จากใจพี่ยาม จนมันกลายเป็นเรื่องเป็นราว
และแล้ววันนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งวัน หลังจากตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างไม่ลดละ ด้วยความเหนื่อยล้า ของทางสายตา ที่ได้จ้องมองหน้าจออยู่หลายช่วยโมงก่อนหน้านี้ ทำให้ผมจำเป็นต้องหาอะไรผ่อนคลาย ด้วยร้านประจำใหม่
เพื่อดื่มด่ำไปกับช่วงเวลา ยามค่ำคืนวันอังคาร ซึ่งถึงแม้ว่ากิจกรรมเมื่อถึงที่หมาย จะยังงเป็นการนั่งเขียนบทความ อย่างทุกคืนที่ผ่านมา แต่ความสุขกลับมีมากกว่า ยามแสงอาทิตย์ส่องผ่าน
เพราะเมื่ออาทิตย์ลับตา คงามรู้สึกมีชีวิตชีวา มันก็หวนกลับมาอีกครั้ง ซึ่งมันมากเสียกว่าการดื่มกาแฟยามสายเสียอีก บทเพลงที่บรรเลงไปกับช่วงเวลา มันช่างมีคุณค่า ภายใต้ดวงดาวแสนสุกสกาว และแสงจันทร์อันสาดส่อง ช่างเป็นช่วงเวลาจรรโลงใจ ยิ่งกว่าสิ่งใด
————————————————————————————
แต่ทว่าคืนนี้ กลับแตกต่างออกไป ตั้งแต่ที่ก่อนผมจะเดินเข้าร้านมา ผมก็พบบทเพลงต่างๆนาๆ ที่ถูกขับร้องอย่างปริศนา ป้อมรักษาความปลอดภัยของโครงการ ที่ตั้งอยู่ข้างกับร้านประจำผมก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี
บทเพลงที่ถูกขับขาน เป็นสำเนียงอีสาน นั่นทำให้ผมประหลาดใจ ว่าผู้ใด คือคนที่เปล่งมันออกมา
แล้วในทุกครั้ง เมื่อผมได้ออกไปเผาไหม้ใบยาสูบ เพื่อแลกเปลี่ยนควันกับอากาศให้เข้าสู่ปอดทั้งของข้าง มันไม่มีครั้งไหนเลย ที่บทเพลงจะไม่ถูกขับขาน จากน้ำเสียงที่ฉะฉาน อย่างตั้งใจ จากชายวัยกลางคนเจ้าของเสียง ที่เอาแต่จ้องมองมือถืออย่างไม่ละสายตา
ซึ่งเมื่อถึงคราว ที่เราต่างได้สบตากัน หลังจากที่ผมได้ยืนรับฟัง โดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
รอยยิ้มก็ได้เกิดขึ้นมา จากความเขินอาย ที่ต่างฝ่ายก็ไม่ได้ตั้งใจ
เขาซึ่งไม่ได้ตั้งใจ - ผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจ
และแล้วปฏิสัมพันธ์ครั้งนี้ จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางความไม่ได้ตั้งใจ
————————————————————————————
“ผมร้องเสียงดังไปรึป่าวพี่”
“ไม่เลยพี่ ไม่เลยครับผม”
ผมที่ตอบไปอย่างเขินอาย เนื่องจากเราต่างเพิ่งเคยพูดคุยกัน เป็นครั้งแรก ผมเองมิได้รู้สึกติดใจ หรือมีปัญหาอะไร กับการที่เพื่อนมนุษย์ซักคน จะทำอะไรที่มันไม่ผิดกฎหมาย เบียดเบียน หรือสร้างความเดือดร้อนให้ใคร
บทสนทนาในการทำความรู้จัก ได้ดำเนินต่อไป อย่างเป็นกันมากขึ้น จนได้ใจความที่ว่าลูกพี่ยามคนนี้ ชื่อ พี่เกรียงไกร เป็นคนสุรินทร์ เพิ่งย้ายมาดูแลที่แห่งนี้ได้ไม่นาน แถมยังถือได้ว่าเป็นคนที่มีใจรักในเสียงดนตรี และการร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ
แต่แล้วบทสนทนาก็จบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อถูกขัดจังหวะจากคนในมือถือของพี่เกรียงไกรเอง
“พ่อคุยกับใครอยู่คะ ไม่ร้องเพลงให้หนูฟังแล้วเหรอ”
เสียงจากหนึ่งในลูกสาวคนเล็กของพี่เกรียงไกร ที่กำลังสงสัย ทำให้เสียงหัวเราะเกิดขึ้นทันที เมื่อหนูน้อยคนนี้ กำลังตั้งหน้าตั้งตารอฟังบทเพลงจากผู้เป็นพ่อ อย่างใจจดใจจ่อ
เราต่างแยกย้ายในทันที โดยที่ผมทิ้งท้าย กับประโยคคลาสสิคสำหรับคนที่เพิ่งรู้จักกันว่า “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
แถมผมยอมรับตรงๆแบบแมนๆเลยว่า ผมไม่สามารถหุบยิ้มจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้ได้เลยจริงๆ
————————————————————————————
ในท้ายที่สุดแล้วหากคืนไหน ที่ผมได้เลือกที่สิงสถิตเป็นร้านนี้ ผมก็คงจะได้ยินการขับร้องที่อัดแน่นไปด้วยความอบอุ่น แต่แฝงด้วยความคิดถึง และโหยหาสิ่งสำคัญ ที่เรียกว่าครอบครัว ด้วยความฝัน และความหวัง
เมื่อลูกน้อยได้เติบโตพอที่จะเผชิญโลกที่แสนกว้างใหญ่เพื่อแสวงหาความสุขสบาย เมื่อนั้นบั้นปลาย จากใจของลูกพี่ยามท่านี้ ก็จะมาถึง
เพราะการกลับไปสู่ความสงบสุข ที่บ้านเกิดได้เฝ้ามองดูลูกน้อย ในบริบททางสังคมที่พี่ยามได้เติบโตมา
ช่างเป็นความสุขอย่างง่าย แต่มากมายมหาศาล ที่ผู้เป็นพ่อคนนึงจะหาได้ เมื่อเวลาบั้นปลายมาถึง
นี่แหละความเกรียงไกรของผู้เป็นพ่อ มันช่างสมกับชื่ออะไรเช่นนี้ จนผมเองไม่อาจปฏิเสธที่จะหยิบยกเรื่องราวที่เกิดขึ้น มาขีดเขียน ใน “เป็น-เรื่อง-เป็น-ราว” ได้เลยจริงๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in