วันที่ 20 ธันวาคม 2559 ตอนสายๆ แอบแว่บจากที่ทำงานไปแลกเงินที่ superrich เป็นเงินดอลลาร์แถวประตูน้ำ ซึ่งตอนนั้นอัตราแลกเปลี่ยนสูงมาก 38.55 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะต้องออกเดินทางพรุ่งนี้แล้ว
คืนวันที่ 20 ธันวาคม 2559 ก็ยังจัดกระเป๋าเดินทางไม่เสร็จเพราะปกติชอบมาจัดตอนวันใกล้เดินทาง แล้วต้องรีบปั่นงานให้เสร็จด้วย ซึ่งตัวเองทำงานเกี่ยวกับ content วันนั้นมีงานค้างอยู่ 15 contents ซึ่งต้องหา content ที่จะลง, เขียน caption แล้วหารูปวาง mock คร่าวๆ ก็ปั่นทั้งวัน ทั้งที่วันนั้นที่บริษัทให้พนักงานตกแต่งโต๊ะแผนกตัวเองประกวดวันปีใหม่บริเษัท ซึ่งเราก็ไม่ได้ลุกไปช่วยคนอื่นเลย แต่ก็เสร็จงานภายในเย็นวันนั้น แต่ต้องนำมาอ่านทวนหรือปรับแก้ให้เรียบร้อยอีกรอบที่บ้าน ซึ่งกว่าจะเสร็จก็ห้าทุ่มแล้วส่งไลน์ฝากน้องในแผนกอีกคนช่วยดู แต่ความจริงก็ยังเหลืองานค้างอยู่หน่อยนึงของอีกแบรนด์ แต่ตอนนั้นปวดหัว ง่วง คิดไรไม่ออก เลยพักไว้ก่อนกะเอาไปทำที่เนปาลด้วยเพราะต้องแบกโน๊ตบุ๊คไปอยู่แล้วเพราะเป็นแอดมินเพจด้วย สรุปหลังจากจัดการเรื่องงานเสร็จก็จัดกระเป๋าให้เรียบร้อยแล้วเข้านอนเพราะต้องตื่นแต่เช้า
วันที่ 21 ธันวาคม 2559 นั่ง taxi มาถึงสนามบินประมาณ 8 โมง จากบ้านเดินทางมาสนามบินด้วย taxi ประมาณแค่ครึ่งชั่วโมงเพราะอยู่ไม่ไกล มาถึงก็มารอพี่อีกคนที่ร่วมเดินทางแถวๆ ที่เช็คอิน แต่ระหว่างรอก็คิดแล้วคิดอีกว่าตกลงแบกโน๊ตบุ๊คไปนี่ดีหรือเปล่าเพราะหนักจริงๆ แต่มาถึงสนามบินแล้วก็ทำอะไรไม่ได้
ตอนมายืนรอตรงเคาเตอร์เช็คอินของการบินไทย ก็ไลน์ไปถามพี่เขาว่าอยู่ไหน พี่เขาก็บอกใกล้ถึงแล้วก็บอกว่ารอแถวจุดเคาเตอร์เช็คอินนะ พี่เขาก็โอเค ยืนรอประมาณสิบกว่านาที พี่เขาก็มาถึงตรงจุดที่ยืนรออยู่ก็ไปต่อแถวเช็คอินกัน พี่เขาก็ถามเรื่องที่เราแบกโน๊ตบุ๊คไปด้วย แล้วบอกว่าเราควรเคลียร์งานให้เสร็จจะได้เที่ยวเต็มที่เพราะพี่เขาก็รีบเคลียร์งานของเขาเหมือนกัน เราก็เซ็งๆ ว่าจะแบกไปทำไมเพราะหนักแต่ทำอะไรไม่ได้แล้ว เครื่องออก 9.50 น. คนต่อแถวเข้าด้านในก็เยอะเหมืิอนกัน กรอกเอกสาร ตรวจสัมภาระ ตรวจตัว เราโดนเรื่อง power bank ด้วยเพราะปกติเขามีกำหนดความจุไฟฟ้าเท่าไหร่ พกได้กี่ก้อน แต่ power bank เราอันหนึ่ง (จาก 3 อัน) ตัวหนังสือ ตัวเลขจางก็โดนเจ้าหน้าที่เขาว่ามาเพราะเขาเสียเวลามาเช็ค แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ แล้วเราสองคนก็เดินไปหาอะไรทานระหว่างรอเข้า gate และขึ้นเครื่อง ซึ่งตัวเองก็เบิกเงินไทยมาน้อยและค่าอาหารแพง เลยยืมพี่เขาก่อน พอใกล้เวลาเราก็ไปรอที่ gate แล้วขึ้นเครื่องออกเดินทางสู่เนปาล ซึ่งเครื่องก็เลทไปประมาณ 10 นาที ซึ่งตอนนั้นเรากังวลมากเรื่องไปต่อเครื่องบินเล็กไป Pokhara กลัวไม่ทันเช็คอินขึ้นเครื่อง อีกอย่างพี่ที่เคยไป เขาบอกของเขาบินวน 3 รอบกว่าจะเอาเครื่องลงได้ ก็กังวลหน่อยนึงและภาวนาให้ทัน
ขึ้นเครื่องเราก็หลับเลยเพราะเมื่อคืนไม่ได้นอน ปั่นงานแล้วตื่นเช้า มาตื่นอีกทีก็ทานอาหาร ก็เป็นแนวแขกๆ หรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่รสชาติก็โอเค
บินมา 3 ชั่วโมงเศษก็ถึงเนปาล ตอนนั้นมีบางคนลุกขึ้นไปถ่ายภาพภูเขาหิมาลัย (ไม่แน่ใจ แต่ฝั่งที่เรานั่งจะมองไม่เห็น) แต่เราไม่ได้ลุกขึ้นไป พอเข้าถึงสนามบินตริภูวัน เครื่องบินก็ยังลงจอดไม่ได้ต้องบินวน เราก็มองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินก็เห็นภูเขาและบ้านเรือนด้านล่าง เราจะถ่ายภาพภูเขา แต่ติดคุณลุงตัวใหญ่คนหนึ่งที่นั่งริมหน้าต่าง เขาก็ถ่ายภาพเหมือนกัน ตัวเขาเลยบังเรา เราก็หงุดหงิดนิดนึง แต่ก็ถ่ายภาพมาได้เมื่อคุณลุงหลบตัวนั่งดีดี ไม่บังหน้าต่างแล้ว
ตอนเครื่องบินบินวนอยู่ไม่ลงจอดสักที จนเรากังวลดูนาฬิกา เพราะตอนออกเดินทางก็เลท มาถึงก็เอาเครื่องลงไม่ได้ กลัวไปเช็คอินขึ้นเครื่องบินเล็กไม่ทัน ก็คุยกับพี่ว่าพอเครื่องลงจอดและมีสัญญาณให้ลุกจากที่นั่งได้ เราจะวิ่งไปที่ประตูทางออกเลย เตรียมสะพายกระเป๋าโน๊ตบุ๊คเรียบร้อยแล้วดูว่าเครื่องจะลงจอดได้เมื่อไหร่ พี่เขาก็บอกว่าเครื่องเราออกมาเลท พอมาถึงสนามบิน อาจต้องให้เครื่องที่มาตามเวลาลงก่อน เราก็พูดกับพี่ถึงเรื่องที่เป็นข่าวนานมาแล้วที่เครื่องบินไทยมาเนปาลแต่ลงจอดไม่ได้ บินวนสามรอบแล้วเกิดเหตุผิดพลาดชนภูเขาตายยกลำ แต่ที่พูดก็ไม่ได้คิดอะไรในแง่ไม่ดีแค่ตอนนั้นเครื่องบินบินวนจะครบ 3 รอบแล้วยังเหมือนยังลงจอดไม่ได้ แต่สุดท้ายพอบินได้ประมาณ 3 รอบ เครื่องบินก็ลดระดับลงจอดได้สำเร็จ เราก็ดูสัญญาณว่าจะให้ลุกจากเก้าอี้ได้เมื่อไหร่จะเตรียมตัววิ่งฝ่าคนออกไป เพราะที่นั่งเราอยู่เกือบท้ายเครื่อง ประตูออกอยู่แถวหน้าเครื่อง เวลาคนรอลงจากเครื่องจะนานมาก กว่าจะยกกระเป๋าลง กว่าจะก้าวออกจากเครื่อง (ถามพี่เขาเหมือนกันทำไมเลือกที่นั่งตอนช่วงท้ายเครื่อง พี่เขาบอกตอนจอง ระบบเลือกให้) พอสัญญาณลุกจากที่นั่งได้ เราก็วิ่งฝ่าคนออกไปเลยตามทางเดิน แบบชนคนไปตลอดทางเพราะเขาลุกออกมาเอากระเป๋าลงจากช่องเก็บสัมภาระ แต่ตอนนั้นเรารีบและกังวลมากเพราะมันเลททั้งตอนเครื่องออกจากเมืองไทยและมาเลทตอนเครื่องลงจอดที่เนปาล สุดท้ายเราฝ่าคนมาถึงชั้นบิสิเนสคลาส แต่ก็ต้องรอแอร์โฮสเตสมาเปิดประตูก่อนอยู่ดี
ยืนรออยู่หน้าประตู เราก็ลุ้นมาก คือปกติต้องให้ชั้นบิสิเนสคลาสลงก่อน แต่พอประตูเครื่องบินเปิด เราก็วิ่งลงบันไดสู่ลานเครื่องบินเป็นคนที่ 2 เรารีบถามพนักงานแถวบันไดลงเครื่องว่าอาคารไหน แล้วเราก็รีบวิ่งเข้าอาคารผู้โดยสารขาเข้าเป็นคนแรกของเครื่องบินลำที่เรามา
อีกอย่างคือเราไม่แน่ใจว่าคนเยอะหรือเปล่าเพราะเห็นมีเครื่องบินลงก่อนหน้าเครื่องบินของเราด้วย กลัวคนเยอะ แต่ปรากฏเข้าไปจุดผ่านคนเข้าเมือง เราก็เอ๋อหน่อย เพราะตรงจุดตรวจเอกสารแทบไม่มีคนต่อคิวเลย มีกลุ่มผู้ชายชาวเนปาลมองมาทางเรา และมีกลุ่มคนยืนกรอกเอกสารอยู่ด้านใน ผู้ชายคนหนึ่งก็เดินมาทางเราและบอกเราว่าไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ จะไปไหน ประมาณนี้แต่สกัดเราไว้ เพราะความจริงเราวิ่งเข้ามาคนแรกของเครื่องบินด้วยซ้ำแต่เราถูกผู้ชายคนนั้นสกัดจนเราเห็นพี่ที่ตามหลังเรามาผ่านไปที่จุดตรวจคนเข้าเมืองแล้ว เราเลยรีบตามไปยื่นเอกสาร แต่ระหว่างรอเจ้าหน้าที่ตรวจเอกสารก็มีคนสะกิดหลังเรา เราเลยหันไปก็เจอผู้หญิงเป็นคนไทยบอกว่ามีอะไรติดหลังเรา แล้วแกะยื่นให้เราดู ซึ่งเป็นชื่อเราที่เราปริ้นออกมาแปะที่กระเป๋าโน๊ตบุ๊คแล้วมันหลุดมาติดหลังเรา เราเลยขอบคุณเขาแล้วรีบตามพี่ที่มาด้วยกันซึ่งตอนนี้ผ่านเข้าไปด้านในก่อนแล้วให้ทัน พอมาถึงจุดรับประเป๋าก็ต้องรอไม่รู้ว่ากระเป๋าเดินทางของตัวเองจะเลื่อนออกมาเมื่อไหร่ เราเลยบอกพี่เขาให้เอาพาสปอร์ตของเขามา เราจะไปเช็คอินเครื่องบินเล็กให้ก่อน ให้พี่เขารอที่นี่เอากระเป๋าเดินทางเราให้ด้วย อย่าไปไหน ซึ่งความจริงเราขึ้นเครื่องบินไม่บ่อย แต่เราคิดว่าต้องไปเช็คอินก่อนอย่างน้อย 1 ชั่วโมงและเราเคยถามไปยังสายการบินเล็กที่จะไป Pokhara ว่าถ้าเครื่องบินเรามาถึงเวลานี้ เราจะไปเช็คอินเครื่องบินเล็กทันไหม
เราวิ่งออกจากตัวอาคารเพื่อตามหาอาคารสายการบินภายในประเทศ ซึ่งตอนออกมาเราเห็นร้านขาย Ncell ด้วยแต่เราไม่มีเวลาซื้อ ตอนออกมามี taxi มาถามเราจะไปไหนแล้วบอก 5 ดอลลาร์ แต่เราไม่เอา และคิดว่าแพงมาก เราคิดว่าอาคารสนามบินภายในประเทศไม่น่าจะอยู่ไกลมาก เราก็วิ่งถือใบจองตั๋วเครื่องบินเล็กที่ปริ้นออกมา ไล่ถามคนแถวนั้นไป ซึ่งปรากฏก็ไกลพอสมควรมีขึ้นเนิน ปีนข้ามรั้วเล็กด้วย (มีทางเข้าแบบไม่ต้องปีนรั้วเล็กแต่ต้องเดินอ้อมไปอีก ไม่ไหว เหนื่อยแล้ว รีบด้วย) ซึ่งเราก็แบกโน๊ตบุ๊คไปด้วย ซึ่งยิ่งหนักทำให้ยิ่งเหนื่อย พอเข้าอาคารสายการบินภายในประเทศ เขาก็ให้วางกระเป๋าโน๊ตบุ๊คเข้าเครื่องสแกน ตรวจตัวตามปกติ เรามองหาเคาน์เตอร์เช็คอินของสายการบิน ซึ่งก็มีของหลายสายการบินเล็กเรียงกันอยู่ เราก็เดินไปเคาน์เตอร์ของสายการบินที่เราจอง แล้วเราก็ถามเขาว่าทันไหมเช็คอิน เขาก็ดูใบจองเราและบอกเหลือเวลาอีก 40 นาที เราก็ใจชื้นขึ้นแต่เราก็ฮะ??? นี่จะบ่ายสองแล้วนะ เราคิดเหมือนสายการบินบ้านเรา ไม่มา check-in ก่อนเวลานี้ เชิญซื้อตั๋วใหม่ หรือที่เราส่งเมลถามสายการบินนี้ เขาก็ตอบมาว่ามาไม่ทันไปซื้อใหม่แล้วไปอีกวัน แต่เมื่อยังมีเวลา เราก็คิดว่าเหลือเวลากลับไปซื้อ Ncell ด้วย
แต่ปรากฏเราเช็คอินไม่ได้ แม้มีพาสปอร์ตของพี่ที่มาด้วยกัน เพราะต้องมีพี่เขามาด้วย เราเลยรีบวิ่งกลับไปที่อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ซึ่งความจริงเรารีบออกมาเพื่อมาอาคารสนามบินภายในประเทศ เลยจำหมายเลขประตูที่ออกไม่ได้ แต่จำว่ามี Ncell อยู่แถวทางออก พยายามมองหาพี่เขาระหว่างทางออกแต่ละประตูก็ไม่เจอ คนก็ค่อนข้างเยอะ เลยเข้าไปที่ทางออกที่ 4 ก็โดนพนักงานไม่ให้เข้า ต้องเอาพาสปอร์ตให้เขาดู เข้าจุดตรวจเช็คตามตัว ซึ่งตอนนั้นซิปกางเกงเราเลื่อนลงมาแบบไม่รู้ตัว เจ้าหน้าที่เขาก็บอกให้เรารูดซิปขึ้น อายเหมือนกัน เฮอะเฮอะ พอตรวจเสร็จ เราก็รีบเข้าไปที่จุดรับกระเป๋า ก็ไม่เจอพี่เขาอีก หาจนทั่วทุกสายพานก็ไม่มี ออกมาก็ไม่เจอ หรือพี่เขาไปอาคารผู้โดยสารในประเทศแล้ว คือติดต่อกันไม่มีทางได้ เพราะอยู่ต่างประเทศมือถือไม่มีเนต ทีนี้้เราเลยเริ่มร้อนรน เพราะตอนวิ่งกลับมาก็ไม่เจอพี่เขาแล้วพี่เขาอยู่ไหนเลยวิ่งย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อไปที่อาคารสายการบินภายในประเทศอีกรอบ คือวิ่งสลับเดินเร็วแต่ละรอบประมาณ 10 นาที ไป-กลับรวมประมาณ 20 นาทีแบกกระเป๋าโน๊ตบุ๊คด้วย เหนื่อยมาก แล้วต้องเดินขึ้นเนินปีนรั้วเล็ก พอย้อนเข้าอาคารก็โดนเจ้าหน้าที่ตรวจใหม่แล้วเขาก็ถามเราเพราะจำเราได้ว่าเพิ่งเข้ามาเมื่อกี้เอง เราเลยบอกเขาไปว่าเราตามหาพี่ที่มาด้วยกันไม่เจอ เข้าไปที่เคาน์เตอร์เช็คอินเพื่อถามเขาว่าฝากกระเป๋าโน๊ตบุ๊คได้ไหม เดี๋ยวมา คือไม่กลัวหายเลยตอนนั้น สติกระเจิงว่าหาพี่เขาไม่เจอจะทำไง ติดต่อกันไม่ได้ wifi ไม่มี โทรหากันก็ไม่ได้ แล้วถ้าขึ้นเครื่องบินไม่ทันทำไง แต่เขาไม่รับฝาก เราเลยถามว่าเหลืออีกที่นาที เขาบอก 20 นาที เราเลยวิ่งกลับไปใหม่ทางเดิมพร้อมแบกโน๊ตบุ๊คไปที่ทางออก 4 เหมือนเดิม ระหว่างทางก็มองหาพี่เขา แต่ไม่เจอ เริ่มร้อนรนกว่าเดิมว่าจะทำอย่างไรดี ถ้าขึ้นเครื่องไม่ทัน แผนก็ต้องเปลี่ยนใหม่ ที่พักอีก และค่าเครื่องบินก็ต้องทิ้งไป (คนละ 92 ดอลลาร์) เพราะมาเช็คอินไม่ทันเอง แล้วเงินมันไม่พอ เลยวิ่งย้อนมาที่อาคารสายการบินภายในประเทศอีก ไปที่เคาน์เตอร์เช็คอินสายการบินเพื่อถามว่าอีกที่นาที เขาบอกอีก 10 นาที เขาแนะให้โทรถาม ซึ่งเราคิดในใจว่าถ้าโทรได้คงโทรไปแล้วไม่ต้องรอให้ใครบอกหรอก
เราเลยต้องวิ่งย้อนไปอีก ภาวนาให้เจอ ซึ่งออกจากอาคารสนามบินภายใน ก็ต้องเดินมาทางเดิมอีก ปีนรั้วเล็กๆ แล้วลงเนิน เดินต่อไป จากในภาพ อาคารสูงๆ สีขาวนี่เหมือนจะอยู่แค่จุดเริ่มของอาคารสายการบินระหว่างประเทศ ส่วนทางออก 4 ก็อยู่เกือบสุดอาคารเลย ซึ่งระยะทางไกลมาก แต่ครั้งนี้โชคดี คือถ้ารอบนี้ไม่เจอพี่เขานี่ตายแน่ๆ เพราะนอกจากเสียค่าเครื่องบินฟรี แผนการต้องเปลี่ยน ไม่มีเงินพอซื้อตั๋วเครื่องบินใหม่แถมยังจะโดนพี่เขาด่าอีก (นี่เพิ่งลงเครื่องบินไม่ถึงชั่วโมงเลยนะ) แต่สุดท้ายพอจะถึงอาคารสายการบินระหว่างประเทศ เจอพี่เขาลากกระเป๋าเดินทางสองใบคือของเราและของพี่เขายืนคุยกับผู้ชายคนหนึ่งเหมือนเป็นคนขับรถ taxi เราดีใจที่ในที่สุดก็เจอรีบวิ่งไปเรียกพี่เขาไว้ พี่เขาก็หันมาแล้วบอกปฏิเสธผู้ชายคนนั้นไป เราก็โดนพี่เขาด่าที่หายไปเลย เราก็บอกให้พี่เขารอที่จุดรับกระเป๋า พี่เขาก็บอกรออยู่แถวนั้นแต่เราหายไปไหน คนก็เยอะ ใช่คนเยอะจริงๆ คืออาจคลาดกันเพราะคนเยอะมาก และเรารีบพยายามมองหาคนใส่ชุดแบบนี้ ผมทรงนี้แล้ว เราก็ลากกระเป๋าตามพี่เขาไปอย่างเร็ว ก็บอกพี่เขาว่าเหลือไม่ถึง 10 นาทีให้ไปเช็คอิน เดินขึ้นเนินตามกันมาตรงรั้วกั้นขัามไปสู่อาคารสนามบินในประเทศ ทางก็ขรุขระ ตรงรั้วนั้นจะมีผู้ชายประมาณสามคนนั่งอยู่บนรั้วกั้น (ตอนถามทางไปอาคารสนามบินภายในประเทศตอนที่มาตรงจุดนี้ครั้งแรกก็เคยถามทางผู้ชาย 1 ในนั้น) ผู้ชายพวกนั้นก็หันมาแต่ก็ไม่ได้ช่วยไร คือเขาหันมาเจอและเมิน เรารู้เลยคือไม่ช่วยมรึงอ่ะ เราก็ยกกระเป๋าเดินทางให้ข้ามรั้ว ตอนแรกจะลอดช่องว่างระหว่างราวเหล็กที่กั้นของรั้วแต่ไม่ได้เพราะกระเป๋าใหญ่เกินเลยยกข้ามรั้วขึ้นไป แล้วปีนข้ามรั้วตามไป แต่พี่เขายกกระเป๋าข้ามมาไม่ได้ เราเลยเข้าไปช่วย พี่เขาก็ว่าผู้ชายพวกนั้นไม่มีน้ำใจ เราก็เห็นด้วย แต่พอยกกระเป๋าขึ้นข้ามรั้วมาได้ครบ พวกเราก็รีบเดินเข้าสู่อาคารสนามบินภายในประเทศทันที
มาถึงเคาน์เตอร์เช็คอินของสายการบินก็ปรากฏว่าก็ยังทันเวลา มาคิดถึงตอนนี้ก็คือเหมือนเราโชว์โง่มาก รีบแทบตาย คือชิลๆ ไปยืนรอกระเป๋าเดินทาง (พี่บอกว่ากระเป๋าของพวกเราออกมาท้ายสุด) แล้วค่อยเดินมาก็ยังทัน นี่วิ่งแบกโน๊ตบุ๊คไปมา 5 รอบเหนื่อยมาก ขึ้นเนิน ปีนรั้ว ฝ่าทางขรุขระ พอเราได้รับตั๋วเครื่องบินก็เข้าสู่ด้านในตัวอาคารผู้โดยสารเพื่อรอขึ้นเครื่องบินเล็ก (ซึ่งไม่รู้จะเลทหรือเปล่า) แต่พี่เขาก็ว่าที่นี่ชิลๆ slow life ไม่ต้องรีบ
ตอนเดินเข้าไปด้านในก็มีผู้โดยสารนั่งรอขึ้นเครื่องบินเยอะเหมือนกัน เคาน์เตอร์ของสายการบินที่เราจะเดินทางไป เขาก็ยังไม่เปิดเคาน์เตอร์ เลยไปเข้าห้องน้ำ แลกเงินดอลลาร์เป็นเนปาล ตกลงแลกกันคนละ 100 ดอลลาร์ก่อน ซึ่งเรทประมาณ 104 เนปาลเท่ากับ 1 ดอลลาร์ เราเตรียมไป 400 ดอลลาร์ ไม่พอค่อยหาที่แลกใหม่ ก็ได้มา 10,460 เนปาล นั่งรอได้สักพักเคาน์เตอร์ก็เปิด เราก็ไปขึ้นรถบัสคันเล็กเพื่อไปรอขึ้นเครื่องบินเล็กที่ลานจอด
ขึ้นรถบัสมาเราได้นั่งตอนท้ายๆ รถ ตอนแรกอยากนั่งตอนแถวหน้าๆ รถจะได้ลงรถเร็วๆ ไปขึ้นเครื่องบินเล็ก แต่ที่นั่งเต็ม ก็นั่งรถบัสไปแป๊ปนึง ผ่านเครื่องบินเล็กหลายลำที่จอดอยู่ พอถึงที่จอดเครื่องบินเล็กของสายการบินก็ต้องรอบนรถก่อน ตอนนั้นเหมือนมีคนลงหรือเปลี่ยนที่นั่งสักอย่าง แถวที่นั่งตอนแถวหน้าๆ เลยว่าง เราเลยชวนพี่ย้ายไปนั่งจะได้ลงจากรถบัสไปขึ้นเครื่องบินเร็วๆ เพราะเราอยากเลือกที่นั่งฝั่งที่เห็นภูเขาหิมาลัย
นั่งรถบนรถบัสได้สักพักเพื่อรอให้เครื่องบินพร้อม เขาก็เรียกให้ไปขึ้นเครื่องบิน เราก็รีบขึ้นไปเป็นคนที่ 2 พี่เขาก็ฝากเราจองที่นั่งให้ด้วยเพราะพี่เขาจะถ่ายภาพเครื่องบินก่อน เราก็โอเค รีบขึ้นเครื่องแล้วถามแอร์โฮสเตสว่าฝั่งไหนจะเห็นภูเขาหิมาลัย แอร์เขาก็บอกฝั่งขวามือ เราเลยรีบหาที่นั่งและเอากระเป๋าไปจองที่นั่งให้พี่เขาข้างหลังที่นั่งเรา
บนเครื่องบินเล็กจะมีที่นั่งสองฝั่ง ฝั่งละเก้าอี้ เรานั่งแถวที่ห้า สักพักแอร์โฮสเตสก็เอาลูกอมมาแจกและสำลีสำหรับไว้อุดหู (สำลีไว้อุดหูนี่คิดเอาเองแต่น่าจะใช่เผื่อหูอื้อแบบนี้)
เมื่อทุกอย่างพร้อม เครื่องบินก็ออกเดินทางสู่ Pokhara ซึ่งก็เลทเพราะออกเดินทางบ่ายสามโมง ตามที่อ่านรีวิวมาจะเดินทางประมาณ 20 - 25 นาที ซึ่งพอเครื่องบินผ่านภูเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะและอยู่เหนือเมฆ เราก็เอามือถือมาถ่ายภาพไว้หลายรูปเพราะสวยมาก รู้สึกดีใจ ประทับใจที่ได้บินด้วยเครื่องบินเล็กแม้ตอนแรกไม่ได้อยากเดินทางแบบนี้เพราะราคาตั๋วเครื่องบินแพงมาก แต่ก็ถือว่าได้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าประทับใจกลับมา
แต่ข้อเสียของการถ่ายภาพครั้งนี้คือ ตอนเราเลือกที่นั่งเราไม่ได้ดูว่าที่นั่งของเราติดปีกเครื่องบิน และลองลุกไปที่นั่งของพี่ข้างหลัง ก็ติดปีกเครื่องบินเหมือนกัน คือพลาดอีกแล้วเรา และอีกอย่างที่บรรยากาศภายนอกสวย แต่หน้าต่างเครื่องบินมัวและสกปรกเลยได้รูปออกมาไม่ค่อยชัดเจนแต่ก็ถือว่าได้มาเห็นภาพแบบนี้ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์และความประทับใจมากพอแล้วเหมือนกัน
เดินทางมาได้สักพักตามเวลาซึ่งเราคิดว่าน่าจะ 30 นาที เครื่องบินเล็กก็ลงจอดที่สนามบิน Pokhara ขอถ่ายภาพคู่เครื่องบินสักสองสามรูปก็เดินทางไปรับกระเป๋าเดินทางที่ภายในอาคารแล้วออกมาหา Taxi เพื่อเดินทางเข้าที่พัก โดยเอาใบที่เราปริ้นจองโรงแรมออกมาเพื่อให้คนขับ taxi ดูว่าเราจะไปที่ไหน ซึ่งจะมีที่อยู่ในใบนั้นด้วย
Taxi จะมีจอดรอผู้โดยสารในบริเวณสนามบินเลย ตอนแรกคนขับบอก 400 รูปีเนปาล แต่พี่เขาไม่เอา แล้วมานั่งตรงบริเวณแถวนั้น พี่บอกเราว่าต้องการถูกกว่านี้ เราก็โอเคแล้วลองถามยามเรื่องรถโดยสาร ซึ่งเขาบอกว่าลำบากให้ไป taxi นั่งรอกันไปแป๊ปนึง คนขับก็เดินมาบอกว่า 300 รูปีเนปาลแล้วกัน ซึ่งตกคนละ 150 รูปีเนปาล ซึ่งพี่เขาก็ตกลง เราก็เดินขึ้นรถ แต่กระเป๋าเดินทางใส่ในรถไม่พอ ของเราเลยไปอยู่บนที่วางของบนตัวรถแทน เราก็หวั่นใจกลัวกระเป๋าตกลงมา แต่ก็เดินทางไปถึงโรงแรมโดยสวัสดิภาพ ซึ่งพอใกล้ถึงโรงแรม เราก็มองหาทะเลสาบเฟวา เพราะตามแผนที่บอกโรงแรมตั้งอยู่ไม่ไกลทะเลสาบนี้ แต่ก็เจอแบบคลองน้ำสีเขียวๆ ระหว่างทางเข้าซอยโรงแรม เราก็หันไปบอกพี่ที่นั่งข้างๆ ว่าเหมือนคลองประปา แต่ก็ลุ้นอีกทีว่าทะเลสาบจริงๆ จะเป็นอย่างไร
พอรถมาถึงโรงแรม เราก็รีบวิ่งเข้าโรงแรมเพื่อแลกเงินทันที ก็ไปที่รีเซฟชั่น บอกว่าเราพักที่นี่และต้องการแลกเงินจ่ายค่า taxi เพราะออกคนละ 150 รูปีเนปาล เราไม่อยากติดเงินพี่เขา แล้วจะได้เคลียร์เงินกันให้เรียบร้อย พนักงานก็ออกไปช่วยยกกระเป๋าเดินทาง เราก็เอาเงินที่แลกไปจ่ายคืนพี่เขา ซึ่งโรงแรมที่เราพักก็ดูดีน่าอยู่ทีเดียว ราคาก็ไม่แพงประมาณคนละ 400 กว่าบาทต่อคืน ชื่อ "Hotel Tara" พี่เข้าไปติดต่อเรื่องที่พัก ก็อยู่คนละห้องตามที่จองและอยู่ชั้นเดียวกันคือชั้น 2
เมื่อเข้าห้อง เราก็เดินสำรวจห้องซึ่งมีระเบียงอยู่หน้าห้องด้วย น่าอยู่มาก แล้วเราก็เดินหาพวกปลั๊กไฟ เพราะเราต้องเสียบปลั๊กโน๊ตบุ๊ค, ปลั๊กมือถือและปลั๊ก Power bank 2 อัน ซึ่งตอนแรกเรากังวลไม่มีที่เสียบปลั๊กเพียงพอ แต่ปรากฏมีหลายปลั๊ก และดีที่เราพักคนเดียวเพราะทุกปลั๊กไฟเป็นของเราไม่ต้องแย่งกัน เราก็เดินดูหัวเต้าเสียบ ปรากฏมีหลายแบบ ข้างเตียงนอนเป็นหัวกลม เราไว้เสียบโน๊ตบุ๊ค ตรงพื้นแถวประตูทางเข้าเอาไว้เสียบมือถือ ปลั๊กในห้องน้ำไว้เสียบ Power bank
โชคดีมากที่หัวเต้าเสียบแบบกลมที่เสียบปลั๊กโน๊ตบุ๊คได้อยู่หัวเตียงพอดี แต่เรื่องปลั๊กไฟ เราต้องวิ่งลงไปหาพนักงานโรงแรมให้มาช่วยดูเพราะตอนแรกเสียบปลั๊กโน๊ตบุ๊คไม่ติด และหาปลั๊กเสียบ Power bank ไม่เจอต้องให้พนักงานมาดูให้และขอรหัส wifi มาลองเข้าเนตดูด้วย ซึ่งเวลาจะเล่นมือถือระหว่างชาร์จไฟก็นั่งเล่นที่พื้นไปชิลๆ ซึ่งก็โอเคมาก
พอจัดของเสร็จ พี่เขาก็มาเคาะห้องเรียกไปเดินเล่น ตอนแรกเราก็เหนื่อยๆ แต่ก็ตามพี่เขาออกไปเดินดูรอบๆ ว่ามีอะไรบ้างและหาอาหารเย็นทานด้วย พอลงมาที่รีเซฟชั่นก็บอกพนักงานเรื่องที่เราจะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เขาซารางก็อตแล้วจ่ายเงินเหมารถคนละ 1,250 รูปีเนปาลและติดต่อจองรถกลับไปกาฐมาณฑุด้วยวันที่ 23 ธันวาคม คนละ 900 รูปีเนปาล พอจัดการเสร็จแล้ว พี่เขาก็เดินนำไป เราเดินตาม ซึ่งข้างทางก็มีร้านค้า ร้านอาหารมากมาย และมีร้านที่รับแลกเงินด้วย เรทอยู่ที่ 105.5 รูปีเนปาลต่อ 1 ดอลลาร์
เราเดินตามพี่เขาไปจนถึงทะเลสาบเฟวา ก็มีเรืออยู่ในทะเลสาบหลายลำ และมีร้านอาหารแถวๆ ริมทะเลสาบหลายร้าน คือถ้านั่งทานอาหารไปชมวิวไปคงชิลมาก แต่ก็ต้องดูราคาด้วย เราก็เดินชมบรรยากาศวิวทิวทัศน์และถ่ายภาพไปเรื่อยๆ อากาศก็เย็นๆ แต่ชิลมาก ดีใจที่ได้มาสุดสุดตอนนี้
เดินชมทิวทัศน์และร้านค้าข้างทางกันไปเรื่อยๆ ฟ้าก็มืด ก็เลยตกลงที่จะหาร้านทานอาหารเย็นกัน ซึ่งก็มีหลายร้านให้เลือก เรากับพี่ก็ช่วยกันดูเมนูว่าทานได้ไหม ราคาเท่าไหร่ซึ่งเราก็บอกพี่เขาว่าขอราคาไม่แพงและทานได้ ก็เดินดูเมนูหน้าร้านกันหลายร้านจนตัดสินใจเลือกร้านหนึ่งซึ่งบรรยากาศก็โอเคและอาหารไม่แพงมาก และมีอาหารที่เราทานได้ซึ่งก็ไม่ใช่อาหารพื้นเมืองแต่เป็นอาหารทั่วๆ ไป เราเลือกสั่งข้าวผัดไก่ซึ่งราคาถูกคือ 295 รูปีเนปาล หรือประมาณ 3 ดอลลาร์ ซึ่งรวมค่าเครื่องดื่ม มื้อนั้นของเรารวม 365 รูปีเนปาล ซึ่งเรากับพี่คิดกันง่ายๆ ไปเลย เอาเป็น 1 ดอลลาร์ เท่ากับ 100 รูปีเนปาล ซึ่งหลายร้าน ถ้าจำไม่ผิดจะมีภาษีและค่าบริการ แต่ร้านนี้ไม่มี ซึ่งถือว่าราคาไม่แพงถึงขั้นถูกเลยทีเดียว
เมื่อทานเสร็จ เรากับพี่ก็เดินกลับโรงแรม ซึ่งช่วงนั้นใกล้วันคริสต์มาส บางร้านก็มีการตกแต่งร้า่นหรือมีพนักงานต้อนรับใส่ชุดซานตาคลอสมาต้อนรับลูกค้า
เมื่อเดินถึงโรงแรมก็ติดต่อรีเซฟชั่นเพื่อย้ำเวลาอีกทีที่พรุ่งนี้จะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นและชมทิวเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะของเขาซารางก็อต ซึ่งพนักงานนัดให้มาเจอกันหน้าโรงแรมประมาณตีห้า พวกเราก็บอกให้มีพนักงานมาเคาะประตูปลุกด้วยเผื่อเราตื่นกันไม่ทัน แล้วเราสองคนก็แยกย้ายกันเข้าห้องพัก แต่เราก็บอกพี่เขาก่อนเข้าห้องว่าสถานที่ท่องเที่ยวเราเตรียมหามาเหมือนกันใส่ใน word ไว้เดี๋ยวอาบน้ำแล้วจะยกคอมเอาไปให้ดูที่ห้อง พี่เขาก็ตกลงให้มาเคาะประตูเรียกแล้วกัน
พออาบน้ำเสร็จเราก็มานั่งทำรายการรายจ่ายและติดหนี้พี่เขาเอาไว้ เพราะบางอย่างพี่เขาจ่ายรวมไปก่อนแล้วค่อยเอาเงินมาคืน จะได้เคลียร์กันว่าไม่มีการโกงแล้วเราก็ถ่ายภาพที่เราทำรายการส่งให้พี่เขาเป็นหลักฐานและตรวจสอบทางไลน์ แล้วยกโน๊ตบุ๊คไปให้พี่เขาดูสถานที่ท่องเที่ยวที่เราหามาว่าน่าสนใจหรือเปล่าที่ห้อง
พอดูสถานที่ท่องเที่ยวกันเรียบร้อย เราก็กลับมาที่ห้องแล้วเริ่มทำงานที่ค้างเอาไว้ ทั้ง content ที่เหลืิอ ตอบคำถามลูกเพจ และเลือกผู้ได้รับรางวัลจากกิจกรรม กว่าจะเสร็จก็ตีสอง ทำแบบมึนๆ และคิดว่าทำไมไม่ฝากงานไว้ที่เพื่อนร่วมงานคนอื่น เพราะงานเราก็เกือบเสร็จ แต่เลือกผู้ได้รับรางวัลนี่พอดีวันที่เราเดินทางไปน่าจะเป็นวันหมดเขตเล่นกิจกรรมพอดีเลยต้องมาเลือกผู้ได้รับรางวัลวันนั้นแล้วส่งเมลกลับหาทีมให้ช่วยทำ AW ซึ่งดีมากที่แยกห้องกับพี่เขานอนเพราะไม่งั้นเปิดไฟทำงานแบบนี้ โดนด่าแน่นอน หรือไม่ก็เกรงใจมากๆ แต่เราก็เปิดไฟนอนอยู่ดีถ้านอนคนเดียว
พองานเสร็จแล้วก็นอน แต่นอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมงก็มีเสียงเคาะห้องดังมาก เราตกใจตื่น รวบรวมสติลงไปข้างล่างเพื่อบอกให้เขารอก่อน เพิ่งตื่น แบบอากาศหนาวมาก ฟันเรากระทบกันกึกๆ ขนาดใส่เสื้อกันหนาวลงไปแล้วไปถามแบบสติไม่มา ภาษาอังกฤษไม่ได้ว่าพี่ที่มากับเราลงมายัง ปรากฏยังไม่ลงมา เราเลยเดี๋ยวเราเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ให้รอก่อนๆ แล้วรีบขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า สะพายกระเป๋าเป้ลงมา (ส่วนเงินที่แลกมา แบ่งซ่อนไว้ในกระเป๋าเดินทางส่วนใหญ่ เอามาจำนวนไม่มากเผื่อกระเป๋าเงินหาย) แล้วลงมา
รอออกเดินทางด้วยรถโรงแรมที่เหมาไว้ ก็หลับๆ ตื่นๆ ไปตลอดทางเพราะง่วงมาก ซึ่งพอมาถึงก็ต้องจ่ายเงินค่าเข้า 50 รูปีเนปาลซึ่งเราให้พี่เขาจ่ายไปก่อน เพราะเราไม่มีแบงค์ย่อย แล้วรถก็พาเราไปจอดที่ทางขึ้นทางหนึ่ง พี่เขาก็สงสัยว่าใช่เหรอเห็นมีรถคันหน้าเราขับขึ้นไปอีก แต่คนขับรถก็บอกให้เราขึ้นไปตรงนี้ เราก็ไปยืนก็เจอแต่ความมืด มองไม่เห็นอะไร และมีแค่เรายืนกันอยู่แค่ 2 คนตรงนั้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in