โลกออนไลน์ของผู้เป็นแม่…
หลายครั้งที่ผมตลกตัวเอง กับรู้สึกไม่อินเพราะไม่เข้าใจ กับสิ่งที่สุภาพสตรีท่านนี้ ได้ขีดเขียน หรือแชร์อะไรลงไป ในโลกออนไลน์
อาจด้วยความต่างของช่วงวัย ที่ทำให้เราต่างก็ไม่เข้าใจ และไม่อินซึ่งกันและกัน ในหลายสิ่ง อย่างที่เราต่างเสพ หรือระบายมัน ผ่านสังคมออนไลน์
แต่แล้วโพสต์ล่าสุดของผู้หญิงคนนี้ ซึ่งเป็นแม่บังเกิดเกล้า ของผมเอง กลับมีอะไร ที่มากกว่าความสนใจ และความแตกต่างของช่วงวัย
.
เมื่ออยู่ดีๆ ก็มีแจ้งเตือนขึ้นมา
ว่าสุภาพสตรีท่านนี้ ได้มีการโพสต์เรื่องราว และแท็กผมในโพสต์นั้น
ด้วยความสงสัยว่ามันคืออะไร ไอ่เราก็เลยต้องไปดูเสียหน่อย ว่ามันคืออะไรยังไง
โดยสิ่งแรกที่ได้เห็นก่อนเลย นั่นก็คือรูปภาพมากมาย ก็คือผม กับพี่ชาย ในแต่ละยุคสมัย
ส่วนใจความของมันคืออะไร
ผมก็ได้หยิบยกมาอยู่ในบทความนี้ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะผมเองที่ได้อ่าน ก็ไม่สามารถปล่อยไว้ ให้มันเป็นเพียงแค่โพสต์ในโลกออนไลน์ ได้จริงๆ
แม้ว่าอาจจะมีการปรับเปลี่ยนและเรียบเรียง แต่ก็เพื่อให้มันเข้ากับสไตล์ของ ลูกชายคนเล็กคนนี้ ที่ใช้นามปากกาว่า “กล่องข้อความเที่ยงคืน”
.
เมื่อพวกเขากำลังวัยแรกแย้ม
วันที่พวกเขา ก้าวเข้าสู่สถานศึกษานอกบ้าน อย่างโรงเรียนอนุบาลเป็นวันแรก พวกเขาสวมชุดนักเรียนได้น่ารักที่สุดเลยแต่ก็ต้องเปรอะเปื้อนไปด้วย คราบน้ำตา เมื่อถึง โรงเรียน พวกเขาเอาแต่ร้องไห้ ไม่ยอมออกจากอกคุณ คุณครูต้องมาอุ้มไป เจ้าตัวน้อยร้องไห้ และกรีดร้องเสียงดัง “แม่จ๋า แม่จ๋า!” แม้จะห่วงหาแต่ก็ต้องยอม ลูกห่างจากพ่อแม่เป็นวันแรก วันนั้นทั้งวันคุณเฝ้ารอให้ถึงตอนบ่าย เมื่อไปรับลูกที่โรงเรียน ลูกเห็นหน้าคุณก็รีบวิ่งเข้ามากอด พร้อมกับพูดว่า “แม่จ๋า หนูคิดถึงแม่จ๋าจังเลย ขอกอดหน่อย” ในเวลานั้น กอดลูก เหมือนกับกอดโลกทั้งใบ ไว้ในอ้อมแขน
แต่ผมไม่ร้องนะ แต่จำความได้ว่า ผนวกกับคำบอกเล่าจากผู้เป็นแม่ว่า คุณครูประจำชั้นเดินตามหาผมไปทั่วโรงเรียนเนื่องจากผมไม่ได้เข้าห้อง
ซึ่งทุกท้ายพวกเขาก็พบว่าผมไม่ได้หนีไปร้องไห้ที่ไหน เพียงแต่ว่าผม ไปนั่งอยู่หน้าห้องเรียนของ ชาย ที่อยู่อนุบาลสาม เพื่อรอเขาออกมา เท่านั้นเอง
เมื่อพวกเขาโตขึ้นมาอีกนิด
ลูกเรียนประถมฯ ลูกเดินเข้าโรงเรียนเองโดยไม่ต้องให้คุณไปส่งถึงห้องเรียน มันช่างเป็นภาพที่น่าจดจำ ลูกของคุณเริ่มโตแล้ว วันนี้ลูกได้เริ่มต้นเปิดบันทึกชีงิตหน้าใหม่ของเขาแล้ว แต่ใครจะคาดคิด นี่เป็นก้าวแรกที่ลูกได้ก้าวเท้าออกจากชีวิตคุณ เป็นก้าวแรก เพราะลูกเริ่มชินกับการพรากจากคุณเป็นวันๆแล้ว และลูกก็ชอบไปโรงเรียน นี่เป็นชีวิตที่ลูกชอบ บางครั้งลูกก็บอกกับคุณว่า “แม่ ผมไม่ชอบอยู่บ้านเลย ผมไม่มีเพื่อนเล่น”
เมื่อพวกเขาโตขึ้นมาอีกหน่อย
ในยุคสมัยของ มัธยมศึกษา ที่พวกเขากำลัง วัยแก่นเลย บางคนก็จำเป็นต้องห่างบ้านไปโรงเรียนกินนอน บางทีเป็นเดือน หรือไม่ก็เป็นเทอมถึงจะกลับมาบ้านสักครั้ง เขาไม่ต้องพึ่งคุณอีกต่อไป บางครั้ง เขาก็ชอบจ้องคุณ เวลาที่คุณอยากช่วยทำอะไรให้เขา เขาจะบอกคุณว่า “ไม่ต้องหรอกแม่ เดี๋ยวผมทำเอง”
เมื่อได้ยินประโยคนี้จากปากของเจ้าตัวน้อย คุณรู้สึกว่า คุณเริ่มหมดความสำคัญ หรือว่าลูกไม่ต้องการคุณแล้วกันแน่นะ! (ซึ่งนั่นก็อาจเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ สำหรับใครหลายคน)
แต่ไม่เป็นไรมันหลายความว่าเจ้าหนูทั้งหลาย ได้เริ่มลุกขึ้นมาทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง กับความรับผิดชอบที่มากขึ้นตาม ระยะเวลา
เมื่อพวกเขาบรรลุนิติภาวะอย่างเป็นทางการ
เข้าสู้รั้วมหาวิทยาลัย กับการมีอิสระทีมากยิ่งขึ้น แต่พวกเขาก็ต้องแลกมันมากับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม เพราะพวกเขาจะไม่ได้ถูกเขี้ยวเข็ญ ได้มากเหมือนแต่ก่อนแล้ว ด้วยสภาพแวดล้อม ต่างๆใดๆ ไม่ที่ก็ไม่ได้มีอาจารย์ท่านใดจะมีเวลาว่างพอที่จะวุ่นวายกับลูกศิษย์ของพวกเขาได้รายบุคคลมากขนาดนั้น หรือแม้ทางบ้าน ที่อาจยังมีการจ้ำจี้จ้ำไช หรือวางกรอบต่างๆใดๆก็อาจไม่สามารถทำกับพวกเขาได้มากเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว เพราะพวกเขาจะตั้งคำถามต่อสิ่งที่คุณชี้นำ หรือกระการบางอย่างกับพวกเขานั่นเอง
การกลับมาเยี่ยมบ้านปีละครั้ง สองครั้ง ก่อนหน้าที่พวกเขาจะกลับมาวันสองวัน ตู้เย็นที่บ้านแทบจะยัดอะไรใส่เข้าไปไม่ได้ เพราะคุณได้ทำการเตรียมของที่ลูกชอบไว้อย่างแน่นหน้า แต่เมื่อลูกกลับมา เขาก็อยู่กับคุณไม่กี่นาที จากนั้นเขาก็ก็แวะเวียนไปอยู่กับเพื่อนสมัยเด็ก ในเวลานี้ สิ่ลที่พวกคุณกลัวที่จะได้ยินที่สุดก็คือ “แม่ เย็นนี้ไม่ได้กลับมากินข้าวเย็น พ่อกับแม่กินไปเลยเน้อ ไม่ต้องรอครับ”
เมื่อพวกเขาได้มุ่งสู่มหาวิทยาลัยชีวิตอย่างเต็มตัว
ไปทำงานไกลบ้าน ปีหนึ่งจะกลับมาสักครั้งก็ยากเหลือเกิน..กว่าจะกลับมาได้สักครั้ง อยู่ไม่กี่วันก็ไป
สิ่งที่คุณรอคอยก็คือเสียงโทรศัพท์ หวังว่าปลายสายจะเป็นเสียงของเจ้าตัวน้อย ที่แม้จะบรรลุนิติภาวะไปแล้วกี่ปี ยังไงเจ้าตัวน้อย ก็คือเจ้าตัวน้อยในสายพวกคุณอยู่ดี และหวังว่าลูกจะพูดกับคุณว่า “แม่ ผมสบายดี แม่รักษาสุขภาพด้วยนะ” เพียงแค่นี้ ก็ทำให้คุณยิ้มแป้น และมีความสุขอย่างเหลือล้นแล้วจริงๆ
เมื่อพวกเขาได้สร้างครอบครัวของเขาเอง
การกลับมาเยี่ยมคุณก็ต้องแบ่งกับบ้านแม่ยายของอีกฝ่ายด้วย ครึ่งหนึ่ง การกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ก็ลดน้อยลงไปอีก
คุณต้องใช้เวลาอีกมาก กว่าที่นั้นจะเริ่มชิน และยอมรับตามโลกใบนี้ ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
เมื่อเวลานั้น ได้มาถึงคุณก็กลายเป็นคนสูงวัยเฝ้าบ้านไปเสียแล้ว แถมไม่พอพวกคุณบางคน ก็อาจไม่ได้ ชอบใจในตัว นางคนนั้น หรือนายคนนี้ ที่กำลังจะเข้ามาเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตเจ้าตัวน้อยของพวกคุณด้วยซ้ำ
การเคารพการตัดสินใจของคนมนุษย์เราจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่เราทุกคนต้องมีมัน
แต่ว่าตอนนี้
สิ่งที่คุณอยากได้ยินมันมาก ถึงมากที่สุดจากเจ้าตัวน้อย ในคราบมนุษย์วัยกลางคน นั่นก็คือ “แม่ครับ ปีใหม่นี้ผมกลับบ้านนะ”
และเมื่อพวกเขาได้ให้กำเนิด “เจ้าตัวน้อย” ของพวกเขาเองล่ะ
คุณก็ไม่ใช่สมาชิกหลักในบ้านของเขาอีกต่อไป ครอบครัวของเขามี 3 หรือ 4ชีวิต ซึ่งเราก็จะไม่ใช่องค์ประกอบหลัก และพวกคุณ ก็ค่อยๆชินกับชีวิตแบบนี้เสียแล้ว
จะเริ่มชินกับพฤติกรรมนี้ เมื่อมีเวลาว่าง ที่คุณก็มักจะเปิดอัลบั้มรูปใบเก่า เพื่อนั่งดูภาพครอบครัวของคุณ ครอบครัวที่มีสมาชิกด้วยกันหลายชีวิต
แต่ประเด็นก็คือ
ไม่ว่าเจ้าตัวน้อยของพวกคุณจะไปโลดโผนอยู่ที่ไหน เขาก็ยังคงเป็นสมาชิกในบ้านแห่งความทรงจำ ที่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์ และความรู้สึกที่มีมากมาย ในบ้านของเราตลอดไป
แต่ไม่เป็นไร
เพราะผลผลิตที่มีลมหายใจ ของพวกคุณ นั้นได้เลยเดินทางไปถึงจุดที่พีคที่สุดของกราฟชีวิตแล้วนั่นเอง
.
นั่นแหละฮะความในใจ ของผู้เป็น “บุพการี” ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ มันก็ไม่ได้จะอ้างอิง ถึงผมกับพี่ชาย เพียงเท่านั้น
แต่กลับกัน คือสุภาพสตรีท่านนี้นั้น กำลังสื่อสาร ถึงเพื่อนมนุษย์ท่านอื่นด้วย เช่นเดียวกัน
แด่กาลเวลาที่ไม่อาจหวลคืน
แต่ชวนให้นึกถึง เพื่อย้อนวันวาน
ช่างเป็นสัจธรรม ที่มิควรมองข้าม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in