ตี 5.33 (เวลาจากรูปที่ถ่ายไว้) เราสองคนก็ขึ้นมายืนตรงจุดชมวิวเพื่อรอชมพระอาทิตย์ขึ้นและทิวเขาหิมะกันมืดๆ สองคน หันไปมองรอบๆ ก็เจอแต่ความมืด ยืนกันได้สักพักก็ไม่แน่ใจว่ามาถูกที่หรือเปล่าเพราะยืนกันอยู่สองคนจริงๆ ไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นมาอีกเลยสักคน
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/95b4bbb9.jpg)
ยืนกันได้ 2 - 3 นาทีก็ตัดสินใจพากันเดินลงมาข้างล่างเพราะข้างบนมืดมองอะไรก็ไม่เห็นจริงๆ ข้างล่างจะสว่างกว่าเพราะมีแสงไฟจากร้านค้าและมีคนอยู่บ้างแต่เป็นคนท้องถิ่นแถวนั้น
พวกเรายืนรอ นั่งรอ เดินเตร่อยู่ได้สักพัก นักท่องเที่ยวก็เริ่มทยอยมา เราก็ให้พวกเขาขึ้นไปก่อนเพราะยังไงตอนนั้นก็มืด พี่เขาก็นั่งรอแถวร้านค้าแถวนั้น เราก็เดินขึ้นลงคอยเวลา ประมาณ 6.10 น. พวกเราก็เดินกลับขึ้นไปที่จุดชมวิวรอชมพระอาทิตย์ขึ้น ก็พยายามหาทำเลยืนดีดีเพื่อจะได้ถ่ายภาพความสวยงามตอนพระอาทิตย์ขึ้นได้เต็มที่ (ต้องทราบก่อนว่าด้านไหนพระอาทิตย์จะขึ้น ซึ่งเราเห็นนักท่องเที่ยวคนอื่นไปยืนตรงด้านไหนเยอะ เราก็ไปแย่งที่ยืนกับเขาตรงด้านนั้น)
บนจุดชมวิวจะมีจุดหนึ่งที่อยู่สูงกว่าจุดอื่นเป็นอาคารที่ขึ้นไปชั้น 2 แต่จะต้องเสียเงินขึ้นไปแต่น่าจะได้วิวที่สวยกว่า แต่พวกเราไม่ได้ขึ้นไป ไม่อยากเสียเงินเพิ่ม เอาตรงที่ยืนชมพระอาทิตย์ขึ้นและทิวเขาหิมะได้ก็พอแล้ว
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/3fb6d7a3.jpg)
พอท้องฟ้าเริ่มสว่าง นักท่องเที่ยวก็เยอะขึ้นแล้วก็มายืนกระจุกอยู่ตรงด้านที่พระอาทิตย์จะขึ้นด้วยกัน เราก็พยายามแทรกตัวอยู่ๆ แถวนั้นเพราะอยากมีช่องว่างไว้ถ่ายภาพแบบไม่มีใครมายืนบังแต่เพราะเมื่อคืนฝนตกหนักมาก หมอกลง พอแสงแดดเริ่มเต็มฟ้า เราก็ยังมองไม่เห็นพระอาทิตย์อยู่ดีเพราะเมฆบังและไม่เห็นภูเขาหิมะด้วย จนพี่เขาบอกว่าไฮไลท์คือภูเขาหิมะ เราก็บอกว่าใช่ เพราะพระอาทิตย์ขึ้น เราไปชมบนภูเขาในบ้านเราหลายที่แล้ว ไม่ว่าจะชมจากบนภูเขาหรือชายทะเล ซึ่งเสียดายมากๆ อุตส่าห์ขึ้นมาชมความสวยงามที่บ้านเราไม่มี และสุดท้ายไม่ว่ารอนานแค่ไหนจนเกือบ 7 โมงเช้า เมฆก็ยังบังพระอาทิตย์อยู่ดี หมอกก็ยังไม่หายไป
รอจนเริ่มสาย 7 โมงเช้าแล้วก็ถอดใจเดินลงบันไดมา ซึ่งระหว่างทางลงก็มีของพื้นเมืองขายก็สวยดีแต่ไม่ได้ซื้อเพราะกะไปซื้อของฝากที่กาฐมาณฑุทีเดียวเลย
เราสองคนเดินเตร่ไปมาแถวร้านค้าตรงนั้นจนคิดว่าจะไม่ได้ภาพพระอาทิตย์หรือภูเขาหิมะแล้วแหละและจะเดินทางกลับที่พักแล้ว แต่อยู่ๆ ก็มีคุณลุงคนหนึ่งมาเรียกเราให้เดินตามเขาไป เราก็เลยเดินตามเขาไปจนสุดริมทางด้านนึงซึ่งก็ไม่ไกลนักก็เลยทราบว่าเขาตามให้เราตามมาดูพระอาทิตย์ เราเลยได้ถ่ายภาพพระอาทิตย์ก่อนกลับ แต่เมฆและหมอกก็ยังบังภูเขาหิมะที่ตั้งใจอยากมาชมอยู่ดี
เมื่อกลับมาถึงที่พักตอนประมาณ 7 โมงกว่า ก็นัดเจอกันอีกทีตอนสายๆ เพราะตอนนี้ง่วงมาก ขอนอนก่อน จะออกเดินทางตอนไหนก็ให้พี่มาเคาะประตูห้องเรียก แล้วเราก็นอนไปจนถึง 11 โมง พี่เขาก็มาเคาะห้องเรียกให้เตรียมตัวเที่ยวต่อ ซึ่งพอออกจากโรงแรมมาเราก็มองหาร้านอาหารกันก่อน ซึ่งเมื่อวานเดินสำรวจตอนเย็นๆ ก็มีร้านอาหารอยู่แถวปากซอยโรงแรมเราหลายร้านเหมือนกัน ซึ่งร้านที่เราเลือกก็อยู่หน้าปากซอยโรงแรมเราเลย เป็นร้านที่ตกแต่งสวยดี สนใจตั้งแต่เมื่อวานและก็คิดว่าอาหารน่าจะแพง แต่ก็ต้องขอดูเมนูและราคาก่อนว่าโอเคหรือเปล่า สรุปคือราคาก็ไม่ได้แพงจนแตกต่างจากร้านที่เราทานเมื่อวานมากนัก
เรา 2 คนสั่งเมนูเดียวกันคนละ 580 รูปีเนปาลแต่มีค่าบริการและภาษีอีก สรุปมื้อนั้นรวม 1,441.88 รูปีเนปาล ซึ่งมื้อนี้เราขอจ่ายเพราะติดหนี้พี่เขาเมื่อวานอยู่ ซึ่งพี่เขาก็โอเค เราก็จ่ายไปแล้วถ่ายภาพบิลไว้เป็นหลักฐานเผื่อเอาไปคิดรายจ่ายรวมของวันนี้และหักหนี้ที่ติดพี่เขาเมื่อวานให้เรียบร้อย ซึ่งตอนที่อาหารมาก็ผลัดกันถ่ายภาพอาหาร และเราก็เดินไปถ่ายภาพภายในร้านรวมถึงรอบๆ ร้านด้วยเพราะตกแต่งสวยดี
พอทานเสร็จเราก็เดินไปที่ทะเลสาบเฟวาเพราะเป็นไฮไลท์ที่ห้ามพลาดและมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่ต้องไปเที่ยวชมให้ได้อยู่ตรงนั้น พวกเราใช้เวลาเดินจากร้านอาหารเช้าของเราไปประมาณ 15 นาทีก็ถึงทะเลสาบเฟวา ซึ่งวันนี้เราตั้งใจจะล่องเรือไปยังสถานที่ที่เราต้องการเที่ยวชมกัน (การได้ล่องเรือในทะเลสาบเฟวาเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้ ไม่งั้นเหมือนมาไม่ถึงโพคาราสำหรับเรา) ซึ่งราคาสำหรับการนั่งเรือท่องเที่ยวก็มีให้เลือกหลากหลายราคาตามสถานที่ที่ไป
เราเลือกที่จะไปวัดกลางน้ำและ "World Peace Pagada" แบบไป - กลับ จ่ายคนละ 830 รูปีเนปาล ซึ่งใน MV "ดวงตากับความรัก Ost. เฟวา...โพคารา ดวงตากับความรัก" ที่พี่เขาเคยส่งมาหรือหาดูรูปถ่ายจาก Google น้ำในทะเลสาบเฟวาจะเป็นสีฟ้าสวยมากและสะท้อนเงาภูเขาหิมะ แต่ที่เรามาเห็นของจริงคือน้ำเป็นสีเขียวและไม่ได้สะท้อนเงาภูเขาหิมะอะไรเพราะภูเขาก็ไม่ได้ปกคลุมด้วยหิมะด้วยแต่เป็นภูเขาสีเขียวธรรมดา ซึ่งเราก็บอกพี่ว่าเขื่อนเชี่ยวหลานบ้านเราน่าจะสวยกว่า ก็แอบผิดหวังอยู่นิดนึงเหมือนกัน
สถานที่แรกที่ไปคือ "Barahi Temple" ซึ่งเป็นวัดเล็กๆ ที่ตั้งอยู่กลางน้ำ คนพายเรือก็กำหนดเวลาให้เราประมาณ 10 นาที ซึ่งตอนขึ้นไปบนเกาะเล็กๆ แห่งนี้ก็มีนักท่องเที่ยวอยู่เยอะเหมือนกัน และนกก็เยอะมากด้วยแต่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือวัดสวยมาก เราก็เดินถ่ายภาพวัดและผู้คนที่มาทำการสักการะไปเรื่อยๆ เพื่อเก็บเป็นภาพความทรงจำ
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/a9147591.jpg)
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/3939d17b.jpg)
เมื่อถึงเวลาที่กำหนด คนพายเรือก็มาตามพวกเราลงเรือเพื่อไปยัง "World Peace Pagada" ต่อ ซึ่งคนพายเรือบอกมีเวลาให้เราประมาณ 2 ชั่วโมงในการขึ้นไปบนเขาแล้วให้ลงมารอเขาที่ท่าเรือที่เดิม เราก็ตกลงแล้วพากันเดินขึ้นเขาไป แต่ในใจก็คิดว่า 2 ชั่วโมงทันหรือเปล่าเพราะดูจากสายตากว่าจะถึงเจดีย์น่าจะต้องเดินใช้เวลาเยอะอยู่เพราะอยู่สูงมากและเราก็อายุเยอะแล้วด้วย สังขารไม่เที่ยง แต่ก็เดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนแรกบันไดก็ดีดีอยู่ แต่ยิ่งเดินสูงขึ้นไป บันไดและทางยิ่งขรุขระ ซึ่งก็มีเรื่องโชคดีสำหรับเรามากเรื่องหนึ่งคือเรื่องที่เราเลือกใส่รองเท้าผ้าใบออกมา เพราะตอนออกมาจากที่พัก เราคิดว่าจะเดินเล่นแถวทะเลสาบแบบชิลๆ จะใส่รองเท้าแตะออกมาแต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ ตอนที่เราดูสถานที่ท่องเที่ยวกันเมื่อคืน เราคิดว่าจะไม่ขึ้นไป "World Peace Pagada" เพราะอยู่บนเขา เดินไม่ไหว แก่แล้ว สุดท้ายก็เลยเป็นเรื่องโชคดีที่เลือกใส่รองเท้าผ้าใบออกมา ไม่งั้นเดินขึ้นเขาลำบากแน่นอนเพราะทางขึ้นขรุขระมาก รองเท้าแตะเอาไม่อยู่และเท้าเราต้องได้แผลกลับมาแน่นอน
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/2749002b.jpg)
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/0a483fc2.jpg)
ช่วงแรกที่เดินขึ้นเขา พี่เขาจะเดินนำ แต่พอเดินขึ้นไปเรื่อยๆ พี่เขาก็บอกให้เราไปก่อนเลย เราเลยเดินนำพี่เขาขึ้นไปเพื่อไปหาที่พักเพื่อรอพี่เขาได้ ซึ่งพอเดินขึ้นไปเรื่อยๆ จะมีทางแยก เราก็ไม่ทราบจะไปทางไหน เลยหยุดนั่งพักรอพี่เขาก่อน ก็มีนักท่องเที่ยวที่ตามเรามาเดินไปทางนึง แต่ก็มีนักท่องเที่ยวคู่หนึ่งเดินออกมาจากอีกทางนึง เราเลยถามเขาว่าจะไป "World Peace Pagada" ไปทางไหน เขาก็ชี้ไปทางที่เขาเดินออกมา เราก็ขอบคุณเขา รอจนพี่เขาเดินขึ้นมาถึง เราจึงเดินขึ้นไปพร้อมกัน เพราะเดี๋ยวกลายไปเดินไปคนละทางจะเสียเวลาตามหากันเปล่าๆ เดินตามขึ้นมาเรื่อยๆ ก็มาถึงร้านอาหารเล็กๆ ก็หยุดนั่งพัก เราเห็นเมนูอาหารวางอยู่เลยหยิบมาเปิดดูเล่นเล่น ตอนแรกเราคิดว่าอาหารเครื่องดื่มบนเขาน่าจะแพงเหมือนบ้านเรา แต่ปรากฏว่าราคาพอๆ กับร้านอาหารข้างล่างเลย
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/bf697679.jpg)
พักจนหายเหนื่อยก็ออกเดินทางขึ้นเขาต่อ ซึ่งยิ่งเดิน ทางยิ่งขรุขระ เดินลำบากเหมือนเดิม (ความจริงตอนนั่งพักอยู่แล้วมองไปทางบันไดทางขึ้นอยากบอกว่า "ไม่ไปต่อได้ไหม ดูวิบากจริงจริง แค่เห็นก็เหนื่อยแล้ว") แต่วิวทิวทัศน์ที่มองลงไปด้านล่างก็สวยมากเช่นกัน เดินกันไปเรื่อยๆ เราก็เดินนำพี่เขาไปอีก พี่เขาให้เราเดินไปก่อนเลยอีกครั้ง แล้วให้ไปเจอกันที่ "World Peace Pagada" เลย ซึ่งเราก็บอกจะรอพี่บนนั้นแล้วกัน แล้วเราก็พยายามเดินเดินขึ้นไป จะได้หยุดพักเหนื่อยทีเดียว ซึ่งพอไปถึงด้านหน้าที่มีป้ายบอกก็ต้องเดินอ้อมไปอีกหน่อยนึงถึงจะถึงทางเข้า ซึ่งกว่าจะถึงทางเข้าจริงๆ ก็เหนื่อยมาก ระหว่างเดินขึ้นเราก็คิดว่าทำไมไม่สร้างล่างๆ คือขอบอกตามตรงว่าองค์เจดีย์บนเขาไม่ได้มีอะไรมากแต่ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่ถูกแนะนำว่าควรต้องมาเที่ยวชม ก็คิดว่าคนสร้างคงอยากให้เหมือนบนสวรรค์ใกล้ท้องฟ้า และคนเดินขึ้นก็ต้องใช้ความมานะอดทนเดินขึ้นมาให้ถึงเพื่อมาสักการะยังสถานที่แห่งนี้
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/3a9a4692.jpg)
เมื่อเดินทางขึ้นมาถึงแล้วพี่เขายังไม่ขึ้นมา เราเลยขอให้นักท่องเที่ยวตรงแถวนั้นถ่ายภาพให้เราหน่อยเป็นหลักฐานว่ามาถึงแล้วและเดินขึ้นไปเพื่อชมองค์เจดีย์โดยรอบ พอมาเดินชมก็รู้สึกดีที่ได้ขึ้นมาเห็นด้วยตาตัวเองเพราะสวยงามสมที่เราบากบั่นเดินขึ้นมาเพื่อเห็นของจริงมากๆ พอเราเดินชมและถ่ายภาพครบรอบด้านองค์เจดีย์และชื่มชมวิวด้านล่างแล้ว เราก็เดินลงมาจากองค์เจดีย์ ตอนเดินลงบันไดแล้วมองลงมาจะเห็นพี่เขานั่งชมวิวอยู่ตรงริมๆ พื้นทางเดินด้านซ้ายที่จะมองไปเห็นวิวภูเขาและทะเลสาบด้านล่าง
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/16b1d396.jpg)
เราเลยเดินไปนั่งข้างๆ พี่เขาก็บอกว่าที่เห็นในภาพถ่ายที่น้ำเป็นสีฟ้าสะท้อนเงานภูเขาหิมะคงไปถ่ายภาพกันลึกเข้าไปด้านในกว่านี้อีก เราก็ว่าอาจจะใช่ไม่รู้ไปถ่ายภาพหรือถ่าย MV กันที่ไหนเหมือนกันถึงได้ภาพสวยแบบนั้น แล้วพี่เขาก็ขอตัวไปชมองค์เจดีย์ เราก็เลยนั่งรอพี่เขาอยู่ตรงนั้นและชมธรรมชาติฆ่าเวลาไปด้วย สักพักพี่เขาก็เดินกลับมาหาเราแล้วก็จะลงเขากัน แต่ตอนเดินไปทางออก พี่เขาก็เดินไปอีกทางหนึ่งคือตรงนั้นเป็นทางที่จะเดินไปบันไดที่จะลงเขาแต่มีทางแยกไปยังร้านอาหารและที่พัก พี่เขาก็ชี้ให้ดูว่าตอนแรกอยากมาพักบนนี้ เราก็บอกว่าถ้ามาพักบนเขานี้จริงจะเดินทางลำบากหรือเปล่าเวลาลงเขา
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/810eb83b.jpg)
แล้วพี่เขาก็เดินลงบันไดไปอีกทางหนึ่งเพราะพี่เขาบอกว่าจะให้กลับไปเดินลงบันไดที่ขึ้นมาเมื่อกี้ไม่ไหว เหนื่อยมากแล้วจะลองถามว่ามี taxi หรือเปล่าดู เราก็เดินตามพี่เขาไป พี่เขาก็ถามร้านค้าแถวนั้นแล้วบอกให้เรารออยู่ตรงทางลงบันไดนั่นแหละ เราก็ยืนรออยู่จนไม่เห็นพี่เขาเดินกลับมาเลยลองเดินลงไปตามหาพี่เขาดูว่าอยู่ที่ไหน แล้วก็เห็นพี่เขาเดินกลับมาบอกเราว่า มี taxi ลงเขาแต่ไม่ได้ลงไปแถวท่าเรือแต่ไปแถวที่พักหรือสถานที่อื่นๆ อย่างไป "Old Pokhara" ที่เราตกลงกันเมื่อคืนว่าอยากไป ซึ่ง Taxi เขาคิดราคาเหมา 1,500 รูปีเนปาล พี่เขาก็ถามเราว่าจะไปไหม แต่ปัญหามันคือเราคิดถึงคนพายเรือไงว่าจะรอเราไหม คือพี่เขาก็บอกเดี๋ยวคนเรือไม่เจอเราก็พายกลับไปเอง ความจริงถ้าเรามีเบอร์ (ความจริงโทรออกหาใครไม่ได้ทั้งนั้นแหละถึงมีเบอร์ติดต่อ) ก็คงโทรบอกคนเรือว่าเราจะกลับอีกทางแต่นี่ไม่มี ก็เลยกลัวเขาจะรอไหม เลยบอกพี่เขาว่าเราจะลงไปที่ท่าเรือ สรุปเราเลยแยกทางกันไป แต่ตอนเดินขึ้นเพื่อไปลงอีกทางที่ไปท่าเรือ เราแบบโคดของโคดเหนื่อย แบบคิดว่า "คิดผิดไหม กลับไปแท๊กซี่กับพี่เขาดีไหม ทำไมต้องไปแคร์คนที่ไม่รู้จักที่ว่าจะรอรับลูกค้ากลับไหม" เพราะแม้เราเหมามาแบบไป-กลับ แต่เพราะเราอ่ะรู้สึกไม่ดี ถ้าต้องมีคนมารอเรานานแบบไม่รู้เราจะลงมาเมื่อไหร่ มันจึงควรมีคนหนึ่งลงไป ซึ่งไม่รู้คิดถูกหรือคิดผิดมาก คือไม่รู้จักก็แค่คนรับเงินพายเรือมาส่งเราตามอาชีพเขา เขาจะเป็นไงจะรอไม่รอจะกลับไปก็เรื่องของเขา เอาความสบายเราไว้ก่อนดีไหม กลับ Taxi เพิ่มอีกหน่อยสบายจะตาย เพราะเหนื่อยมากตอนเดินขึ้นมา ทางวิบากสุดสุด แต่เราก็รีบลงไป เดินลงอย่างเร็วแล้วคิดสองอย่างสลับไปมาในหัวตอนเดินลง (คือตอนนั้นบอกเลยว่าหงุดหงิดสุดๆ จริงจริง) คือ
1. ทำบ้าไร เราทำไมต้องไปกังวลเรื่องคนไม่รู้จักว่าจะรอไหมถ้าไม่มีคนลงไปบอกหรือกลับพร้อมเขาเพราะเราเหมาเรือไป-กลับ เขาจะต้องรอต่อไปไหม แบบเขาทำตามหน้าที่ต้องพาลูกค้ากลับตามที่ลูกค้าจ่ายเงินมา ถ้าลูกค้าที่ให้เขาพากลับด้วยไม่เดินกลับมา เขาจะต้องรอทำหน้าที่เขาให้ครบตามหน้าที่หรือเปล่า? แบบเขาจะคิดว่าลูกค้าอาจจะยังไม่ลงเขามาไม่ใช่กลับทางอื่นไปแล้ว
2. อุตส่าห์ฝ่าทางวิบากลงไปเพื่อคนไม่รู้จัก ไม่จำเป็นต้องสนใจ และถ้าเขาไม่รอเราล่ะ เพราะบอกก่อนจากว่า 2 ชั่วโมงให้ลงมารอ นี่มันเลยเวลาแล้ว ถ้าเขาไม่รอ เราจะกลับไง? ต้องจ่ายเพิ่มไหม? เท่าไหร่?เราทำตัวเองลำบากทำไม? เพื่ออะไร? บ้าหรือไง? แบบคนเราต้องเอาตัวเองก่อนใช่ไหม และนี่เพื่อใคร เหมือนตัวตลก
แต่ก็รีบเดินลงไปอยู่ดีเพราะเดินลงมาแล้ว แบบทางวิบากมาก หินไม่สม่ำเสมอ เจ็บนิ้วเท้าด้วย (ไม่ได้ใส่ถุงเท้า) สุดท้าย 40 นาทีถึงตีนเขา มองลงไปไม่เจอคนที่พายเรือมาส่งเรา หยุดมองเวลาผ่านมาเกินเวลาที่เขานัดไปเป็นชั่วโมง ตอนนั้น15.29 น. แต่ก็เดินลงไป ไม่รู้ว่าตอนนั้นพูดไรไปบ้างกับลุงคนนึงที่เป็นคนพายเรือเหมือนกันและเขาเข้ามาทักตอนเรามายืนมึนๆ ที่ท่าเรือว่าเราอ่ะจ่ายตั๋วเรือมาแบบไป - กลับ แต่คนพายเรือเรากลับไปแล้ว เขาเลยขอดูตั๋วเราแต่เราบอกไม่มี คนที่เก็บตั๋วเอาไปเลยตอนลงเรือครั้งแรก เราไม่ได้ถ่ายรูปตั๋วไว้ด้วย แต่เราค้นเอารูปจากมือถือที่ถ่ายรูปตอนเราไปเอาเสื้อชูชีพ และรูปคนพายเรือของเราที่ถ่ายติดไว้ตอนที่พี่เราเดินลงเรือว่าเป็นคนนี้ ผู้ชายคนนี้ ลุงพายเรือเลยบอกให้เราใจเย็นๆ ก่อน เขากลับมาแน่ เราก็บอก ถ้าเขาไม่กลับมาเราขออาศัยเรือใครไปส่งกลับได้ไหมแบบติดเรือนักท่องเที่ยวคนอื่นกลับ เขาก็บอกเราใจเย็นๆ คนนี้ที่พายเรือมาส่งเราบอกให้เรารอเดี๋ยวมารับ เขาไปรับผู้โดยสารคนอื่นอยู่และพาเราไปซื้อน้ำโค้กขวดละ 100 รูปีเนปาลซึ่งแพงมาก (ลุงพูดด้วยประมาณว่า "ให้เราจ่ายเอง" เขาคงกลัวว่าเราให้เขาจ่ายก็ได้เพราะเป็นคนพาเราไปซื้อน้ำรอ) เลยซื้อน้ำผลไม้กล่องเล็กมา 40 รูปีเนปาล
(ตอนนั่งรอตรงนั้น ก็มีคนพายเรือนั่งรอบโต๊ะรอลูกค้าที่ขึ้นเขาอยู่หลายคน ก็มีคนนึงถามเราด้วยว่าเห็นผู้หญิงสองคนที่ใส่ชุดประจำชาติไหม เราก็บอกเห็นตอนเราไปถึงทางขึ้นองค์เจดีย์เพราะชุดโดดเด่นกำลังถ่ายภาพกันอยู่ (คิดว่าน่าจะใช่ เพราะตอนอยู่ตรงบริเวณองค์เจดีย์ มีแค่ผู้หญิง 2 คนนี้เท่านั้นที่แต่งตัวแบบนี้) แต่เขาน่าจะลงมาก่อนเรา)
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/bffd66ae.jpg)
เรานั่งคุยกับลุงคนนั้นไปเรื่อยๆ เขาก็บอกว่าเคยมาไทย มาขายโรตี เราก็คุยกับเขาอย่างสนใจนะที่เขาเคยมาเมืองไทย (ภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ ดำน้ำไป) แต่ก็ถามเขาอยู่ว่าคนพายเรือเราจะกลับมาเมื่อไหร่ นานแค่ไหน ปรากฏ 25 นาทีต่อมา คนพายเรือเราก็กลับมารับ ก็ถามเหมือนลุงคนนี้ถามเราว่าเพื่อนเราไปไหน เราก็บอกกลับแท๊กซี่ไปแล้ว คือเรากังวลว่าถ้าไม่มีใครลงมา เขาต้องรอไม่มีที่สิ้นสุด แต่เราพูดภาษาอังกฤษไม่เก่งหรอก อยากบอกเสี่ยงมาก เพราะเขาอาจไม่กลับมาก็ได้หลัง 2 ชั่วโมง (แต่ความจริงเราก็โง่มาก เขาก็พายเรือรับส่งคนไปมาจนถึงเวลากลับบ้านนั่นแหละ - ตอนนั้นผีบ้าเข้า อยากเป็นคนดีแต่ไม่มีที่อยู่ขึ้นมา) เพราะตอนจากไปขึ้นเขา เราไม่ได้ถามย้ำว่าหลังเกิน 2 ชั่วโมงจะอยู่ไหม เราจะได้กลับแท๊กซี่กับพี่แต่แรก ตอนนั่งเรือกลับด้วยกัน เราก็ถามเขาว่า "ถ้าเขากลับมารับพวกเรานี่ ไม่เจอใครรออยู่ จะรอไหม" เขาบอก "รอ อย่ากังวล" แต่เราก็บ้าบอจริงๆ แบบอยากเป็นคนดีแต่ไม่มีที่อยู่ไงไม่รู้ และลงมาได้แผลที่นิ้วโป้งเท้าด้วย ไม่คุ้มจริงๆ
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/eff2c270.jpg)
พอถึงท่าเรือก็ต้องเดินจากทะเลสาบกลับที่พักอีก 15 นาทีด้วย นิ้วโป้งเท้าก็เจ็บ คิดเหมือนกันว่าตกลงนี่เราทำไร คือใครๆ มันก็เห็นแก่ตัว, ทำเพื่อตัวเอง, เอาแต่ความสบาย เราเองก็จะไปสนใจคนอื่นทำไม คือไม่ได้บอกตัวเองเป็นคนดี นิสัยดี ตอนเดินลงเขา เราก็คิดแบบนี้ ทำไปทำไม แคร์ทำไมคนไม่รู้จัก เขารับส่งเข้าฝั่งตามหน้าที่ ลำบากตัวเองทำไมที่รีบลงเขามาคนเดียวเพื่อให้ทัน พอๆ กลับคาดเดาไม่ได้เพราะเกิน 2 ชั่วโมงที่เขาบอกคืออาจพายเรือกลับไปแล้วไปลับ ไม่ก็มาเก็บเงินเราเพิ่ม แล้วเราจะกลับไง? จ่ายเพิ่มไหม? ไปกับพี่เขาด้วยแท๊กซี่คนละ 750 รูปีเนปาลนี่เราคุ้มไหม? นิ้วเท้าก็เจ็บ แต่เราก็บอกลุงพายเรือที่ทักเราว่าที่เราลงมาเลทเป็นชั่วโมงเพราะลงเขาลำบากมาก โวยวายแหละตอนนั้น กลัวกลับเข้าฝั่งไม่ได้จริงๆ แต่ตอนอยู่ในเรือแบบได้กลับชัวร์ก็ขอคนพายเรือช่วยถ่ายรูปให้หน่อยเพราะไม่มีรูปตัวเองอยู่ในเรือที่อยู่กลางทะเลสาบและมีวิวข้างหลังเป็นภูเขาเลย ตอนนั่งเรือขามา พี่เขานั่งด้านนั้น และเราไม่ได้ขอสลับฝั่งอะไรเพราะคิดว่าตอนกลับจะกลับมาด้วยกัน แล้วค่อยขอให้พี่ช่วยถ่ายภาพให้ตอนนั้นก็ได้
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/28519f12.jpg)
พอเรือถึงฝั่ง เราก็เดินเจ็บนิ้วโป้งเท้าที่เป็นแผลกลับที่พักอีกประมาณ 15 นาทีก็เจอพี่เขานั่งชิลๆ อยู่ตรงระเบียงหน้าห้องพักเขา เราก็ทักพี่เขาไป พี่เขาก็ถามว่าจะไป "Old Pokhara" ไหม เราก็บอกขึ้นไปว่าอยากไปแต่ขอเข้าห้องทำธุระส่วนตัวก่อน พี่เขาก็โอเค เราก็เดินเข้าโรงแรมแต่ก่อนขึ้นห้อง เราเดินผ่านรีเซฟชั่น พนักงานก็เรียกเราไว้แล้วยื่นซองที่ใส่ตั๋วรถไปกาฐมาณฑุพรุ่งนี้ให้เรา เราดูที่นั่งที่ถูกขีดจองไว้เป็นที่นั่งคู่ติดกัน เราเลยขอให้เขาช่วยจองให้ใหม่ ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อนเพราะตอนที่บอกให้เขาจองให้ เราเกรงใจพี่ด้วย (ดีที่เขามายื่นให้เราไม่ใช่พี่ที่กลับมาถึงที่พักก่อน อาจเป็นไปได้ว่าตอนพี่เขากลับมา พนักงานอาจไม่ได้สังเกตหรือยังไม่ได้ตั๋วรถมา) เรารู้ว่าพี่กับเราชอบนั่งติดหน้าต่าง และเราต้องการถ่ายภาพวิวข้างทางด้วย พนักงานก็ตกลงที่จะติดต่อบริษัทรถบัสอีกรอบเพื่อเปลี่ยนที่นั่งให้เราใหม่
พอทำธุระส่วนตัวเสร็จ เราก็ลงมาเจอพี่เขาที่รีเซฟชั่นเพราะเราจะไป "Old Pokhara" กัน ยังไงก็ต้องไปวันนี้เพราะพรุ่งนี้ เราจะนั่งรถไปกาฐมาณฑุกันตั้งแต่เช้า ผู้จัดการโรงแรมก็บอกตอนนี้เย็นไป ปกติเขาไปเที่ยวกันตอนกลางวัน แดดดีมากจะได้ภาพถ่ายสวยสวย แต่พวกเราต้องการไปตอนนี้เพราะไม่งั้นคงไม่ได้ไปอีกแล้ว เขาเลยลดราคาค่าเหมารถลงมานิดนึงเป็นคนละ 500 รูปีเนปาล ซึ่งเราก็โอเคแล้วขึ้นรถไป "Old Pokhara" กัน ซึ่งดีที่ได้ตัดสินใจมาเพราะสวยมากแม้แสงใกล้จะหมดเพราะจะห้าโมงเย็นแล้ว
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/9450e715.jpg)
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/c2dc95ab.jpg)
เดินถ่ายภาพกันมาเรื่อยๆ จนมาถึงตรงที่รถจอดรอ เราก็ขึ้นรถกลับที่พัก แต่พอเข้าเขตทะเลสาบเฟวา พี่เขาก็ขอคนขับลงบริเวณนั้นเพื่อเดินเที่ยวชมรอบทะเลสาบต่อ พวกเราก็เดินดูร้านค้าระหว่างทางและหาอาหารเย็นทานกัน เราเป็นคนชอบถ่ายภาพเก็บความทรงจำมากก็เดินถ่ายภาพตามเส้นทางเลียบทะเลสาบไปเรื่อยๆ เพราะไม่รู้จะได้กลับมาที่นี้อีกหรือเปล่า เราถ่ายภาพวิวทะเลสาบตอนฟ้าใกล้มืดไปหลายภาพเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้ตอนพระอาทิตย์ตกดินอยู่ดี เพราะเมฆบัง
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/d61ceff1.jpg)
จนฟ้ามืดก็เดินหาร้านอาหารทานกัน เดินมาจนถึงร้านหนึ่งดูราคาบนเมนูแล้วไม่แพง ก็ตัดสินใจเลือกร้านนี้ โดยราคาอาหาร + เครื่องดื่มของเรา 400 รูปีเนปาล (คํานวณราคาเสมอก่อนสั่ง ร้านนี้ไม่มีภาษีและค่าบริการเลยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม)
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/07bf7cbf.jpg)
เมื่อทานอาหารเย็นเสร็จ เราก็เดินรอบๆ บริเวณนั้นเพื่อดูร้านค้าต่างๆ ตามเส้นทางเพราะเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ที่ Pokhara แล้ว หลายร้านก็ตกแต่งตามเทศกาลคริสต์มาสเพราะคืนนี้วันที่ 22 ธันวาคม ซึ่งพี่ก็แนะนำให้เราซื้อขนมเตรียมไว้เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้าคงไม่ได้ทานอาหารเช้ากัน แต่เราเดินดูก็ยังไม่รู้จะซื้ออะไร ร้านขายของที่ระลึกก็มีอยู่หลายร้านแต่เราก็ยังไม่ตัดสินใจซื้ออะไรอยู่ดีเพราะตั้งใจไปซื้อที่กาฐมาณฑุทีเดียว
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/2b9658b1.jpg)
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/c55d223a.jpg)
สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้ออะไรจนผ่านร้านขายขนมปังแถวที่พักเลยลองสอบถามดูว่าพรุ่งนี้เช้ามืดเปิดขายแล้วหรือยังเพราะต้องออกตั้งแต่เช้า เพราะซื้อไปตอนนี้ก็เย็นและไม่มีชิ้นไหนที่อยากทาน คนขายก็บอกพรุ่งนี้ร้านเปิดแต่เช้ามืด เราเลยตั้งใจว่าจะรีบตื่นแล้วออกมาซื้อ
ตอนเดินเข้าโรงแรม พนักงานตรงรีเซฟชั่นก็ยื่นตั๋วรถมาให้เราสำหรับที่จะเดินทางสู่กาฐมาณฑุพรุ่งนี้ ซึ่งเขาช่วยเปลี่ยนที่นั่งให้เราจากที่นั่งคู่กันให้เป็นที่นั่งติดหน้าต่างทั้งคู่ ซึ่งต้องขอบคุณเขาเหมือนกันที่ช่วยจัดการให้ พี่เขาก็ถามเรื่องที่นั่ง เราก็บอกว่าแบบนี้ดีกว่าเพราะเรารู้ว่าพี่เขาต้องอยากนั่งติดหน้าต่าง เราก็อยากนั่งติดหน้าต่างเหมือนกัน พี่เขาก็โอเค ค่าตั๋วรถคนละ 900 รูปีเนปาล
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/bd176e16.jpg)
พอขึ้นห้อง เราก็ทำธุระส่วนตัว แล้วออกมาถ่ายภาพเก็บความทรงจำรอบห้องทั้งส่วนเตียงนอน, ห้องน้ำ, ระเบียงหน้าห้องและส่วนที่วางกระเป๋าเดินทาง คือถ่ายทุกที่ในห้องพักเลยนั่นแหละ ทุกอย่างคือความทรงจำทั้งนั้น แล้วมานั่งดูแผลที่นิ้วโป้งเท้าที่ได้มาจากการรีบลงเขาเมื่อตอนบ่าย แม้ยังเจ็บอยู่แต่เราก็ไม่ได้ซื้อยาหรือพลาสเตอร์มาจัดการแผล เพราะคิดว่าเปลืองเงินแล้วเดี๋ยวก็คงหายเอง
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/771b7a41.jpg)
ก่อนนอนเราก็จัดกระเป๋าเดินทางให้เรียบร้อยเพราะพรุ่งนี้ออกเดินทางแต่เช้าจะได้ไม่ลืมอะไรทิ้งไว้ ทำรายจ่าย เคลียร์หนี้พี่เขาว่าเหลือเท่าไหร่เพราะเรื่องนี้สำคัญมาก เราไม่ชอบให้มีหนี้สินต่อกันแบบไม่เคลียร์ จะทำให้เกิดข้อสงสัย, ผิดใจหรือไม่พอใจกันขึ้นมา เพราะเงิน ใครก็หามาด้วยความยากลำบาก ถ้าทำรายการรายจ่ายให้ชัดเจนให้เข้าใจตรงกันว่าไม่มีตรงไหนขาดหายไปตั้งแต่แรก สุดท้ายก็จะได้ไม่มีปัญหา เพราะเราไม่อยากติดหนี้พี่เขาจริงๆ ยิ่งมาเที่ยวด้วยกันแบบนี้ต้องอยู่ด้วยกันอีกหลายวัน จบทริปก็ยังต้องรู้จักกันอยู่ เราตั้งใจจะทำรายจ่ายไว้ทุกวันจะได้ไม่ลืมด้วยว่าแต่ละวันจ่ายอะไรไปบ้าง ใครออกให้ใครไปก่อนเท่าไหร่ พอทำรายจ่ายเสร็จแล้วเราก็ถ่ายภาพรายการที่ทำส่งให้พี่เขาทางไลน์
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/28/28444/pagegallery/1516174426/7bb01210.jpg)
เมื่อจัดการทุกอย่างที่ต้องทำเสร็จเรียบร้อย เราก็เข้านอนตอนเกือบตี 1 เพราะต้องออกเดินทางพรุ่งนี้ตั้งแต่เช้า เวลารถออกคือประมาณ 7 โมงครึ่ง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in