23 June 2021
Harry Potter New York⚡️
(หากอยากรับฟังเสียงที่เล่าแบบอรรถรส สามารถแวะเวียนไปฟังได้ใน ด้วยรักฯ พอดแคสต์ นะคะ และเพื่อเพิ่มบรรยากาศในการอ่านในตอนนี้ เราอยากให้กดเปิดฟังยูทูปอันนี้ประกอบไปพร้อมกันค่ะ >>จิ้ม)
แม้ว่าอาการ jet lag จะทำให้เราตื่นมาตั้งแต่ตีสามและนอนไม่หลับกระสับกระส่ายเกือบตลอดคืน แต่เมื่อนาฬิกาปลุกดังตอนตีห้าครึ่ง เราก็ลืมตาปิ๊งขึ้นมาด้วยความสดชื่นแจ่มใส เปิด audible เพื่อฟัง Harry Potter and the Philosopher’s Stone (Mr. and Mrs. Dursley, of number four, Privet Drive, were proud to say that they were perfectly normal, thank you very much) พร้อมกดเครื่องชงกาแฟให้ทำงานและเตรียมตัวออกจากห้อง
สาเหตุที่เราตื่นเช้าผิดจากปกติมากขนาดนี้เป็นเพราะจุดหมายแรกในทริปนี้ของเราคือการไปที่ร้านแฮร์รี่เปิดใหม่ใจกลางมหานครนิวยอร์กนั่นเองค่ะ จริงอยู่ที่ร้านเปิดทำการตอนสิบโมงเช้า แต่จากการอ่านรีวิวใน TripAdvisor มาก่อนล่วงหน้า พอตเตอร์เฮดทุกหมู่เหล่าล้วนรีวิวเป็นเสียงเดียวกันว่าขอให้เจ้าจงแหกขี้ตาตื่นมาตั้งแต่เช้าเถอะ เพราะจะต้องมาสแกน QR code เพื่อรับบัตรคิว virtual line ที่ใช้ระบบมาก่อนได้ก่อน ยิ่งมาไว ยิ่งได้เข้าเร็ว!
เวลาหกโมงครึ่งพอดีเป๊ะ เราวิ่งออกมาจากสถานี 23rd Street และยืนต่อแถวกระพริบตาสู้ลมหนาวกับอากาศ 14 องศาเซลเซียส รายล้อมไปด้วยเหล่าพอดเตอร์เฮดที่แต่ละคนจะมีเครื่องแต่งตัวบางอย่างที่บ่งบอกถึงความเป็นติ่งแฮร์รี่ในตัว ไม่ว่าจะเสื้อยืดลายเครื่องรางยมทูต กระเป๋าลายฮอกวอตส์ หรือพันผ้าผันคอสีประจำบ้านของตัวเอง (แน่ล่ะ เจ้าพวกบ้านเขียวมีจำนวนมากที่สุด ช่างภาคภูมิใจในความสลิธีรินของตัวเองเสียเหลือเกิน) ส่วนเราก็ใส่เสื้อเชิร์ตสีฟ้ามา (ง่า เรเวนคลอแหละนะ) และสะพายถุงผ้าที่ขายใน British Library ตอนที่มีนิทรรศการ Harry Potter: A History of Magic ค่ะ (แกก็ไม่ต่างจากพวกบ้านเขียวเท่าไรนักหรอกเฟ้ยยยย)
เราว่าตัวเองมาตั้งแต่เช้าแล้วนะ แต่ก็มิวายยังมีคนที่มาเช้ากว่าเราอยู่เยอะมากเลยทีเดียว ถ้าเทียบให้เห็นภาพก็พอจะอนุมานได้ว่าหัวแถวนั้นตั้งอยู่หน้าร้านหม้อใหญ่รั่ว ส่วนท้ายแถวที่เรายืนอยู่นี้คือปลายสุดของตรอกน็อกเทิร์น โอ้โห คุณพี่ที่อยู่หัวแถวนั้นมาตั้งแต่กี่โมงหรือคะ คุณพี่มายังไง นั่งซับเวย์มาแบบหนู นั่งอูเบอร์ หรือว่าคุณพี่มีกุญแจนำทาง ขี่ไฟร์โบลต์ เสกคาถาหายตัวมาหรือว่าใช้ผงฟลู คือสู้ชีวิตเกิ๊นนนนน
และในที่สุดก็ถึงเวลาเจ็ดโมงเช้า คุณพี่พนักงานรักษาความปลอดภัยก็ยกเอาป้าย QR code มาตั้งและทุกคนก็ควักมือถือออกมาสแกนเพื่อรับบัตรคิว โดยในเว็บไซต์มีให้ระบุจำนวนคนที่จะเข้าร้านพร้อมกัน (สูงสุด 6 คนต่อหนึ่งคิว) และหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้ เนื่องจากหากใช้เบอร์โทรศัพท์ของ USA ทางร้านจะส่ง SMS ไปแจ้งเตือนเวลาเข้าร้านให้ฟรีค่ะ แต่เราใช้เบอร์ของ UAE ก็ต้องกะเวลากลับมาที่ร้านเอง ฉะนั้นการมาตั้งแต่เช้านั้นถูกต้องแล้ว เพราะรู้แน่ว่าเราได้เข้าตอนเวลาร้านเปิดชัวร์ ๆ ไม่ต้องมานั่งรอหน้าร้านอีกรอบนึง
ด้วยความหนาวและเหนื่อย เราตัดสินใจนั่งซับเวย์กลับที่พักไปงีบเอาแรงนิดหน่อยและกลับมาหน้าร้านตอนเวลาเกือบ ๆ จะสิบโมงซึ่งตอนนี้ทางร้านปิดไม่ให้รับบัตรคิวเพิ่มแล้วเพราะคนเต็มไปจนถึงตอนสามทุ่มเรียบร้อย เหตุที่ต้องมีการรับบัตรคิวล่วงหน้าและเปิดเป็นรอบ ๆ แบบนี้ก็เพราะเป็นหนึ่งในมาตรการลดความแออัดและรักษาระยะห่างของลูกค้าภายในร้านค่ะ นอกจากนี้ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ภายในร้าน ยกเว้นตรงโซนร้านขนมที่ถอดได้เฉพาะตอนที่รับประทานอาหารค่ะ
ใจเต้นตึกตัก นับถอยหลังรอเวลา
เจ้าหน้าที่เรียกคิวที่ 1-47 ก่อนและตรวจดูบัตรคิวที่ได้
เราได้ลำดับที่ 33 แต่ยืนเข้าแถวเป็นคนที่ 3 ค่ะ รีบมาก ตื่นเต้นง่ะ
ก่อนจะเข้าร้านให้ดาวน์โหลดแอป Harry Potter Fan Club เอาไว้ด้วย (อย่าลืมเปลี่ยน region เป็น USA ก่อนนะเออ) เพราะภายในร้านมีเกมให้เล่นด้วยค่ะ!
เพราะเมื่อเข้าร้านไปแล้ว หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าแต่ละมุมของร้านมีป้าย Enchanted Keys ซ่อนอยู่ให้เราวิ่งตามหาเพื่อสแกนและปลดล็อกเนื้อหาข้อมูลต่าง ๆ เช่น behind-the-scenes facts เกี่ยวกับโลกเวทมนตร์ค่ะ
เมื่อพร้อมแล้วก็เข้ามาในร้านกันเล้ยยยยย
โซนด้านหน้าของร้านจะมีเจ้า Fawkes นกฟินิกซ์คอยต้อนรับทุกคนอยู่ค่ะ สินค้าที่ขายอยู่ตรงนี้จะเป็น Exclusive Products ที่มีขายเฉพาะที่นี่เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า แก้วน้ำ สมุด ปากกา สารพัดสิ่งที่มีคำว่า Harry Potter New York แปะหราอยู่ นับว่าเป็นโซนที่ทุกคนให้ความสนใจ เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ต้องหยิบโปสการ์ดหรือเข็มกลัดไปคนละชิ้นสองชิ้นแหละน่า
นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่เกี่ยวกับ MACUSA (The Magical Congress of the United States of America — ชื่อยาวไปนะ) อีกมากมาย สมกับเป็น Flagship store ของทางฝั่งยูเอสเสียจริงเพราะเมื่อเทียบกับตอนนู้นที่ไป Universal Studio ที่ Orlando ก็ยังไม่มีของ MACUSA เยอะแยะเท่าไรเลย แต่ทั้งนี้อาจเป็นเพราะตอนนั้นแฟนทาสติกบีสต์(ที่เป็นแฟนฟิค หึ!)ยังฉายแค่ภาคแรกเท่านั้น
และสินค้าที่พิเศษใส่ไข่มังกรฮังการีหางหนามก็คือ Golden Snitch Wand ไม้กายสิทธิ์ที่ปลายด้านจับเป็นลูกสนิชสีทองสดใส มีขายแค่ในนิวยอร์กนี้เท่านั้นนนนนนน
พูดถึงไม้กายสิทธิ์แล้วก็เข้าสู่โซนที่สองที่มีไม้กายสิทธิ์ให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไม้กายสิทธิ์ของตัวละครจากในแฮร์รี่และแฟนทาสติกบีสต์ (แต่แก๊ง cursed child — ที่เป็นแฟนฟิค หึ! ไม่มีขายนะคะ ต้องไปที่ร้าน Platform 9 3/4 ที่สถานีคิงส์ครอส ลอนดอนเท่านั้นเด้อ)
ทีนี้ ความแตกต่างของไม้กายสิทธ์ที่ขายที่นี่กับใน Universal Studio ทุกที่คือ
1. ไม่มีไม้ custom ให้เลือก เช่น ไม้กายสิทธิ์ที่ทำจากไม้มะฮอกกานี ยาว 12 นิ้วครึ่ง ใส่เกล็ดนางเงือกอะไรแบบนี้ จะมีไม้ของตัวละครกับ exclusive wand อีกนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้น
2. ถ้าไปซื้อใน Universal Studio จะมาพร้อมกับแผนที่ตัวกวนที่บอกว่าจุดไหนในโซนแฮร์รี่ที่สามารถเอาไม้กายสิทธิ์ไปร่ายคาถาได้ เช่น กระเป๋าเดินทางตรงรถไฟฮอกวอตส์เอ็กซ์เพรสสามารถไปโบกนิดสะบัดหน่อย เสกคาถาวิงการ์เดียม เลวีโอซาได้ (กรุณาอ่านออกเสียงให้ถูกต้องแบบเฮอร์ไมโอนี่) แต่ที่นี่ไม่มีโซนแบบนี้ให้เล่นค่ะ
3. หากซื้อไม้กายสิทธิ์ที่นี่ สามารถใช้บริการสลักชื่อเราลงไปได้ด้วยค่ะ มีค่าบริการนิดดดดหน่อย
ตรงส่วนของร้านขายไม้กายสิทธ์นี้มีอ่างเพนซิฟที่รายล้อมไปด้วยไม้กายสิทธิ์จากตัวละครต่าง ๆ ในแฮร์รี่/ฟทตบ พอเราเอามือไปจับปุ๊บ ก็จะปรากฎภาพของเจ้าของไม้ออกมาพร้อมกับความทรงจำของเขาหรือเธอค่ะ (ซึ่งก็คือคัตซีนในหนังนั่นแหละ แต่เราขอผ่านเพราะทุกคนเอามือจับสิ่งนี้กันหมด แอลกอฮอล์ในมือนี่สั่นระริก)
และไฮไลต์ตรงกลางร้าน นั่นคือโซน Atrium of Awe ที่มีบันไดวนเป็นปั้นกริฟฟินด้านหน้าทางเข้าห้องทำงานของดัมเบิลเดอร์ ซึ่งตัวรูปปั้นตรงกลางจะแรนดอมหมุนวนไปมา สร้างความฮือฮาให้กับเหล่านักเรียนฮอกวอตส์ในร้านได้เป็นอย่างดี
“It matters not what someone is born but what they grow to be”
ถัดมาจะเป็นโซนร้านขายขนมฮันนี่ดุกส์ค่ะ ซึ่งก็มีขนมให้เลือกเยอะแยะมากมาย ที่เด่น ๆ ก็คือกบช็อกโกแลตพร้อมการ์ดพ่อมดแม่มดให้สะสม เยลลี่รวมเม็ดทุกรสของเบอร์ตี้บอตส์ หรือคางคกเปปเปอร์มิ้นต์ (ความรู้สึกของเราคือใน Universal Studio มีให้เลือกเยอะกว่าแหละ) แต่ที่พิเศษก็คือมีบัตเตอร์เบียร์แบบขวดขายด้วยค่ะ ฮูเร่!
ซึ่งขวดบัตเตอร์เบียร์ใน Harry Potter New York นี้เป็นดีไซน์พิเศษที่มีขายเฉพาะภายในร้านนี้เท่านั้น ซึ่งได้แรงบันดาลใจในการออกแบบจากตราสัญลักษณ์ของ MACUSA และธงชาติของสหรัฐอเมริกาค่ะ
และโซนเด็ดที่ห้ามพลาดก็คือด้านหลังของร้านขนมจะเป็น Butterbeer Bar ค่ะ ที่นี่มีขายบัตเตอร์เบียร์สดฟองฟูนุ่มและบัตเตอร์เบียร์ไอศกรีมด้วยนะเออ ว้าวมากกกกกกกกกกกกกก (เราแนะนำให้เข้าร้านมาปุ๊บ โปรดพุ่งตัวเข้ามาที่บาร์ก่อนเลยค่ะ เพราะหลังจากร้านเปิดไปได้ซักพักแล้วคิวจะยาวมากกกกกก)
ป้ายเมนูขยับเลื่อนขึ้นลงได้ด้วยแหละ
นอกจากบัตเตอร์เบียร์แล้วก็มีเครื่องดื่มอื่น ๆ เช่น ชาและกาแฟขายด้วยนะคะ
ราคาสิบดอลล์ แถมแก้วเป็นของที่ระลึกฟรี
ภายในร้านมีจุดให้ล้างแก้วด้วยค่ะ สะดวกดีมากเลย
นอกจากจะมีเครื่องดื่มแล้ว ที่ Butterbeer Bar แห่งนี้ก็มีขายขนมกุ๊บกิ๊บน่ารักในธีมแฮร์รี่อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเค้กที่ทำเป็นรูปไม้กายสิทธิ์ ไม้กวาด หรือคุกกี้ทีี่ทำเป็นเสื้อสเวตเตอร์ H และ R แบบที่เราซื้อมาค่ะ
ถัดมาก็เป็นโซนป่าต้องห้ามและบ้านของแฮกริดค่ะ มุมนี้จะขายตุ๊กตุ่นตุ๊กตาสัตว์มหัศจรรย์ต่าง ๆ หมวกคัดสรร และไม้กวาด ตลอดจนของเล่นต่าง ๆ เช่น LEGO และ Funko Pop! ซึ่งเมื่อมีของเล่น ก็แน่นอนว่ามุมนี้นั้นได้รับความสนใจจากเด็ก ๆ เป็นจำนวนมาก เป็นจุดที่เต็มไปด้วยลูกเด็กเล็กแดงกระจองอแงอยากได้ตุ๊กตาเต็มไปหม๊ด เราเลยไม่ได้เก็บภาพมาฝากกัน ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
ฝ่าฝูงเด็กเพื่อชะแว้บไปด้อม ๆ มอง ๆ ดูน้องโบวทรัลเกิลมานิดนึง
และก็มาถึงอีกจุดถ่ายรูปประจำร้าน นั่นก็คือตู้โทรศัพท์สีแดงทางเข้ากระทรวงเวทมนตร์ค่ะ ตรงโซนนี้มีเสื้อผ้าเด็กเล็กวัยเบบี๋ขายด้วยนะ แต่ที่เราว้าวมาก ๆ คือไม่ใกล้ไม่ไกลกันนี้มีลิฟต์ที่ประตูทำเป็นรูปเตาผิงธรรมดา แต่ถ้าลิฟต์เปิดแล้วจะเห็นว่าด้านในเป็นไฟสีเขียว ก็คือใช้ผงฟลูในการเดินทางไปชั้นใต้ดินของตัวร้านนั้นเอง (ถ่ายคลิปมาไม่ทัน แง)
จากนั้นเราก็เดินบันไดวนลงไปชั้นล่างของร้านกันต่อ โซนแรกที่เจอเลยก็คือ Things That Must Be Named ที่เราสามารถเอาชุดเครื่องแบบนักเรียนฮอกวอตส์ สมุด ไม้กายสิทธ์ หรือเครื่องประดับที่ซื้อในร้านมาสลักปักชื่อของเราได้ค่ะ
นอกจากนี้ยังมีขายเป็นเซตกระเป๋าเดินทางสำหรับนักเรียนประจำบ้านต่าง ๆ อีกด้วย สิ่งที่จะได้ก็คือหีบกระเป๋าเดินทาง ไม้กายสิทธ์ประจำบ้าน เนคไทด์ ผ้าพันคอ หมวก สมุด ปากกา นกฮูก ขนมจากร้านฮันนี่ดุกส์ และไม้กายสิทธิ์ประจำบ้าน พร้อมทั้งจดหมายจากฮอกวอตส์ที่จ่าหน้าซองเป็นชื่อเราเขียนด้วยหมึกสีเขียวมรกต โฮฮฮฮ อันนี้แหละที่อยากได้มากมากมากมากมากมาก เป็นจดหมายที่เรารอคอยตั้งแต่ตอนอายุ 11 ปี จนกระทั่งตอนนี้ที่พอจะทำใจได้ว่าเราคงเป็นสควิิปแหละมั้งเลยไม่ได้จดหมายเชิญให้ไปเรียน
จากนี้ไปเป็นช่วงความในใจหลังจากกรี๊ดกับจดหมาย — ข้ามไปก็ได้จ้า
สารภาพว่าตอนเด็ก ๆ เราเคยเอาชุดสูทกับเนคไทด์ของคุณตามาใส่เป็นชุดนักเรียน ทำไม้กายสิทธ์ของตัวเองโดยการเอาตะเกียบมาทาสีโปสเตอร์ดำ ไปซื้อปากกาสีเขียวเพื่อเอามาเขียนจดหมายจากฮอกวอตส์ด้วยลายมือของตัวเอง เล่นเว็บบอร์ดที่ทำเป็นโรงเรียนฮอกวอตส์และส่งการบ้านทุกครั้งเพื่อทำแต้มให้บ้านตัวเอง เว็บไหนเจ๊งไม่อัปเดตก็เปลี่ยนเว็บใหม่ หรืออ่านหนังสือเรียนครบทุกเล่มก่อนเปิดเทอมแบบเฮอร์ไมโอนี่ (ที่เลิกทำไปตอนเรียนมหาลัย แหะแหะ) และสิ่งที่ยังคงทำอยู่จนถึงทุกวันนี้ในช่วงอายุ 28 ปี คือเขย่าขวดน้ำยาโชคดีที่ได้พร้อมกับหนังสือเล่มหกก่อนที่จะไปทำอะไรที่รู้สึกว่าต้องใช้ดวง หรือในวันทีหดหู่จะนึกถึงคาถาไล่ผู้คุมวิญญาณแล้วเดินไปหยิบช็อกโกแลตในตู้เย็นมากิน
แฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นความทรงจำที่ดีไม่กี่อย่างในวัยเด็กของเราที่ยังเต็มไปด้วยความฝัน เวลาที่รู้สึกทุกข์ใจหรือเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก เราจะหยิบเอาแฮร์รี่มาอ่านเพื่อหนีจากโลกแห่งความจริงที่ต้องเผชิญอยู่ตรงหน้า สำหรับเด็กคนหนึ่งที่มีความคิดว่าอยากจะออกจากบ้านตั้งแต่ป.4 นั้น หนังสือเล่มนี้กับหมาของครอบครัวที่ชื่อว่าบาร์เดนได้ช่วยอะไรเราไว้ได้หลายครั้งหลายคราเหลือเกิน
ฉะนั้น แฮร์รี่ไม่ใช่แค่ชุดหนังสือ 7 เล่มแต่คือเซฟโซนสำหรับเรา ยังนึกถึงตอนที่แอบคุณพ่ออ่านหนังสือโดยแอบเอาไฟฉายเล็ก ๆ ซ่อนไว้ตรงเตียงแล้วเอาผ้าห่มคลุมโปงเพื่ออ่านแฮร์รี่ตอนกลางคืน (คุณพ่อไม่สนับสนุนให้อ่านหนังสืออ่านเล่น อ่านได้เฉพาะหนังสือเรียนเท่านั้น เขาบอกว่ามันไร้สาระ ควรเอาเวลาไปอ่านในสิ่งที่มีประโยชน์มากกว่า ยังดีที่คุณแม่ของเราสนับสนุนให้อ่านหนังสือตลอดมา ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ)
คือเราโตมาพร้อมกับหนังสือชุดนี้จริง ๆ อะ และถ้าโลกนี้ไม่มีแฮร์รี่ พอตเตอร์ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะโตมาเป็นคนแบบไหน ยังจะเป็นคนที่มีความฝันอยู่ในหัวใจอย่างที่เป็นอยู่เสมอมาอย่างในวันนี้รึเปล่าก็ไม่รู้ พอมาเห็นจดหมายนี้แล้วมันแบบ โฮฮฮฮฮ น้ำตาปริ่มมมมมมม ถ้ามีตังค์ฉันจะกลับมาซื้อไปใส่กรอบแปะฝาบ้านพร้อมกับตั๋วรถไฟฮอกวอตส์เอ็กซ์เพรส
ถัดไปก็เป็นโซน Dark Art ค่ะ ธีมการตกแต่งคือห้องแห่งความลับแหละ มีนากินีขนาดยักษ์โผล่หัวมาทักทายด้วย ของที่ขายตรงนี้หลัก ๆ แล้วก็เป็นเสื้อผ้าค่ะ มีเสื้อลายเครื่องรางยมทูต หน้าซิเรียส แบล็ก และตรามาร แก้วน้ำ ถุงเท้า พร้อมทั้งตุ๊กตาอาราก๊อกที่นุ่มนิ่มน่ารักที่ต่างจากตัวจริงลิบลับเลยค่ะ
ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนั้นก็เป็นมุมหนังสือ ที่นี่มีแฮร์รี่ พอตเตอร์ทุกเล่มทั้งที่เป็นหนังสือปกติปกแข็ง ปกอ่อน และหนังสือภาพที่ออกมาใหม่ บวกกับ Cursed Child และฟทตบ (ที่เป็นแฟนฟิค) ตลอดจนหนังสือเกี่ยวกับไม้กายสิทธิ์ สัตว์วิเศษและถิ่นที่อยู่ ประวัติศาสตร์ควิชดิชแบบที่เป็นเวอร์ชั่นหนังสือเรียน และสมุดเครื่องเขียนค่ะ
และแล้วเราก็มาถึงโซนสุดท้ายของร้านกันแล้วค่ะ ตรงนี้คือ House of MinaLima ซึ่งเป็นแกลอรี่เล็ก ๆ ที่รวบรวมงานออกแบบกราฟฟิกและสิ่งของที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ ทั้งหน้าหนังสือพิมพ์เดลี่ พรอเฟ็ตและเดอะควิบเบลอร์ จดหมายจากฮอกวอตส์ถึงแฮร์รี่ ตั๋วรถไฟ หรือสาแหรกแผนผังตระกูลแบล็ก
ความจริงแล้ว นอกจากส่วนที่เป็นร้านขายของทั้งหมดที่ได้เล่ามานี้ ก็ยังมีโซนหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นก็คือ VR Experience ที่มีให้เล่นเฉพาะใน Harry Potter New York เท่านั้นค่ะ
อันแรกคือ Harry Potter: Chaos At Hogwarts โดยเราจะรับบทเป็นนักเรียนที่ทำตั๋วรถไฟหายที่สถานีคิงส์ครอส ดอบบี้เลยมาช่วยให้เราเข้ามาในโรงเรียนได้ (ความจริงคือเขียนจดหมายแล้วส่งนกฮูกมาที่โรงเรียนก็ได้มะ) และเราจะต้องผจญภัยไปกับการค้นหาความลับต่าง ๆ ที่ซ่อนอยู่ภายในปราสาทฮอกวอตส์ค่ะ
ส่วนอันที่สอง คือ Harry Potter: Wizards Take Flight เกาะบนไม้กวาดให้มั่นแล้วตามแฮกริดบินวนชมทัศนียภาพอันหน้าตื่นตารอบปราสาทในมุมสูง สู้กับผู้เสพความตายกลางกรุงลอนดอน และกลับมาสู่ฮอกวอตส์โดยสวัสดิภาพ
น่าเสียดายที่ตอนเราไปนั้น โซน VR นี้ยังไม่เปิดให้เข้าไปเล่นค่ะ ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าจะเปิดขายบัตรในช่วงกลางซัมเมอร์ (กรกฎาคมเป็นต้นไป) ล่าสุดเราไปเช็คดูในเว็บไซต์ก็ปรากฎว่าเต็มย๊าววววววไปเล้ยยยยยย อาจจะมี No Show บ้างแต่คนรอคิวเสียบก็เยอะมาก ๆ อยู่ดี ฉะนั้นควรวางแผนจองล่วงหน้าไปก่อนนะคะ
เราใช้เวลาอยู่ในร้านทั้งหมดประมาณหนึ่งชั่วโมงเต็มค่ะ แม้ไม่ได้เล่น VR แต่ก็เดินวนไป เวียนมา ซื้อของจุ๊บจิ๊บ ละเลียดจิบบัตเตอร์เบียร์ และชั่งใจว่าจริง ๆ แล้วเราเป็นเด็กเรเวนคลอหรือฮัฟเฟิลพัฟมากกว่ากันนะ ยิ่งโตขึ้นยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนบ้านแบดเจอร์ขึ้นมาทุกที๊ทุกทีแหะ จะซื้อผ้าพันคอสีเหลืองดีมั้ยนะ แต่ที่บ้านก็มีผ้าพันคอน้ำเงินอยู่แล้ว (ซึ่งสรุปว่าไม่ได้ซื้อมาค่ะ ยังคงคิดว่าตัวเองเป็นเด็กบ้านนกอยู่แหละมั้งนะ…)
และถึงแม้ว่าสินค้าภายในร้านจะไม่ค่อยต่างจากใน Universal Studio หรือที่ Platform 9 3/4 มากเท่าไรนัก แต่ก็ได้บรรยากาศของการกลับไปสู่โรงเรียนฮอกวอตส์ที่ชวนให้รู้สึกอิ่มเอมใจค่ะ : )
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in