เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
From Duomo to Manhattan - 2 | Harry Potter / MoMA / The Vessel


  • 22 June 2021



    Hello New York






    แสงสุดท้ายของวันทอแสงเป็นประกายระยิบระยับเมื่อตกกระทบกับตึกระฟ้าของมหานครนิวยอร์ก เมื่อลองมานั่งคิดทบทวนดูแล้ว เราจำไม่ได้เลยว่าได้เห็นภาพดังกล่าวนี้เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อไร เพราะดูเหมือนกับว่าโลกก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของโควิดนั้นเป็นความทรงจำสีจางที่เลือนลางและห่างไกลเหลือเกิน


    สารภาพตามตรงว่าก่อนที่จะมาทริปมิลาน-นิวยอร์กนี้ เราเตรียมตัวไม่ถูกว่าจะต้องทำอะไรบ้าง จริงอยู่ที่เมื่อช่วงปีที่ผ่านมาเรายังเป็นคนโชคดีที่ยังมีงานและได้มีโอกาสเดินทางไปนู่นมานี่บ้างประปราย ดังที่ได้หยิบยกมาเล่าสู่กันอ่านในตอนก่อน ๆ แต่ทุกครั้งก็ไม่ได้ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาที่ไหนไกลเกินกว่าขอบรั้วของโรงแรมที่พัก (หรือบางทีก็วนเวียนอยู่แค่ในห้องนอนสี่เหลี่ยมเท่านั้น) ฉะนั้นสิ่งที่เตรียมไว้ในกระเป๋าก็มีแค่ชุดนอน ชุดทำงานกับของใช้ส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น



    มันเลยเป็นความรู้สึกแปลกใหม่พอสมควรตอนที่เรากดดูสภาพอากาศในมิลานและนิวยอร์กเพื่อเตรียมว่าจะเอาเสื้อผ้าแบบไหนติดกระเป๋ามาบ้าง หรือกดกูเกิลเพื่อค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ(และเปิดทำการ)ว่าในทริปนี้เราอยากไปที่ไหนและไปทำอะไรบ้าง หรือแม้กระทั่งตอนนี้ที่กำลังนั่งรถผ่าน Lower East Side แล้วเห็นว่าผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาบนถนนไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยแต่อย่างใด สิ่งที่พบเห็นในมิลานตลอดจนวันนี้ที่มาถึงนิวยอร์กทำให้เรารู้สึกว่าโลกปกติหลังจากโควิดมันสามารถเป็นจริงขึ้นมาได้ในอนาคต (ซึ่งพูดกันตรง ๆ ว่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใกล้หรือไกลกันแน่ เพราะในขณะที่พิมพ์อยู่นี้ ทางสหรัฐอเมริกาก็ขอความร่วมมือให้สวมหน้ากากอนามัยอีกแล้ว) แต่อย่างน้อย ๆ วันนี้เรามีความหวังเล็ก ๆ ในใจว่าวันหนึ่งข้างหน้าเราจะกลับมาใช้ชีวิตกันเหมือนเดิมได้อีกครั้ง



    ด้วยรัก…จากทะเลทรายในตอนนี้จึงเป็นเหมือนแคปซูลกาลเวลาที่เราจะขอเก็บรวบรวมเอาความรู้สึกนึกคิดและสิ่งที่ประสบพบเจอในมหานครนิวยอร์กในช่วงที่ทางการประกาศให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบทั้งสองโดสแล้วไม่จำเป็นจะต้องใส่หน้ากากอนามัยในพื้นที่สาธารณะมาเล่าสู่กันอ่านว่า ณ วันนี้ที่โลกทั้งใบเคลื่อนที่ไปข้างหน้าและนานาอารยประเทศแจกจ่ายวัคซีนที่มีคุณภาพให้แก่ประชาชนเรียบร้อยแล้ว การใช้ชีวิตของผู้คนจะเป็นอย่างไรกันบ้าง มีอะไรในนิวยอร์กที่เปลี่ยนไปบ้างไหม และโลกแบบ Semi-Post Covid เป็นอย่างไร ตามมาอ่านกันได้เลย :)


    (ขอฝากไว้นิดนึงด้วยว่าเรามีโอกาสได้ไปอัดพอดแคสต์ชวนคุยเกี่ยวกับแนวโน้มของโลกหลังโควิดว่าจะเป็นอย่างไร ตามไปฟังกันได้ที่รายการเสาเสาเสาของช่องสามโคกเรดิโอ ตอนที่ 207 ได้นะคะ)









  • 23 June 2021




    Harry Potter New York⚡️

    (หากอยากรับฟังเสียงที่เล่าแบบอรรถรส สามารถแวะเวียนไปฟังได้ใน ด้วยรักฯ พอดแคสต์ นะคะ และเพื่อเพิ่มบรรยากาศในการอ่านในตอนนี้ เราอยากให้กดเปิดฟังยูทูปอันนี้ประกอบไปพร้อมกันค่ะ >>จิ้ม)




    แม้ว่าอาการ jet lag จะทำให้เราตื่นมาตั้งแต่ตีสามและนอนไม่หลับกระสับกระส่ายเกือบตลอดคืน แต่เมื่อนาฬิกาปลุกดังตอนตีห้าครึ่ง เราก็ลืมตาปิ๊งขึ้นมาด้วยความสดชื่นแจ่มใส เปิด audible เพื่อฟัง Harry Potter and the Philosopher’s Stone (Mr. and Mrs. Dursley, of number four, Privet Drive, were proud to say that they were perfectly normal, thank you very much) พร้อมกดเครื่องชงกาแฟให้ทำงานและเตรียมตัวออกจากห้อง



    สาเหตุที่เราตื่นเช้าผิดจากปกติมากขนาดนี้เป็นเพราะจุดหมายแรกในทริปนี้ของเราคือการไปที่ร้านแฮร์รี่เปิดใหม่ใจกลางมหานครนิวยอร์กนั่นเองค่ะ จริงอยู่ที่ร้านเปิดทำการตอนสิบโมงเช้า แต่จากการอ่านรีวิวใน TripAdvisor มาก่อนล่วงหน้า พอตเตอร์เฮดทุกหมู่เหล่าล้วนรีวิวเป็นเสียงเดียวกันว่าขอให้เจ้าจงแหกขี้ตาตื่นมาตั้งแต่เช้าเถอะ เพราะจะต้องมาสแกน QR code เพื่อรับบัตรคิว virtual line ที่ใช้ระบบมาก่อนได้ก่อน ยิ่งมาไว ยิ่งได้เข้าเร็ว!









    เวลาหกโมงครึ่งพอดีเป๊ะ เราวิ่งออกมาจากสถานี 23rd Street และยืนต่อแถวกระพริบตาสู้ลมหนาวกับอากาศ 14 องศาเซลเซียส รายล้อมไปด้วยเหล่าพอดเตอร์เฮดที่แต่ละคนจะมีเครื่องแต่งตัวบางอย่างที่บ่งบอกถึงความเป็นติ่งแฮร์รี่ในตัว ไม่ว่าจะเสื้อยืดลายเครื่องรางยมทูต กระเป๋าลายฮอกวอตส์ หรือพันผ้าผันคอสีประจำบ้านของตัวเอง (แน่ล่ะ เจ้าพวกบ้านเขียวมีจำนวนมากที่สุด ช่างภาคภูมิใจในความสลิธีรินของตัวเองเสียเหลือเกิน) ส่วนเราก็ใส่เสื้อเชิร์ตสีฟ้ามา (ง่า เรเวนคลอแหละนะ) และสะพายถุงผ้าที่ขายใน British Library ตอนที่มีนิทรรศการ Harry Potter: A History of Magic ค่ะ (แกก็ไม่ต่างจากพวกบ้านเขียวเท่าไรนักหรอกเฟ้ยยยย)



    เราว่าตัวเองมาตั้งแต่เช้าแล้วนะ แต่ก็มิวายยังมีคนที่มาเช้ากว่าเราอยู่เยอะมากเลยทีเดียว ถ้าเทียบให้เห็นภาพก็พอจะอนุมานได้ว่าหัวแถวนั้นตั้งอยู่หน้าร้านหม้อใหญ่รั่ว ส่วนท้ายแถวที่เรายืนอยู่นี้คือปลายสุดของตรอกน็อกเทิร์น โอ้โห คุณพี่ที่อยู่หัวแถวนั้นมาตั้งแต่กี่โมงหรือคะ คุณพี่มายังไง นั่งซับเวย์มาแบบหนู นั่งอูเบอร์ หรือว่าคุณพี่มีกุญแจนำทาง ขี่ไฟร์โบลต์ เสกคาถาหายตัวมาหรือว่าใช้ผงฟลู คือสู้ชีวิตเกิ๊นนนนน



    และในที่สุดก็ถึงเวลาเจ็ดโมงเช้า คุณพี่พนักงานรักษาความปลอดภัยก็ยกเอาป้าย QR code มาตั้งและทุกคนก็ควักมือถือออกมาสแกนเพื่อรับบัตรคิว โดยในเว็บไซต์มีให้ระบุจำนวนคนที่จะเข้าร้านพร้อมกัน (สูงสุด 6 คนต่อหนึ่งคิว) และหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้ เนื่องจากหากใช้เบอร์โทรศัพท์ของ USA ทางร้านจะส่ง SMS ไปแจ้งเตือนเวลาเข้าร้านให้ฟรีค่ะ แต่เราใช้เบอร์ของ UAE ก็ต้องกะเวลากลับมาที่ร้านเอง ฉะนั้นการมาตั้งแต่เช้านั้นถูกต้องแล้ว เพราะรู้แน่ว่าเราได้เข้าตอนเวลาร้านเปิดชัวร์ ๆ ไม่ต้องมานั่งรอหน้าร้านอีกรอบนึง










    ด้วยความหนาวและเหนื่อย เราตัดสินใจนั่งซับเวย์กลับที่พักไปงีบเอาแรงนิดหน่อยและกลับมาหน้าร้านตอนเวลาเกือบ ๆ จะสิบโมงซึ่งตอนนี้ทางร้านปิดไม่ให้รับบัตรคิวเพิ่มแล้วเพราะคนเต็มไปจนถึงตอนสามทุ่มเรียบร้อย เหตุที่ต้องมีการรับบัตรคิวล่วงหน้าและเปิดเป็นรอบ ๆ แบบนี้ก็เพราะเป็นหนึ่งในมาตรการลดความแออัดและรักษาระยะห่างของลูกค้าภายในร้านค่ะ นอกจากนี้ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ภายในร้าน ยกเว้นตรงโซนร้านขนมที่ถอดได้เฉพาะตอนที่รับประทานอาหารค่ะ






    ใจเต้นตึกตัก นับถอยหลังรอเวลา
    เจ้าหน้าที่เรียกคิวที่ 1-47 ก่อนและตรวจดูบัตรคิวที่ได้
    เราได้ลำดับที่ 33 แต่ยืนเข้าแถวเป็นคนที่ 3 ค่ะ รีบมาก ตื่นเต้นง่ะ




    ก่อนจะเข้าร้านให้ดาวน์โหลดแอป Harry Potter Fan Club เอาไว้ด้วย (อย่าลืมเปลี่ยน region เป็น USA ก่อนนะเออ) เพราะภายในร้านมีเกมให้เล่นด้วยค่ะ!

    เพราะเมื่อเข้าร้านไปแล้ว หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าแต่ละมุมของร้านมีป้าย Enchanted Keys ซ่อนอยู่ให้เราวิ่งตามหาเพื่อสแกนและปลดล็อกเนื้อหาข้อมูลต่าง ๆ เช่น behind-the-scenes facts เกี่ยวกับโลกเวทมนตร์ค่ะ





    เมื่อพร้อมแล้วก็เข้ามาในร้านกันเล้ยยยยย










    โซนด้านหน้าของร้านจะมีเจ้า Fawkes นกฟินิกซ์คอยต้อนรับทุกคนอยู่ค่ะ สินค้าที่ขายอยู่ตรงนี้จะเป็น Exclusive Products ที่มีขายเฉพาะที่นี่เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า แก้วน้ำ สมุด ปากกา สารพัดสิ่งที่มีคำว่า Harry Potter New York แปะหราอยู่ นับว่าเป็นโซนที่ทุกคนให้ความสนใจ เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ต้องหยิบโปสการ์ดหรือเข็มกลัดไปคนละชิ้นสองชิ้นแหละน่า

    นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่เกี่ยวกับ MACUSA (The Magical Congress of the United States of America — ชื่อยาวไปนะ) อีกมากมาย สมกับเป็น Flagship store ของทางฝั่งยูเอสเสียจริงเพราะเมื่อเทียบกับตอนนู้นที่ไป Universal Studio ที่ Orlando ก็ยังไม่มีของ MACUSA เยอะแยะเท่าไรเลย แต่ทั้งนี้อาจเป็นเพราะตอนนั้นแฟนทาสติกบีสต์(ที่เป็นแฟนฟิค หึ!)ยังฉายแค่ภาคแรกเท่านั้น


    และสินค้าที่พิเศษใส่ไข่มังกรฮังการีหางหนามก็คือ Golden Snitch Wand ไม้กายสิทธิ์ที่ปลายด้านจับเป็นลูกสนิชสีทองสดใส มีขายแค่ในนิวยอร์กนี้เท่านั้นนนนนนน











    พูดถึงไม้กายสิทธิ์แล้วก็เข้าสู่โซนที่สองที่มีไม้กายสิทธิ์ให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไม้กายสิทธิ์ของตัวละครจากในแฮร์รี่และแฟนทาสติกบีสต์ (แต่แก๊ง cursed child — ที่เป็นแฟนฟิค หึ! ไม่มีขายนะคะ ต้องไปที่ร้าน Platform 9 3/4 ที่สถานีคิงส์ครอส ลอนดอนเท่านั้นเด้อ)


    ทีนี้ ความแตกต่างของไม้กายสิทธ์ที่ขายที่นี่กับใน Universal Studio ทุกที่คือ

    1. ไม่มีไม้ custom ให้เลือก เช่น ไม้กายสิทธิ์ที่ทำจากไม้มะฮอกกานี ยาว 12 นิ้วครึ่ง ใส่เกล็ดนางเงือกอะไรแบบนี้ จะมีไม้ของตัวละครกับ exclusive wand อีกนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้น

    2. ถ้าไปซื้อใน Universal Studio จะมาพร้อมกับแผนที่ตัวกวนที่บอกว่าจุดไหนในโซนแฮร์รี่ที่สามารถเอาไม้กายสิทธิ์ไปร่ายคาถาได้ เช่น กระเป๋าเดินทางตรงรถไฟฮอกวอตส์เอ็กซ์เพรสสามารถไปโบกนิดสะบัดหน่อย เสกคาถาวิงการ์เดียม เลวีโอซาได้ (กรุณาอ่านออกเสียงให้ถูกต้องแบบเฮอร์ไมโอนี่) แต่ที่นี่ไม่มีโซนแบบนี้ให้เล่นค่ะ

    3. หากซื้อไม้กายสิทธิ์ที่นี่ สามารถใช้บริการสลักชื่อเราลงไปได้ด้วยค่ะ มีค่าบริการนิดดดดหน่อย









    ตรงส่วนของร้านขายไม้กายสิทธ์นี้มีอ่างเพนซิฟที่รายล้อมไปด้วยไม้กายสิทธิ์จากตัวละครต่าง ๆ ในแฮร์รี่/ฟทตบ พอเราเอามือไปจับปุ๊บ ก็จะปรากฎภาพของเจ้าของไม้ออกมาพร้อมกับความทรงจำของเขาหรือเธอค่ะ (ซึ่งก็คือคัตซีนในหนังนั่นแหละ แต่เราขอผ่านเพราะทุกคนเอามือจับสิ่งนี้กันหมด แอลกอฮอล์ในมือนี่สั่นระริก) 










    และไฮไลต์ตรงกลางร้าน นั่นคือโซน Atrium of Awe ที่มีบันไดวนเป็นปั้นกริฟฟินด้านหน้าทางเข้าห้องทำงานของดัมเบิลเดอร์ ซึ่งตัวรูปปั้นตรงกลางจะแรนดอมหมุนวนไปมา สร้างความฮือฮาให้กับเหล่านักเรียนฮอกวอตส์ในร้านได้เป็นอย่างดี













    “It matters not what someone is born but what they grow to be”

















    ถัดมาจะเป็นโซนร้านขายขนมฮันนี่ดุกส์ค่ะ ซึ่งก็มีขนมให้เลือกเยอะแยะมากมาย ที่เด่น ๆ ก็คือกบช็อกโกแลตพร้อมการ์ดพ่อมดแม่มดให้สะสม เยลลี่รวมเม็ดทุกรสของเบอร์ตี้บอตส์ หรือคางคกเปปเปอร์มิ้นต์ (ความรู้สึกของเราคือใน Universal Studio มีให้เลือกเยอะกว่าแหละ) แต่ที่พิเศษก็คือมีบัตเตอร์เบียร์แบบขวดขายด้วยค่ะ ฮูเร่!








    ซึ่งขวดบัตเตอร์เบียร์ใน Harry Potter New York นี้เป็นดีไซน์พิเศษที่มีขายเฉพาะภายในร้านนี้เท่านั้น ซึ่งได้แรงบันดาลใจในการออกแบบจากตราสัญลักษณ์ของ MACUSA และธงชาติของสหรัฐอเมริกาค่ะ


    และโซนเด็ดที่ห้ามพลาดก็คือด้านหลังของร้านขนมจะเป็น Butterbeer Bar ค่ะ ที่นี่มีขายบัตเตอร์เบียร์สดฟองฟูนุ่มและบัตเตอร์เบียร์ไอศกรีมด้วยนะเออ ว้าวมากกกกกกกกกกกกกก (เราแนะนำให้เข้าร้านมาปุ๊บ โปรดพุ่งตัวเข้ามาที่บาร์ก่อนเลยค่ะ เพราะหลังจากร้านเปิดไปได้ซักพักแล้วคิวจะยาวมากกกกกก)




     ป้ายเมนูขยับเลื่อนขึ้นลงได้ด้วยแหละ
    นอกจากบัตเตอร์เบียร์แล้วก็มีเครื่องดื่มอื่น ๆ เช่น ชาและกาแฟขายด้วยนะคะ








    ราคาสิบดอลล์ แถมแก้วเป็นของที่ระลึกฟรี
    ภายในร้านมีจุดให้ล้างแก้วด้วยค่ะ สะดวกดีมากเลย







    ส่งตรงมาจากอังกฤษเลยนะ!









    นอกจากจะมีเครื่องดื่มแล้ว ที่ Butterbeer Bar แห่งนี้ก็มีขายขนมกุ๊บกิ๊บน่ารักในธีมแฮร์รี่อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเค้กที่ทำเป็นรูปไม้กายสิทธิ์ ไม้กวาด หรือคุกกี้ทีี่ทำเป็นเสื้อสเวตเตอร์ H และ R แบบที่เราซื้อมาค่ะ





    ถัดมาก็เป็นโซนป่าต้องห้ามและบ้านของแฮกริดค่ะ มุมนี้จะขายตุ๊กตุ่นตุ๊กตาสัตว์มหัศจรรย์ต่าง ๆ หมวกคัดสรร และไม้กวาด ตลอดจนของเล่นต่าง ๆ เช่น LEGO และ Funko Pop! ซึ่งเมื่อมีของเล่น ก็แน่นอนว่ามุมนี้นั้นได้รับความสนใจจากเด็ก ๆ เป็นจำนวนมาก เป็นจุดที่เต็มไปด้วยลูกเด็กเล็กแดงกระจองอแงอยากได้ตุ๊กตาเต็มไปหม๊ด เราเลยไม่ได้เก็บภาพมาฝากกัน ต้องขออภัยไว้ ​ณ ที่นี้ด้วยนะคะ



    ฝ่าฝูงเด็กเพื่อชะแว้บไปด้อม ๆ มอง ๆ ดูน้องโบวทรัลเกิลมานิดนึง








    และก็มาถึงอีกจุดถ่ายรูปประจำร้าน นั่นก็คือตู้โทรศัพท์สีแดงทางเข้ากระทรวงเวทมนตร์ค่ะ ตรงโซนนี้มีเสื้อผ้าเด็กเล็กวัยเบบี๋ขายด้วยนะ แต่ที่เราว้าวมาก ๆ คือไม่ใกล้ไม่ไกลกันนี้มีลิฟต์ที่ประตูทำเป็นรูปเตาผิงธรรมดา แต่ถ้าลิฟต์เปิดแล้วจะเห็นว่าด้านในเป็นไฟสีเขียว ก็คือใช้ผงฟลูในการเดินทางไปชั้นใต้ดินของตัวร้านนั้นเอง (ถ่ายคลิปมาไม่ทัน แง)








    จากนั้นเราก็เดินบันไดวนลงไปชั้นล่างของร้านกันต่อ โซนแรกที่เจอเลยก็คือ Things That Must Be Named ที่เราสามารถเอาชุดเครื่องแบบนักเรียนฮอกวอตส์ สมุด ไม้กายสิทธ์ หรือเครื่องประดับที่ซื้อในร้านมาสลักปักชื่อของเราได้ค่ะ







    นอกจากนี้ยังมีขายเป็นเซตกระเป๋าเดินทางสำหรับนักเรียนประจำบ้านต่าง ๆ อีกด้วย สิ่งที่จะได้ก็คือหีบกระเป๋าเดินทาง ไม้กายสิทธ์ประจำบ้าน เนคไทด์ ผ้าพันคอ หมวก สมุด ปากกา นกฮูก ขนมจากร้านฮันนี่ดุกส์ และไม้กายสิทธิ์ประจำบ้าน พร้อมทั้งจดหมายจากฮอกวอตส์ที่จ่าหน้าซองเป็นชื่อเราเขียนด้วยหมึกสีเขียวมรกต โฮฮฮฮ อันนี้แหละที่อยากได้มากมากมากมากมากมาก เป็นจดหมายที่เรารอคอยตั้งแต่ตอนอายุ 11 ปี จนกระทั่งตอนนี้ที่พอจะทำใจได้ว่าเราคงเป็นสควิิปแหละมั้งเลยไม่ได้จดหมายเชิญให้ไปเรียน








    จากนี้ไปเป็นช่วงความในใจหลังจากกรี๊ดกับจดหมาย — ข้ามไปก็ได้จ้า

    สารภาพว่าตอนเด็ก ๆ เราเคยเอาชุดสูทกับเนคไทด์ของคุณตามาใส่เป็นชุดนักเรียน ทำไม้กายสิทธ์ของตัวเองโดยการเอาตะเกียบมาทาสีโปสเตอร์ดำ ไปซื้อปากกาสีเขียวเพื่อเอามาเขียนจดหมายจากฮอกวอตส์ด้วยลายมือของตัวเอง เล่นเว็บบอร์ดที่ทำเป็นโรงเรียนฮอกวอตส์และส่งการบ้านทุกครั้งเพื่อทำแต้มให้บ้านตัวเอง เว็บไหนเจ๊งไม่อัปเดตก็เปลี่ยนเว็บใหม่ หรืออ่านหนังสือเรียนครบทุกเล่มก่อนเปิดเทอมแบบเฮอร์ไมโอนี่ (ที่เลิกทำไปตอนเรียนมหาลัย แหะแหะ) และสิ่งที่ยังคงทำอยู่จนถึงทุกวันนี้ในช่วงอายุ 28 ปี คือเขย่าขวดน้ำยาโชคดีที่ได้พร้อมกับหนังสือเล่มหกก่อนที่จะไปทำอะไรที่รู้สึกว่าต้องใช้ดวง หรือในวันทีหดหู่จะนึกถึงคาถาไล่ผู้คุมวิญญาณแล้วเดินไปหยิบช็อกโกแลตในตู้เย็นมากิน


    แฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นความทรงจำที่ดีไม่กี่อย่างในวัยเด็กของเราที่ยังเต็มไปด้วยความฝัน เวลาที่รู้สึกทุกข์ใจหรือเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก เราจะหยิบเอาแฮร์รี่มาอ่านเพื่อหนีจากโลกแห่งความจริงที่ต้องเผชิญอยู่ตรงหน้า สำหรับเด็กคนหนึ่งที่มีความคิดว่าอยากจะออกจากบ้านตั้งแต่ป.4 นั้น หนังสือเล่มนี้กับหมาของครอบครัวที่ชื่อว่าบาร์เดนได้ช่วยอะไรเราไว้ได้หลายครั้งหลายคราเหลือเกิน


    ฉะนั้น แฮร์รี่ไม่ใช่แค่ชุดหนังสือ 7 เล่มแต่คือเซฟโซนสำหรับเรา ยังนึกถึงตอนที่แอบคุณพ่ออ่านหนังสือโดยแอบเอาไฟฉายเล็ก ๆ ซ่อนไว้ตรงเตียงแล้วเอาผ้าห่มคลุมโปงเพื่ออ่านแฮร์รี่ตอนกลางคืน (คุณพ่อไม่สนับสนุนให้อ่านหนังสืออ่านเล่น อ่านได้เฉพาะหนังสือเรียนเท่านั้น เขาบอกว่ามันไร้สาระ ควรเอาเวลาไปอ่านในสิ่งที่มีประโยชน์มากกว่า ยังดีที่คุณแม่ของเราสนับสนุนให้อ่านหนังสือตลอดมา ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ)

    คือเราโตมาพร้อมกับหนังสือชุดนี้จริง ๆ อะ และถ้าโลกนี้ไม่มีแฮร์รี่ พอตเตอร์ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะโตมาเป็นคนแบบไหน ยังจะเป็นคนที่มีความฝันอยู่ในหัวใจอย่างที่เป็นอยู่เสมอมาอย่างในวันนี้รึเปล่าก็ไม่รู้ พอมาเห็นจดหมายนี้แล้วมันแบบ โฮฮฮฮฮ น้ำตาปริ่มมมมมมม ถ้ามีตังค์ฉันจะกลับมาซื้อไปใส่กรอบแปะฝาบ้านพร้อมกับตั๋วรถไฟฮอกวอตส์เอ็กซ์เพรส










    ถัดไปก็เป็นโซน Dark Art ค่ะ ธีมการตกแต่งคือห้องแห่งความลับแหละ มีนากินีขนาดยักษ์โผล่หัวมาทักทายด้วย ของที่ขายตรงนี้หลัก ๆ แล้วก็เป็นเสื้อผ้าค่ะ มีเสื้อลายเครื่องรางยมทูต หน้าซิเรียส แบล็ก และตรามาร แก้วน้ำ ถุงเท้า พร้อมทั้งตุ๊กตาอาราก๊อกที่นุ่มนิ่มน่ารักที่ต่างจากตัวจริงลิบลับเลยค่ะ












    ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนั้นก็เป็นมุมหนังสือ ที่นี่มีแฮร์รี่ พอตเตอร์ทุกเล่มทั้งที่เป็นหนังสือปกติปกแข็ง ปกอ่อน และหนังสือภาพที่ออกมาใหม่ บวกกับ Cursed Child และฟทตบ (ที่เป็นแฟนฟิค) ตลอดจนหนังสือเกี่ยวกับไม้กายสิทธิ์ สัตว์วิเศษและถิ่นที่อยู่ ประวัติศาสตร์ควิชดิชแบบที่เป็นเวอร์ชั่นหนังสือเรียน และสมุดเครื่องเขียนค่ะ













    และแล้วเราก็มาถึงโซนสุดท้ายของร้านกันแล้วค่ะ ตรงนี้คือ House of MinaLima ซึ่งเป็นแกลอรี่เล็ก ๆ ที่รวบรวมงานออกแบบกราฟฟิกและสิ่งของที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ ทั้งหน้าหนังสือพิมพ์เดลี่ พรอเฟ็ตและเดอะควิบเบลอร์ จดหมายจากฮอกวอตส์ถึงแฮร์รี่ ตั๋วรถไฟ หรือสาแหรกแผนผังตระกูลแบล็ก









    ความจริงแล้ว นอกจากส่วนที่เป็นร้านขายของทั้งหมดที่ได้เล่ามานี้ ก็ยังมีโซนหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นก็คือ VR Experience ที่มีให้เล่นเฉพาะใน Harry Potter New York เท่านั้นค่ะ


    อันแรกคือ Harry Potter: Chaos At Hogwarts โดยเราจะรับบทเป็นนักเรียนที่ทำตั๋วรถไฟหายที่สถานีคิงส์ครอส ดอบบี้เลยมาช่วยให้เราเข้ามาในโรงเรียนได้ (ความจริงคือเขียนจดหมายแล้วส่งนกฮูกมาที่โรงเรียนก็ได้มะ) และเราจะต้องผจญภัยไปกับการค้นหาความลับต่าง ๆ ที่ซ่อนอยู่ภายในปราสาทฮอกวอตส์ค่ะ








    ส่วนอันที่สอง คือ Harry Potter: Wizards Take Flight เกาะบนไม้กวาดให้มั่นแล้วตามแฮกริดบินวนชมทัศนียภาพอันหน้าตื่นตารอบปราสาทในมุมสูง สู้กับผู้เสพความตายกลางกรุงลอนดอน และกลับมาสู่ฮอกวอตส์โดยสวัสดิภาพ








    น่าเสียดายที่ตอนเราไปนั้น โซน VR นี้ยังไม่เปิดให้เข้าไปเล่นค่ะ ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าจะเปิดขายบัตรในช่วงกลางซัมเมอร์ (กรกฎาคมเป็นต้นไป) ล่าสุดเราไปเช็คดูในเว็บไซต์ก็ปรากฎว่าเต็มย๊าววววววไปเล้ยยยยยย อาจจะมี No Show บ้างแต่คนรอคิวเสียบก็เยอะมาก ๆ อยู่ดี ฉะนั้นควรวางแผนจองล่วงหน้าไปก่อนนะคะ







    เราใช้เวลาอยู่ในร้านทั้งหมดประมาณหนึ่งชั่วโมงเต็มค่ะ แม้ไม่ได้เล่น VR แต่ก็เดินวนไป เวียนมา ซื้อของจุ๊บจิ๊บ ละเลียดจิบบัตเตอร์เบียร์ และชั่งใจว่าจริง ๆ แล้วเราเป็นเด็กเรเวนคลอหรือฮัฟเฟิลพัฟมากกว่ากันนะ ยิ่งโตขึ้นยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนบ้านแบดเจอร์ขึ้นมาทุกที๊ทุกทีแหะ จะซื้อผ้าพันคอสีเหลืองดีมั้ยนะ แต่ที่บ้านก็มีผ้าพันคอน้ำเงินอยู่แล้ว (ซึ่งสรุปว่าไม่ได้ซื้อมาค่ะ ยังคงคิดว่าตัวเองเป็นเด็กบ้านนกอยู่แหละมั้งนะ…)

    และถึงแม้ว่าสินค้าภายในร้านจะไม่ค่อยต่างจากใน Universal Studio หรือที่ Platform 9 3/4 มากเท่าไรนัก แต่ก็ได้บรรยากาศของการกลับไปสู่โรงเรียนฮอกวอตส์ที่ชวนให้รู้สึกอิ่มเอมใจค่ะ : )








  • MoMA - Museum of Modern Art ?



    หลังจากออกมาจากร้านแฮร์รี่แล้ว เราก็เดินวนเวียนอยู่แถว ๆ นั้น นั่งจิบกาแฟในสตาร์บัคที่ขึ้นป้ายกว่าหากได้รับวัคซีนครบสองโดสแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องใส่หน้ากากอนามัย (ซึ่งทุกคนที่เข้าร้านไปไม่ใส่เว้ย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนข้างหน้าและคนที่ต่อหลังเรานั้นเขาฉีดครบจริง ๆ แล้วรึเปล่า เราเลยถอดเฉพาะตอนที่ดื่มกาแฟเท่านั้น) และไปซื้ออุปกรณ์ศิลปะและสีน้ำที่ร้าน Blick Art Material ค่ะ








    ระหว่างทางที่เราเดินไปเดินมาในมหานครนิวยอร์กนั้นเป็นความรู้สึกที่ดีมากเนื่องจากไม่จำเป็นจะต้องสวมหน้ากากอนามัยอีกต่อไป ฮูเร่! แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัย เราเองก็ยังเว้นระยะห่างจากคนเดินถนนอื่น ๆ พอสมควรและตอนที่รอสัญญาณไฟข้ามถนนก็ดึงหน้ากากมาปิดไว้เหมือนกันค่ะ และหากเราเข้าไปซื้อของหรืออยู่ภายในตัวอาคารที่เป็นพื้นที่ปิด ก็ยังต้องสวมหน้ากากอนามัยตามเดิมนะคะ











    Daniel Smith ที่ราคาถูกกกกกกก กรี๊ดดดดดดดดดด
    เดี๋ยวว่าง ๆ จะ swatch สีป้ายยาในไอจี @studionaiipah นะคะ
    ไปกดติดตามกันได้ (พื้นที่โฆษณา)








    ในช่วงบ่าย เราไม่รู้ว่าจะไปไหนดีเลยเข้าไปเดินเล่นใน MoMA ที่อยากมาตั้งน๊านนานมาแล้วแต่ทุกทีที่ทำไฟล์ทมานิวยอร์ก เรามีเวลาอยู่ที่นี่ไม่ถึง 24 ชั่วโมงเลยค่ะ หักลบเวลาเวลานอนเพราะร่างสลายก็หายไปเกินครึ่งแล้ว ครั้นจะค่อย ๆ มาเดินละเลียดดูงานศิลปะเกรงว่าจะไม่คุ้มค่าเพราะเวลามีจำกัด วันนี้สบโอกาสดีมีเวลาเพียงพอ เลยตีตั๋วเข้ามาซะเล้ยย











    ขอออกตัวก่อนว่าเราไม่ใช่นักเรียนศิลปะ ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับงานศิลปะม๊ากมากขนาดนั้น แต่ก็มีศิลปินในดวงใจที่ชื่นชอบผลงานของเขามาก ๆ มานานแล้ว นั่นก็คือ Piet Mondrian เจ้าของงานศิลปะแบบนามธรรมที่สร้างสรรค์ผลงานด้วยการใช้เส้นแนวตั้งและแนวนอน ประกอบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้าและร้อยเรียงกันด้วยการจัดองค์ประกอบของภาพและการใช้แม่สีพื้นฐานในการสร้างจุดนำสายตานั่นเองค่ะ

    บางคนก็ไม่อินกับงานแบบนี้ แต่เราชอบมาก เป็นการลดทอนของลดทอนของลดทอนที่แท้! ฉะนั้นการมา MoMA ในวันนี้เป็นเหมือนกับภาคต่อจากตอนที่ไปเดินวนเวียนและกรี๊ดงานของ Piet ใน Stedelijk Museum ที่อัมสเตอร์ดัมนั่นเอง















    Composition No. II, with Red and Blue













    Tableau I: Lozenge with Four Lines and Gray













    Composition in White, Black, and Red











    Broadway Boogie Woogie
    ถนนบรอดเวย์ที่ระยิบระยับของมหานครนิวยอร์ก
    เพลงแจ๊ส และชีวิตใหม่ในสหรัฐอเมริกา







    และนอกจากผลงานของ Piet แล้ว ภายใน MoMA ก็ยังเก็บรวบรวมและจัดแสดงผลงานชื่อดังของศิลปินมากมาย อาทิ




    The Starry Night แฟนแวนโก๊ะต้องถูกใจสิ่งนี้!









    Georges-Pierre Seurat - Evening, Honfleur
    ภาพนี้เราว้าวมาก จากจุดสีประกอบรวมกันกลายมาเป็นภาพและกรอบของรูป









    Henri Rousseau - The Dream
    ความฝันของหญิงสาวและป่าของเธอ











    Hope, ll - Gustav Klimt







    และแล้วก็มาถึงผลงานของศิลปินที่เราชื่นชอบอีกคนหนึ่งตั้งแต่สมัยม.ปลาย ขอเกริ่นก่อนว่าด้วยความที่เราเรียนศิลป์-ฝรั่งเศส ช่วงตอนม.5 จะต้องเรียนเกี่ยวกับวัฒนธรรมของฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ รวมไปถึงเรื่องของงานศิลปะด้วย

    ฝีแปรงที่แสนพริ้วไหวเป็นธรรมชาติและโทนสีชวนให้ใจสงบทำให้เราสะดุดตากับภาพดอกบัวและสวนแสนรักของ Claude Monet ค่ะ ยิ่งได้มาเห็นงานของจริงก็ยิ่งว้าวเพราะแต่ละภาพนั้นมีขนาดที่ใหญ่มาก และหากพินิจพิจารณาดูชิ้นงานใกล้ ๆ จะพบว่าพื้นผิวของผ้าใบนั้นถูกวาดทับและแต่งแต้มด้วยสีน้ำมันหลายต่อหลายชั้น ซึ่งกว่าจะวาดจนเสร็จสมบูรณ์ต้องใช้เวลาวาดนานเป็นเดือนหรือปี ซึ่งไม่ต่างกับการที่ค่อย ๆ เฝ้าฟูมฟักปลูกต้นไม้ดอกไม้ ต้องคอยรดน้ำ ให้ปุ๋ย จนกว่าจะผลิดอกออกผลให้ได้ชื่นชม เราเลยคิดว่างานของ Monet นั้นสะท้อนถึงตัวตนและความรักความชอบของเขาออกมาจริง ๆ ค่ะ



    Agapanthus | 1914 - 1926









    Water Lilies | 1914 - 1926













    Water Lilies | 1914 - 1926
    (นั่งมองภาพนี้ตรงเก้าอี้แล้วรู้สึกเหมือนกำลังมองใบบัวอยู่ในบึงน้ำจริง ๆ ค่ะ)









    จากนั้นเราก็เดินดูผลงานศิลปะอื่น ๆ ที่น่าสนใจค่ะ แต่ตอนนี้ต้องรีบแล้วเพราะว่า MoMA เปิดทำการถึงแค่ห้าโมงเย็นเท่านั้น ฮือ

    แวะไปเซลฟี่กับรูป Fulang-Chang and I ของ Frida Khalo
    (ที่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันนั้นก็มีภาพ The Persistence of Memory ของ Salvador Dalí จัดแสดงอยู่ด้วย)







    Painting - Francis Bacon
    ชวนกระอักกระอ่วนใจดี
    ศิลปะไม่ใช่แค่เรื่องงความงามเพียงอย่างเดียว
    แต่เป็นหนทางแห่งการ express ความรู้สึกนึกคิดของศิลปิน










    Campbell’s soup cans - Andy Warhol
    จุดเริ่มต้นของ Pop Art
    (ตอนนี้คือเริ่มวิ่งไปดูไปแล้วเพราะเขาเริ่มปิดแต่ละโซนและโฟลว์คนออก)












    Surviving Active Shooter Custer - Hock E Aye Vi Edgar Heap of Birds
    อันนี้คือแบบ ประทับอยู่ในใจอะ เป็นงานที่อิมแพคกับใจเรามาก











    what looks good today may not look good tomorrow - Michel Majerus




















    จริง ๆ แล้วใน MoMA มีผลงานศิลปะที่น่าสนใจอีกเยอะแยะมากมายทีเราไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ชมกัน และเป็นที่น่าเสียดายเนื่องจากเรามีเวลาเดินไม่ได้นานมาก เลยไม่ได้ชมจนครบ เอาเป็นว่าหากมีโอกาสกลับมานิวยอร์กอีกครั้งก็จะมาเดินชมให้หน่ำใจไปเลยค่ะ ;)










  • 24 June 2021



    The Vessel ?


    โปรแกรมในช่วงเช้าของวันนี้คือการมาเยี่ยมชม The Vessel งานสถาปัตยกรรมกึ่งประติมากรรมรูปทรงคล้ายรวงผึ้ง จุดเช็คอินใหม่ของมหานครนิวยอร์กที่ตั้งอยู่กลาง Hudson Yards โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณริมแม่น้ำฮัตสันและฝั่งตะวันตกของแมนฮัตตัน โดยพื้นที่บริเวณดังกล่าวนี้มีขนาดรวมกันทั้งหมด 70 ไร่ แบ่งสันปันส่วนเป็นโซนอาคารสำนักงาน ย่านที่อยู่อาศัย ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนพื้นที่สาธารณะค่ะ




    เต้นท์ที่เห็นด้านหน้าคือคลาสปั่นจักรยานกลางแจ้งแหละ
    ว้าวมากกกกกกก ทุกคนออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านแบบปกติสุขมันเป็นแบบนี้นี่เอง











    เนื่องจากสถานการณ์โควิดที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ รวมถึงข่าวคราวที่ไม่สู้ดีเท่าไรนักของตัวอาคาร (เดี๋ยวเล่านะ) ทำให้มีการจำกัดจำนวนของผู้เข้าชมเป็นรอบ ๆ ค่ะ ดังนั้นหากจะมาเช็คอินที่นี่ต้องเข้าไปซื้อตั๋วเข้าชมในเว็บไซต์ hudsonyardsnewyork ก่อนนะคะ


    การเข้าชมจะแบ่งคนเป็น 2 กลุ่ม คือ มาแบบเป็นกลุ่มก้อน ไปก็ไปด้วยกันนะ ไปคนเดียวไม่เอาเหอ
    หากคุณเป็นคนจำพวกนี้ก็สามารถเข้าจองคิวในเว็บไซต์ได้เลยค่ะ โดยใส่จำนวนคนเข้าไปแล้วระบบจะเคาะให้ว่าจากจำนวนคนในกรุ๊ปนี้จะสามารถเข้าชมได้ในเวลาใดบ้าง หรือถ้าขี้เกียจจองก่อนก็สามารถ walk-in เข้าไปได้เลยค่ะ ทั้งนี้หากมาหลายคนจะไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าชมนะคะ


    แต่ถ้าคุณเป็นคนเหงา ๆ เดินทางมาชมแบบเดี่ยว ๆ เที่ยวคนเดียวแบบคูล ๆ จะต้องเข้าไปจองรอบเข้าชมในเว็บไซต์ก่อนค่ะ โดยตั๋วจะแบ่งเป็นสองแบบ คือ ตั๋วฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งหมดไวมากกกกกกก ต้องจองล่วงหน้าประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อน กับตั๋วแบบเสียเงิน อันนี้จะมีไกด์พาทัวร์รอบ ๆ และอธิบายถึงความเป็นมา ประวัติการก่อสร้าง แรงบันดาลใจของสถาปินิกผู้ออกแบบ ไม่ต้องจองล่วงหน้า แต่ต้องจ่ายในราคา 10 ดอลล่าร์ค่ะ


    ถามว่าทำไมเที่ยวคนเดียวแล้วต้องเสียตังด้วยง่ะ ก็เพราะว่าตั้งแต่ที่ The Vessel เปิดให้บริการในเดือนมีนาคม 2020 ก็มีข่าวไม่สู้ดีออกมาเป็นระยะ นั่นคือ มีเคสคนกระโดดตึกถึง 3 ราย ทำให้ถูกสั่งปิดชั่วคราว เพิ่งจะกลับมาเปิดใหม่ในช่วงต้นซัมเมอร์นี้นี่เอง และล่าสุดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (เรานั่งเขียนในวันที่ 4 สิงหาคม) ก็มีเคสเด็กพลัดตกจากตึกทำให้ตอนนี้ต้องปิดทำการชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนดค่ะ



    ทาง The Vessel เลยไม่อนุญาตให้เดินเข้าชมโดยลำพัง เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุว่าทำไมนักท่องเที่ยวที่มาคนเดียวต้องเสียเงินค่าไกด์นำชมสถานที่นั่นเอง







    นี่คือ The Shed ค่ะเป็นห้างสรรพสินค้าที่เขาบอกว่าเป็น New York’s first multi-arts center
    เนื่องจากพื้นที่ฟาซาด (เรียกว่าเป็นฟาซาดได้ใช่มั้ยนะ…) สีขาว ๆ ที่เหมือนไข่มุกนั้นมีกลไกให้เลื่อนเปิดปิดได้
    ซึ่งเอาไว้ยิงโฮโลแกรมสร้างเป็นงานศิลปะล้ำ ๆ ได้





    มาจะกล่าวบทไปถึง The Vessel กันบ้าง

    งานสถาปัตยกรรมสุดล้ำ 16 ชั้นแห่งนี้มีความสูง 46 เมตร ตัวโครงสร้างเป็นบันไดสีทองแดงตัดกับเหล็กสีดำสนิทที่สร้างแบบแยกชิ้นส่วนในอิตาลีและได้นำมาต่อกันเป็นตัวอาคารในนิวยอร์ก ซึ่งเป็นชุดบันได 154 ชุด ประกอบกันจากวงกลม 8 วงซ้อนกันขึ้นไปค่ะ


    แม้ว่ารูปทรงจะเป็นเหมือนรังผึ้ง แต่แท้ที่จริงแล้วได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Stepwell ของอินเดียที่เป็นบ่อน้ำขั้นบันไดโบราณ ซึ่งแต่ละชั้นจะมีบันไดขึ้นลงและชานพักขนาดใหญ่ ทำให้สามารถเลือกเดินหรือหยุดพักเพื่อชมทัศนีภาพโดยรอบของตัวอาคารแบบ 360 องศา






    พื้นที่โดยรอบมีการจัดสรรปันส่วนเป็นลานกิจกรรมสาธารณะที่มีการแบ่งเส้นเว้นระยะห่างทางสังคมไว้อย่างดี โดยไกด์เล่าให้ฟังว่าช่วงเช้ามักจะเป็นคลาสออกกำลังกายมาใช้พื้นที่ ส่วนตอนเย็นในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็มีการฉายภาพยนตร์กลางแจ้งด้วยเช่นกัน


    ประกอบกับพื้นที่ของ Hudson Yards นี้เชื่อมต่อกับ The High Line สวนสาธารณะลอยฟ้าที่ตั้งอยู่บนรางรถไฟ ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้งานพื้นที่สาธารณะนี้ได้ง่าย แม้ว่าตัวตึกจะตั้งอยู่ในโซนอาคารสำนักงานก็ตาม












    (อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ)

    แม้ว่า The Vessel จะเคลมว่าทุก ๆ คนสามารถเข้ามาใช้พื้นที่และขึ้นไปชมบนตัวอาคารได้ และออกแบบไว้เพื่อรองรับการใช้รถเข็นวีลแชร์ แต่ภายในตัวอาคารมีลิฟท์อยู่แค่เพียงตัวเดียวและแม้ว่าผู้ใช้รถวีลแชร์จะสามารถขึ้นไปชมได้ทุกชั้น แต่ก็ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่มุมเดียวของอาคารเนื่องจากไม่ได้มีทางลาดสำหรับวีลแชร์เชื่อมต่อไปยังชานพักบันไดด้านอื่น ๆ


















    ทางเชื่อมไป The Hight Line
















    (ความคิดเห็นส่วนตัวอีกแล้วจ้า - TW: การฆ่าตัวตาย ข้ามไปได้นะ)


    จากภาพจะเห็นว่าราวกั้นที่เป็นกระจกนั้นสูงแค่ช่วงระดับกระบังลมเท่านั้น (เราสูง 170 นะ ซึ่งถ้าเทียบกับความสูงของฝรั่ง ราวกั้นนี้มันยิ่งต่ำลงมาอีก) ซึ่งง่ายต่อการปีนโดยไม่มีอุปสรรค์ขัดขวางใด ๆ ทั้งสิ้น พอไม่มีอุปสรรคที่จะมาขัดขวางการกระทำ เราเลยรู้สึกว่าสามารถเกิดอุบัติเหตุพลัดตก/กระโดดได้ง่าย ซึ่งอุปสรรคในอาคาร มันสามารถที่จะช่วยชีวิตคนได้ (แต่ที่นี่มันทั้งสูงและไม่มีอะ)


    ตลอดจนรูปแบบของโครงสร้างที่มันดูไม่มั่นคง เป็นเหล็กที่เอามาต่อ ๆ กัน มีช่อง ๆ มากมาย ไม่ได้มีรูปลักษณ์ที่เป็นอาคารจริง ๆ ส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงทางอารมณ์ขึ้นได้เช่นกัน (มันไม่ friendly อะ พูดไม่ถูก แบบเหล็ก ๆ วาว ๆ แวววับ และมีช่องมากมาย มีบันไดให้ปีนขึ้นลง) ประกอบกับแรงลมจากแม่น้ำและมีตึกสูงประกบหมดเลยสี่ด้าน ถ้าไปยืนชั้นบนสุดต้องเกาะราวไว้เลยเพราะลมค่อนข้างแรง นี่ก็อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเหตุที่ไม่คาดฝันได้เช่นกัน


    ซึ่งครั้นจะติดที่กั้นเพิ่มเติม ทางโครงการก็เลือกที่จะไม่ทำเนื่องจากสิ่งนี้มันก็เป็นงานอาร์ต เป็นสถาปัตยกรรมกึ่งประติมากรรม หากไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขก็ขัดต่อรูปแบบดีไซน์และเจตจำนงดั้งเดิมของผู้ออกแบบค่ะ






































































    สิ่งที่เราชอบมากกว่าตัว The Vessel คือการจัดสรรพื้นที่โดยรอบค่ะ เพราะว่าตั้งแต่สถานีซับเวย์ 34 Street-Hudson Yards จะมีสวนสาธารณะเล็ก ๆ ตั้งอยู่ด้วย เป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในโซนอาคารสำนักงานที่ดี

    อย่างเราที่มานั่งกินข้าวกลางวัน (leftover จากมาเมื่อวาน) ก็สังเกตเห็นว่าเหล่าพนักงานออฟฟิศโดยรอบลงมาพักเบรกมามานั่งเล่นจิบกาแฟยามบ่าย ในขณะเดียวกันคนงานก่อสร้างที่พักกลางวันก็มาซื้ออาหารจาก food truck แล้วมานั่งในสวนนี้ ตลอดจนนักท่องเที่ยวอย่างเราที่มานั่งจุ้มปุ้กใช้ไวไฟฟรีก็เช่นกัน

    คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์พื้นที่ดังกล่าวได้จริง ๆ แสดงให้เห็นว่าโครงการพัฒนาพื้นที่อสังหาริมทรัพย์ริมแม่น้ำแห่งนี้ แม้ว่าจะเป็นโครงการของเอกชนที่มุ่งแสวงหากำไรแต่ก็คิดถึงการใช้งานของคนทั่วไปประกอบกันไปด้วย เพราะนอกจากเป็นการสร้างมูลค่าของที่ดินให้เพิ่มขึ้นแล้ว ยังส่งเสริมให้เกิดพื้นที่สีเขียวใหม่ ๆ ในนิวยอร์ก ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนเมืองให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วยค่ะ







  • Time Square ?


    ไหน ๆ ก็มานิวยอร์กแล้ว เห็นเหล่า influencer ต่าง ๆ ถ่ายรูปเช็คอินที่ Time Square ก็เอ้ออ แวะบ้างก็ได้ ไปดูหน่อยกว่าใจกลางเมืองคนเยอะหรือไม่ เป็นยังไงบ้าง



    นั่งซับเวย์ก็ต้องใส่หน้ากากอนามัยนะ




    ภาพจากข่าวหรือในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ทำให้เรารู้สึกว่าอเมริกามันช่างวู้ฮู้วว ใช้ชีวิตแบบไม่ใส่หน้ากากอนามัยกันหมดแล้ว จริง ๆ ก็อย่างที่เราเล่าในตอนแรกว่าเฉพาะพื้นที่นอกอาคารเท่านั้นที่สามารถถอดหน้ากากได้ แต่ในพื้นที่ปิด ร้านค้า ซับเวย์ รถเมล์ ทุกคนก็ยังใส่หน้ากากและรักษาระยะห่างระหว่างกันอยู่เหมือนเดิม


    สิ่งที่เราสังเกตได้ชัดเจนมาก ๆ คือจุดฉีดวัคซีนที่กระจายอยู่ทั่วไปตามร้านสะดวกซื้อหรือร้านขายยาที่มีเภสัชกร/พยาบาลนั่งประจำอยู่แล้ว ทำให้ประชาชน(รวมถึงนักท่องเที่ยว)เข้าถึงการให้บริการได้ง่ายมาก ยิ่งตอนนี้แทบจะไม่ได้จองคิวล่วงหน้าเลย แค่ตื่นเช้าไปที่จุดฉีดวัคซีน นัดเวลา บ่ายวันเดียวกันได้ฉีดเลย


    และแม้ว่าจำนวนเคสในช่วงนี้จะเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็เป็นคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนที่ติดโควิด คนที่ติดแล้วก็ใช้ชีวิตกันตามปกติ ทำให้รู้สึกว่าเออ สำหรับในอเมริกา pandemic มันน่าจะกลายเป็น epidemic เป็นโรคประจำฤดูกาลแบบไข้หวัดใหญ่ได้แหละ คือเราก็ต้องใช้ชีวิตอยู่รวมกับมันให้ได้ในท้ายที่สุด เพราะไวรัสมันก็พัฒนาสายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ เพียงแค่เรามีวัคซีนที่ดี มีประสิทธิภาพ และมีระบบการจัดการที่ดี ไม่ต้องลงทะเบียนชิงเปรตแบบในไทยที่หมายมั่นว่าจะเป็นฮับวัคซีนในเอเชียแต่สุดท้ายก็กลายเป็นศูนย์รวมการบริจาควัคซีนจากหลายประเทศทั่วโลก แถมได้รับบริจาคมาแล้วก็หายเข้ากลีบเมฆหรือมีหลักเกณฑ์ข้อกำหนดมากมายมาแอบอ้างเบียดบังไปอีก




    คนเยอะเหมือนเดิมเลย
    เราชอบเดินผ่านตรงนี้นะ มันมีพลังงานบางอย่างที่หาไม่ได้จากเมืองอื่นอะ
    เป็น NYC vibe ที่มีแค่ที่นี่ที่เดียวในโลก รักกกก








  • The Battery ?











    ตอนแรกว่าจะเดินข้ามสะพานไปฝั่งบรู๊คลินแล้วชมพระอาทิตย์ตกกับแสงไฟระยิบระยับของเกาะแมนฮัตตันแต่ขี้เกียจเสียก่อน เลยมานั่งเล่นที่ The Battery สวนริมน้ำ จุดนั่งเรือเฟอร์รี่ไปยังเทพีเสรีภาพแทน









    บรรยากาศแดดร่มลมเย็นสบายแบบนี้ ภายในสวนจึงมีคนมานั่งเล่นนอนเล่นกันเยอะแยะ ที่น่ารักก็คือมีน้องหมาจำนวนมากมาวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ ภายในส่วนที่เป็น dog park ทั้งหมาเล็กหมาใหญ่ดุ๊งดิ๊งวิ่งกันสนุกสนาน เห็นแล้วก็แฮปปี้ อยากไปกอดทุกตัวเลย



    ที่น่ารักก็คือมี The Battery Urban Farm ที่เป็นแปลงผักสวนครัวสาธารณะที่ให้คนในพื้นที่รอบ ๆ สวนมาปลูกผักสวนครัว รั้วกินได้กันด้วยค่ะ






    พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของมหานครนิวยอร์ หากย้อนกลับไปถึงช่วงก่อนการล่าอาณานิคม ชาวอินเดียนแดงพื้นเมืองใช้พื้นที่ตรงนี้สำหรับการล่าสัตว์และตกปลา มีการสร้างเส้นทางเดินยาวไปทางด้านเหนือของเกาะแมนฮัตตัน เรียกว่า “broad” ซึ่งกลายมาเป็นถนน Broadway ในปัจจุบัน


    ต่อมาบริษัท Dutch West India Company ได้เข้ามา “ซื้อ” (หึ!) พื้นที่ทั้งหมดของเกาะแมนฮัตตัน(ด้วยเงินของเนเธอแลนด์ในขณะนั้น ซึ่งแบบแล้วชนพื้นเมืองจะใช้ยังไงวะ เขาต้องการเงินของแกมั้ย ก็ไม่ปะ) ซึ่งชนพื้นเมืองเขาไม่มีการซื้อขายที่ดินอะ เขามองว่าตัวเองเป็นผู้ใช้พื้นที่ ไม่ใช่เจ้าของเกาะ และก็เชื่อว่าเป็นการแชร์พื้นที่ร่วมกันเฉย ๆ แต่นั่นแหละ ชาวดัตช์ก็มาตั้งรกราก สร้างอาณานิคม ​New Amsterdam ปิ๊งป่องขึ้นมา มีการสร้างป้อมปราการ ท่าจอดเรือเพื่อขนส่งสินค้าต่าง ๆ ในจุดนี้






    ในเวลาต่อมา อังกฤษก็แล่นเรือรบมายึด New Amsterdam และเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า New York (คอนกรีตจังเกิ้ลแวร์ดรีมโทเม๊โท — โปรดอ่านด้วยเสียงของ Alicia Keys) และใช้ชื่อนี้มาจวบถึงปัจจุบันนี้




    ด้วยความที่มีป้อมปราการ The Battery จึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทะเลที่สำคัญ เช่น กองกำลัง Continental Army นำโดย George Washington ก็ต้องมายึดป้อมนี้ให้เป็นหนึ่งในฐานที่มั่นก่อน และเมื่อประกาศอิสรภาพแล้วก็มาเสริมกำลังที่นี่เพื่อป้องกันการกลับมารุกรานของอังกฤษ โดยมีการสร้างป้อมปราการเพิ่มเติมบน Governors Island และ Staten Island ที่ยังคงอยู่ยั้งยืนยงมาจนปัจจุบันนี้



    (ภาพจากเว็บไซต์ thebattery.org นะคะ)



    หลังจากช่วง Civil War ก็ได้มีการสร้างอาคารที่เอาไว้สำหรับต้อนรับและจัดการเรื่องเอกสารตรวจคนเข้าเมืองเพื่อรองรับการอพยพของผู้คนที่หลั่งไหลมาตั้งรกรากในดินแดนแห่งเสรีภาพนี้ เรียกได้ว่าที่นี่เป็นประตูสู่สหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว (ต่อมาก็ย้าย U.S. Immigration Center ไปเปิดบนเกาะ Ellis Island แทน)


    หลังจากนั้น The Battery ก็ได้รับการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงอีกหลายต่อหลายครั้ง เช่น เคยเป็นที่ตั้งของ New York Aquarium (ต่อมาโดนรื้อทิ้ง แต่ไม่ทั้งหมดเพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่สองเสียก่อน) ต่อมาก็กลายเป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจริมน้ำของชาวนิวยอร์กเกอร์ และแปลงเป็นเป็นท่าเทียบเรือเฟอร์รี่ที่ให้บริการข้ามไปยัง Ellis Island และLiberty Island จนถึงในเหตุการณ์ 9-11 พื้นที่นี้ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นศูนย์กู้ภัยขนาดใหญ่สำหรับช่วยเหลือให้ประชาชนอพยพออกจากโซน Lower Manhattan อีกด้วย










    นิวยอร์กเป็นมหานครใหญ่ที่เรารักมากที่สุดค่ะ

    ทั้ง ๆ ที่เราเองเป็นคนที่ไม่ชอบเมืองใหญ่ คนเยอะ รวมถึงบอกกับตัวเองและคนรอบข้างอยู่เสมอว่าหากเลิกท่องโลกทุก ๆ สองวันแบบตอนนี้แล้ว จะขอย้ายไปอยู่ในเมืองขนาดกระทัดรัดใกล้ชิดธรรมชาติมากกว่าจะกลับมาอยู่ในเมืองขนาด Metropolis (ยกตัวอย่างเช่น Seattle)

    แต่ทุกครั้งที่มาที่นี่จะรู้สึกเหมือนว่าเราได้รับพลังงานที่ดีใส่กระเป๋ากลับไปด้วยเสมอ ทุก ๆ จังหวะที่ก้าวเดินไปตามถนนมันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าที่นี่ขับเคลื่อนไปด้วยความฝันของผู้คนที่อยู่รอบตัว

    มันเป็นเมืองที่ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาเพื่อเริ่มต้นความฝันของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นถนน Broadway ที่มีร้านอาหารเล็ก ๆ น่ารักที่เป็นร้านประจำของเราอย่าง Ellen’s Stardust Dinner ที่พนักงานเสิร์ฟทุกคนในร้านมีความฝันว่าอยากจะเป็นนักแสดงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาร้องเพลงบนเวทีกลางร้านเพื่อแสดงความสามารถ และหวังว่าในวันนั้นจะมีแมวมองมองเห็นแสงอันเจิดจรัสภายในตัวของพวกเขา (ตอนนี้ร้านปิดชั่วคราวอยู่ค่ะ)

    หรือศิลปินหลายคน นับตั้งแต่ Piet ที่เรารักจนกระทั่งศิลปินนักวาดที่เราติดตามอยู่ในปัจจุบัน พวกเขาต่างย้ายมาที่นิวยอร์กเพื่อค้นหาตนเองและเดินตามเส้นทางความฝัน รวมไปถึงเพื่อนของเราที่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเรียนที่ NYU และทำความฝันนั้นจนสำเร็จ ได้มาเรียนที่นี่สมใจ หรือคนใกล้ตัวที่ได้กรีนการ์ดก็มาที่นี่เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่


    นิวยอร์กเป็นเมืองแห่งความฝัน เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง เป็น Concrete jungle where dreams are made of จริง ๆ ค่ะ :)







    และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวในทริปมิลาน-นิวยอร์กของเรา ซึ่งก็ไม่แน่ใจนักว่าจะได้กลับมายังมหานครแห่งนี้อีกเมื่อไรเนื่องจากวีซ่าลูกเรือของเรากำลังจะหมดในเดือนสิงหาคมนี้ ก็ได้แต่หวังในใจว่าจะได้มีโอกาสมาเที่ยวใหม่ในเร็ว ๆ เมื่อตอนที่โลกนี้กลับสู่สภาวะปกติค่ะ





    ด้วยรัก…จากทะเลทราย














  • แถมด้วยสองรูปนี้ เราถ่ายไว้ตอนที่บินผ่านกรีนแลนด์ค่ะ น้ำแข็งแตกเยอะมากเลย น่าจะเป็นเพราะโลกร้อนบวกกับช่วงนี้เป็นช่วงฤดูร้อนด้วยมั้งคะ… แต่เมื่อกาลก่อน ภูเขาเหล่านี้ปกคลุมด้วยน้ำแข็งตลอดเลยค่ะ พอเห็นภาพนี้ก็ตกใจว่าทำไมมันโล่งจังเล้ย ;________;











Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in