Movie Review
“Maze Runner 3: The Death Cure"
ไข้มรณะ”
เรื่องย่อ
Thomas, Newt, Frypan ออกตามหา Minho ที่ถูกองค์กร Wicked (WCKD) จับไป พวกเขาได้พบกับ 'The last city' ที่เป็นเขตปลอดภัยจากไข้วาบ และเป็นศูนย์ทดลองหลักขององค์กร ขณะที่พวกเขาหาทางช่วยเพื่อน Teresa ที่กลับไปทำงานให้กลุ่ม Wicked ก็พยายามหาเซรุ่มมาช่วยรักษาผู้ติดเชื้อ
รีวิวฉบับย่อ: No spoilers
เรื่อง: พล็อตไม่ซับซ้อน เดาได้ แต่สนุกจริงจัง ได้ยินว่าต่างจากในหนังสือพอสมควร แต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกแปร่งเลยสำหรับเรา บทเขียนมาเหมาะสมแล้ว เป็น 2 ชมครึ่งที่เต็มอิ่ม ไม่เบื่อ ไม่เนิบ อาจดึงอารมณ์ไม่สุด แต่ก็สะกิดต่อมน้ำตาแหละน่า
ตัวละคร: เป็นภาคที่ทำให้รักทุกคนมากขึ้น อยากกอดทุกคนไว้ แม้แต่ Brenda หรือ Teresa ที่เราไม่ได้ชอบเป็นพิเศษ ก็รู้สึกว่าผูกพัน ไม่อยากให้จบเลย การแสดงออกทางสีหน้าสายตาของทุกคนโคตรดี แต่มีบ้างที่งงว่าเอ๊ะ ตกลงตัวละครนี้ต้องการอะไร ทำอะไรนะ อาจส่งผลให้รู้สึกตงิดๆ ใจได้
ฉาก: มุมกล้องดี โทนสีดี จังหวะดีอะ ชอบที่ได้ลุ้น ได้ตื่นเต้น เหมาะจะดู IMAX มาก
ความคิดเห็นส่วนตัว: ชอบอะไรหลายๆ อย่างในภาคนี้ มันอิ่มในความรู้สึก แต่คิดว่าถ้าคาดหวังพล็อตมากอาจจะผิดหวัง ถ้าไม่ได้ดูภาคก่อนๆ มา ไม่รู้เรื่องแน่นอน เพราะไม่มีเท้าความ จุดเด่นสำหรับเราอยู่ที่ฉากแอ็คชั่นและความรู้สึกที่หนังเรื่องนี้ส่งผ่านมาถึง เมสเสจหนังเรื่องดิสโทเปียก็ดี (อธิบายเพิ่มในส่วนรีวิวฉบับเต็ม) หนังทำหน้าที่ของตัวเองได้สำเร็จ เราประทับใจมาก ถ้าพูดแบบติ่งก็คือ แกรรรรร๊ ดูรอบเดียวไม่ได้จริงๆ แงงงงงงง อยากไปซึมซับทุกรายละเอียด ชอบอะ ไฮป์ๆๆๆๆๆ ผูกพันกับตัวละครมากกว่าเดิมอีกว้อยยยยย เครียด ทำไมต้องจบ T w T *panic attack*
รีวิวฉบับเต็ม
ตัวละคร
การกระทำตัวละครเข้าใจได้ และมีหลากหลายมิติอยู่นะ ที่เห็นชัดๆ ก็คือ Teresa แน่นอนว่าเราคาดเดาไว้แล้วว่าเธอจะทำอะไรบ้าง จะช่วยฝ่ายไหน ฯลฯ ระหว่างที่เดาก็ต้องยอมรับว่าเริ่มเข้าใจ Teresa ขึ้นมาทีละนิดๆ เพราะคนเรามีวิธีทำเพื่อคนอื่นหลายวิธี เธอก็แค่เลือกวิธีที่แตกต่างจากเพื่อนในเขาวงกต แต่ถามว่าเรารักเธอเต็มร้อยไหม ก็ยังเผื่อใจไว้เจ็บ (เอ๊ะ๕๕๕๕๕) สารภาพว่าชอบฉากใหญ่ยิ่งฉากหนึ่งของเธอมากๆ แบบไม่มีเหตุผล T v T มันแค่ดูสมบูรณ์ ดูสมจริง ดูโหดร้ายเข้ากับธีมเรื่องดี ตัวละครอื่นๆ ที่โผล่มา ก็ทำให้เรารู้สึกเอ็นดู ผูกพัน แม้แต่ Brenda ที่ดูภาคก่อนแล้วไม่ชอบ ตอนนี้ก็รู้สึกว่า เหยยยย เธอก็เท่นี่หว่า เป็นภาคที่ทิ้งเราไว้กับความทรงจำดีๆ กับตัวละครอย่างแท้จริง
เรื่องการแสดง รู้สึกว่าภาคนี้แคสต์เดอะเมซของเราดึงอินเนอร์ออกมาปล่อยของกันแบบเต็มที่ Dylan นี่รู้สึกอะไรไม่ต้องพูดอะ แค่สายตาก็เอาอยู่ Dialogue ต่างๆ ก็ลงตัว เสียอย่างเดียว เฉลี่ยบทไม่ดีเท่าภาคก่อนหน้า ตัวละครไหนบทน้อย ขีดอารมณ์ที่จะแสดงออกได้ก็เหมือนโดนจำกัดไปด้วย
*มีสปอยล์*
แต่มีคนนึงที่ขอชมหน่อยเถอะ Thomas Brodie Sangster ของนุ้งงงงงงงงงงงงงง แงงงงง ไม่คิดว่าจะได้เห็น Newt เวอร์ชั่นเป็น Crank จริงๆ แบบเชื่อหมดใจเลยว่าเป็น Crank สีหน้า สายตา ท่าทาง น้ำเสียง ทำให้หนึ่งในฉากพีคของเรื่องยิ่งเข้มข้นรุนแรงขึ้นไปอีก ส่วนตัวยังชอบแบบในหนังสือมากกว่า เพราะ Dialogue ส่ง ฉาก Please, Tommy, please เลยเหมือนจู่ๆ ก็โผล่มา ยังไม่ทันบิ๊วเลย ๕๕๕๕๕ แต่ช่วงที่ต่อสู้กันในเวอร์ชั่นหนังนี่ส่งให้คนดูอินใช้ได้เลยนะ ได้ยินเสียงสะอื้นในโรง ส่วนเราจะเหลือเหรอ กำทิชชู่แน่นมาก น้ำตาก็ไหลไม่หยุด ๕๕๕๕๕๕ นักแสดงรับส่งอารมณ์กันได้เป็นอย่างดี เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ฉากนี้ intense แบบไม่ได้มาเล่นๆ กราบที่ไม่ได้เปลี่ยนบทให้ Newt รอดแต่อย่างใด ถึงเราจะใจพัง แต่อยากเห็นฉากนี้มากที่สุดในภาคแล้ว ปล. แอบงอนนิดนึงที่ไม่ได้พูดเรื่องขา Newt เลย ทำไมก๊านนนนนนนนนนนนน สำหรับเรานั่นก็ฉากสำคัญ)
อีกจุดหนึ่งที่อาจจะนับว่าเป็นข้อเสีย ไม่รู้ว่าตงิดใจไปเองเพราะนักแสดงหรือเพราะบท แต่มีบางจังหวะที่เราไม่เข้าใจการกระทำตัวละคร ฮือ ๕๕๕๕๕๕ เช่น ฉากที่ Newt โดนแทง ไม่รู้เรามองไม่ทันหรือหนังตัดไวไปนิด ทำให้ยังงงๆ ว่า Thomas พลาดแทงเพื่อน หรือ Newt จงใจให้แทงตัวเอง ถ้าเป็นอย่างแรกจะรู้สึกวอทเดอะฟัคเบาๆ ฉากที่ Teresa ตาย ก็คาใจนิดนึงว่าเธอเลือกที่จะตาย หรือหนีไม่ทัน ตอนแรกเหมือน Teresa ตัดสินใจอะไรได้สักอย่าง แต่พอกล้องแพนกลับมา จังหวะที่เธอตกลงไป ก็มีการเอื้อมมือไปหา Thomas ด้วย ถ้าเตรียมใจจะตายก็ไม่น่าจะเอื้อมมือ หรือเราคิดเยอะไป๕๕๕๕๕๕ คาดว่าต้องจัดรอบ 2 รอบ 3 ไปเก็บรายละเอียดจุดยิบย่อยพวกนี้ให้หมดเลย
แต่โดยรวมแล้ว ตัวละครก็ยังเป็น function ที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ ในภาคน้ี้ ตัวละครรักษาอารมณ์ความเป็นมนุษย์ได้ดี มีสีสันด้วยต่อให้เรื่องจะหม่นแค่ไหน ชอบฉากชูนิ้วกลางของ Thomas มากจ้า เรียกได้ว่าตัวละครก็ไม่ได้เสียตัวตนจากภาคก่อนๆ เลย แค่เติบโตขึ้น เรียนรู้มากขึ้น มีเป้าหมายมากขึ้น ตามธรรมดาของชีวิต
หมดสปอยล์
พล็อต
ไม่รู้ว่าในหนังสือเป็นยังไง แต่ส่วนตัวคิดว่าวางพล็อตไว้โอเค คงความสนุกไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีฉากที่เบื่อ ทำให้คนดูเกิดอารมณ์ร่วม ทำให้ภาคนี้ครบรสชาติมากสำหรับเรา
บางคนบอกว่าภาคนี้พล็อตไม่สมเหตุสมผล ก็มีบ้าง ถึงจะปะติดปะต่อตั้งแต่ต้นเรื่อง conflict ไปจนถึง climax และการคลี่คลายเรื่องได้ แต่ยอมรับว่าหนังดำเนินไวมาก สมองเราเราตามไม่ทัน หนังยัดดีเทลใส่มาให้เยอะเกิน และไม่คลายปมที่คนไม่อ่านหนังสือย่อมค้างคาใจ ไม่รู้เพราะเขาพยายามตัดให้หนังสั้นแล้วรึเปล่า แถมยังมีช่องโหว่อีกมากที่ไม่รู้หนังไม่อธิบายหรือเลินเล่อจริงๆ อย่างไรก็ตาม เรารู้สึกว่าดำเนินเรื่องลื่นไหล สนุกกว่าภาคอื่นๆ ได้ลุ้นตั้งหลายฉาก
ถ้าถามว่าแล้วพล็อตว้าวไหม ก็ตอบได้เลยว่าไม่ว้าว ไม่ได้ปัง พล็อตเดาทางได้ หนังแอคชั่นปกติมาก ถ้าใครตามหนังแนวดิสโทเปียด้วยก็ยิ่งรู้สึกเฉยๆ ดังนั้น ถ้าจะไปดูหนังเอาพล็อต เอาความแปลกใหม่ หรืออยากเห็นหักมุมเจ๋งๆ เรื่องนี้ก็ไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ ลูกเล่นมีไม่เยอะ
มีสปอยล์
หลังจากพูดถึงประเด็นน้ำหนักของพล็อตและการดำเนินเรื่องไป ก็มีอีกส่วนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือบรรยากาศและโทนของเรื่อง เป็นที่รู้กันในด้อมว่าถ้าจะไปดูต้องพกผ้าเช็ดหน้า พกทิชชู่อะไรก็ว่าไป ๕๕๕๕๕๕ เราก็เสียน้ำตาไปเป็นลิตร ขอพูดถึงฉากที่เค้นอารมณ์เราออกมาสุดๆ มีหลายฉากที่ชอบเลย เช่น ฉาก Minho ทะเลาะกับ Teresa, ฉาก Newt โกรธ Thomas, ฉาก Newt ตาย, ฉาก Teresa จูบกับ Thomas ฯลฯ แต่ฉากที่รีดน้ำตาเราออกมาได้มากที่สุดคงเป็นฉากสุดท้าย จดหมายของ Newt ให้ความรู้สึกเหมือนสายลมยามบ่ายพัดเอื่อยๆ รู้สึกดีแต่เหงา พอรู้ว่าคนเขียนไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว แต่ใจเขายังคงตาม Thomas ไปทุกที่ และความเป็นเพื่อนที่เหนียวแน่นก็ทำให้เราอบอุ่นหัวใจจนกลายเป็นเศร้า ทำไมต้องพรากคนที่ดีขนาดนี้ไปจากฉันนนนนนนนนนนนนน ทำไมมมมมมมมมมมมมม ใจร้ายมากอะ Newt เป็นตัวละครโปรดเรา เป็น Glue สำหรับชาวทุ่ง เป็นคนที่พร้อมจะสนับสนุนทุกคนไปจนสุดทาง คิดแล้วก็อยากจะร้องไห้อีกวันละหลายๆ รอบ อันนี้คือฟิลเตอร์แบบไม่ชิป ถ้าฟิลเตอร์แบบชิปคือ โฮวววววววววววววววว มีชั่วแวบท่ี่นึกว่านี่คู่พระนาง๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ มีการส่งท้ายกันก่อนจากด้วย
นอกจากความสนุกสนาน สอดแทรกด้วยหลากหลายอารมณ์ มิตรภาพ ความรัก การเติบโต และการสู้เพื่ออะไรสักอย่าง เรื่องนี้ก็วิพากษ์ประเด็นสังคมไปด้วยในตัว Maze Runner ถูกจัดอยู่ในวรรณกรรมแนว Distopia ที่ยึดโยงกับ concept โลกถูกควบคุม มีกลุ่มคนที่มีอำนาจเหนือคนอื่น ผู้คนไม่มีสิทธิ์ในตัวเอง คิดจะกบฎ ฯลฯ พอเป็นเวอร์ชั่นหนัง เลยจัดการขยี้ปมที่เป็นเหมือนแก่นรากของ Maze Runner ด้วยการฉีกหน้ากากกลุ่มผู้มีอำนาจ Big brother ทั้งหลาย เช่น คนอย่างแจนสัน สุดท้ายก็ทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อช่วยเหลือใครคนอื่นอย่างที่พวกเผด็จการชอบอ้าง หรือแสดงให้เห็นว่าการถูกกดอยู่ใต้อำนาจนั้นเป็นอย่างไร เช่น ฉากที่ Minho ถูกทรมานต่างๆ เพื่อให้ได้เซรุ่ม ซึ่งมองยังไงก็เป็นการทรมานมนุษย์ แม้จะเอายาไปช่วยในทางที่ดี แต่สิทธิ์ในการเลือกว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยคนอื่น ควรเป็นของ Minho ไม่ใช่เกิดจากความไม่เต็มใจ แล้วอ้างว่าช่วยเหลือมนุษยชาติ อ้างว่าคนส่วนน้อยต้องเสียสละ อ้างโดยใช้ propaganda ฝันเฟื่อง อะไรแบบนั้น
เราชอบที่เรื่องนี้เลือกข้างชัดเจนดี สุดท้ายฝ่ายกบฏก็ชนะ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพวก Thomas ที่สุดท้ายลงหลักปักฐานสำเร็จ หนีจากพวกเผด็จการพ้น หรือจะเป็นกลุ่ม Lawrence ที่ถล่มองค์กร Wicked ราบคาบ ระเบิดสะใจมาก ฉากนั้นให้ความรู้สึกของสงครามโลกหน่อยๆ มุมกล้อง สี เสียง ทุกอย่างดูรุนแรงและน่ากลัวไปหมด เหมือนตอนผู้คนธรรมดาโดน Wicked ยืงปืนใส่ ตายเป็นหลายสิบศพงี้ เหมือนสะท้อนว่าสังคมแบบ Dystopia จะนำเราไปสู่การบ่อนทำลายกันและกันในที่สุดอย่างนั้นรึเปล่า
สรุปแล้ว เรื่องนี้บันเทิง เดินเรื่องฉับไวหลายมุมมอง สนุกดี และยังแฝงนัยยะการเมืองบางอย่างที่ โอเค อมตะโคตรๆ จะกี่ยุคสมัย แนวคิด Dystopia ก็ยังเป็นสิ่งที่เราควรจะคิดทบทวนมากๆ และตอบตนเองให้ได้ว่า เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในสภาพสังคมแบบนั้นรึเปล่า? เพราะเราไม่ได้อยู่ใน Utopia แน่นอนล่ะชาวไทย...
ฉาก
*มีสปอยล์*
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย ไม่ใช่คนชอบหนังแอคชั่นนะ ดูน้อยด้วย แต่รู้สึกได้ว่ามุมกล้องสวย เท่ จังหวะช้าเร็วเลือกมาดีแล้ว ช่วงไหนสโลว์โมชั่น ก็ดูมีเหตุผลอะ ไม่ได้เอะอะยัดๆ เสียง ซาวด์เอฟเฟค ก็กระหึ่มดี มันส์ ที่ชอบเป็นพิเศษคือโทนสีภาพ ดูนัวๆ ลงตัว เข้ากัน ยิ่งฉากที่ Newt ตาย มุมกล้องถ่ายแบบตามยาวนิดนึง (นึกคำไม่ออก แง) มองแล้วรู้สึกเหงาๆ เศร้าๆ เพราะ Space มันกว้าง แต่พอฉากตอนจบ ก็เลือกโทนสีสว่าง ให้ฟีลแบบฟ้าหลังฝน ตอนกลางคืนก็โทนส้ม ดูอบอุ่นปลอดภัย จึงจัดว่างานภาพเราไม่มีอะไรจะติ
*หมดสปอยล์*
ภาพรวม
ความรู้สึกหลังดูหนังจบคือ ว้าว นั่งสะอื้นฮักๆ ต่ออีกแป๊บด้วย นั่งมองแอนด์เครดิต นั่งรออ่านชื่อนักแสดงที่รักทุกคนบนจอ ไม่น่าเชื่อว่าจะดำเนินมาถึงภาคสุดท้ายแล้ว ทุกอย่างตื้อๆ อึนๆ ในใจ แต่เรามีความสุขมากเลยนะ ภาคนี้เป็นหนังที่ทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุดเรื่องหนึ่งสำหรับเรา แน่นอนว่าข้อติก็ยังมีให้เห็น แต่เทียบกันแล้วถือว่าถูกความประทับใจกลบมิด ตั้งเป้าจะไปดูรอบสองรอบสาม ตราบเท่าที่เวลาอำนวย อยากให้ทุกคนได้ไปสัมผัสหนังเรื่องนี้ในโรงด้วยเช่นกัน สุดท้ายนี้ก็ขอจบแบบนางงาม ด้วยการขอบคุณด้อมเมซที่เป็นครอบครัวสำหรับเราเสมอ หนังเรื่องนี้ไม่เคยจบในความรู้สึกเราเลย <3
8.5/10
- ilysm.
(Newtmas is beyond the word real, you know.)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in