งนี้ค่อยเริ่ม)
ฉาก
ภาพสวยปกติ ไม่มีอะไรให้ติหรือชม สารภาพว่าเราโฟกัสกับเรื่องมากเสียจนลืมดูสัญลักษณ์ (ถ้ามี) การใช้มุมกล้องแสงสีอะไรตั่งต่าง ลืมหมด เราเอาสมาธิไปดื่มด่ำหนังหมดแล้ว ฮือ๕๕๕๕ บางทีอาจจะแค่ไม่มีอะไรให้วิเคราะห์ นึกไม่ออกเลย blank เว่อร์
แต่ก็ชื่นชมการตัดต่อเอาตัวการ์ตูนมาใส่ หรือให้ Auggie ใส่ชุดนักบินอวกาศ ให้บรรยากาศเด็กๆ มีไฟฝันมาก น่ารักดี เรื่องใช้โทนสว่างค่อนข้างเยอะ ดูแล้วรู้สึกสบาย ผ่อนคลาย อิ่มเอมใจ เข้ากับมู้ดและโทนเรื่องดีมาก
ภาพรวม
เป็นหนังดีๆ เหมาะกับช่วงคริสต์มาสและอากาศเย็นๆ การไปดูหนังเรื่องนี้จะเป็นการส่งท้ายปีที่สวยงามและอบอุ่น เหมือนได้ดื่มช็อกโกแล็ตร้อนตอนหิมะตกแล้วพบว่ามีมาชเมลโล่วในถ้วยด้วย ฮืออออ ฟีลกู้ด เราดูแนวนี้ไม่ค่อยบ่อย นานๆ ดูที ก็เลยประทับใจค่อนข้างมาก อยากให้ได้ไปดูจริงๆ ไปสัมผัสความมหัศจรรย์และน่ารักของเด็กน้อย Auggie เรื่องราวที่น่าคิดตาม และประเด็นสังคมที่สะท้อนออกมาได้นุ่มนวล inspiring สุดๆ เอาไป 9/10
- ilysm.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in