แสงแดดยามบ่ายสาดส่องทั่วทั้งบริเวณลานทำกิจกรรม Place du Réplublique กลางเมือง Arles บริเวณพื้นที่สี่เหลี่ยมเท่าขนาดสนามฟุตซอลมีอนุสาวรีย์แท่งปริซึมสีขาวเหมือนทำจากหินอ่อนตั้งอยู่ตรงกลางของพื้นที่ ผู้คนมากมายนั่งบนม้าหินรอบที่นั่งอนุสาวรีย์นั้นอย่างแน่นขนัด บ้างก็มานั่งตากแดดรับไออุ่นและสนทนากับเพื่อนอย่างสนุกสนาน บ้างก็นั่งเล่นโทรศัพท์มือถือและฟังเพลง บ้างก็มานั่งกินอาหารเที่ยงและปันบางส่วนให้กับนกพิราบที่เดินไปมาแถวๆนั้น ทั้งสี่ด้านถูกล้อมรอบไปด้วยพิพิธภัณฑ์และโบสถ์เป็นส่วนใหญ่ ฉันนั่งกินขนมปัง Baguette ไส้ปลาแซลม่อนครีมชีสอยู่ที่บนขั้นบันไดทางเข้าของโบสถ์ L’Église désaffectée Saint-Anne นั่งมองผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา มีกลุ่มนักเรียนกลุ่มใหญ่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหน้าบันไดทางเข้าโบสถ์ L’Église Saint-Trophime กลุ่มนักเรียนหญิงโดนกลุ่มนักเรียนชายหยอกล้อเล่นด้วย แถมด้วยกลุ่มนกพิราบที่พร้อมจะเข้าโจมตีพวกหล่อนเพียงเพื่อที่จะแย่งชิงอาหารที่อยู่ในมือ พวกหล่อนส่งเสียงกรีดร้องอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่มีใครได้รับผลกระทบจะเสียงของพวกหล่อน พวกผู้ชายก็ยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของพวกหล่อน ฉันก็ยิ้มให้กับเรื่องราวที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ขนมปังมีรสชาติขึ้นราวกับมีอภินิหาร สภาพอากาศดูอบอุ่นขึ้นอย่างแปลกประหลาด ฉันหยิบน้ำอัดลมขึ้นมาจิบอย่างไม่ใส่ใจ หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบและหันไปมองกลุ่มคนเล่นสเก็ตบอร์ดทางด้านขวา เที่ยวแบบไม่คิดอะไรนี่ก็ดีเหมือนกันนะ ปล่อยให้ทุกอย่างมันไหลผ่านไปเรื่อยๆเอื่อยๆ ปล่อยมันให้มันผ่านไป
ตามแผนที่ที่ได้รับมาบอกว่ามันอยู่แถวๆนี้แหละ แต่เดินวนกี่รอบก็ยังหาไม่เจอซักที ฉันเดินสำรวจดูทุกตึกต่างๆที่เรียงรายอยู่รอบๆ Place du Réplublique แล้วก็ยังไม่พบสถานที่ที่ต้องการ ฝั่งตรงข้ามเป็นโบสถ์และพิพิธภัณฑ์แสดงว่าตรงนี้ยังไม่ใช่ เดินวนไปด้านขวามือจะเป็นทางออกไปถนนหลัก Boulevard des Lices และตึกที่เป็ยร้านขายอาหารและของที่ระลึกมากมาย เดินวนขวาต่อไปอีกจะเป็นธนาคาร ถึงด้านสุดท้ายของสี่เหลี่ยมจะเป็น La Mairie ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานราชการ ฉันเดินทะลุตึกไปทางด้านหลังของอาคารก็พบแต่เพียงร้านรวงต่างๆ แต่แผนที่บอกว่าอยู่ตรงนี้ ฉันจึงเดินย้อนกลับทางเดิม ภายใน La Mairie ชั้นแรกเป็นลานกว้างสี่เหลี่ยมถูกปูด้วยหินอ่อนสีขาวทั่วทั้งบริเวณ ด้านหน้ามีรูปปั้นของใครซักคนหนึ่งตั้งอยู่ เมื่ออ้อมไปทางด้านหลังจะเป็นบันไดวนขึ้นไปยังสำนักงานชั้นสอง ด้านขวาเหมือนเป็น Information Center ส่วนที่น่าแปลกใจคือด้านซ้ายดูเหมือนเป็นอีกโซนหนึ่ง ที่มีความสว่างไสว พื้นหินเป็นสีขาวเช่นกันแต่มีความเก่ากว่า ด้านหน้ามีโต๊ะที่เต็มไปด้วยโบชัวร์และมีคอมพิวเตอร์อยู่ตัวหนึ่ง ด้านหลังคอมพิวเตอร์ตัวนั้นมีชายสูงวัยผิวคล้ำ หน้าตาเอาจริงเอาจังกับสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ ฉันจึงเดินเข้าไปใกล้เพื่อเช็คว่ามันคืออะไร
ฉัน: สวัสดีครับ
พนักงาน: สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับ คุณจะมาเยี่ยมชม Les Crytoportiques หรือเปล่าครับ
ฉัน: อ๋อใช่ครับ มันอยู่แถวๆนี้หรือเแล่าครับ
พนักงาน: ทางเข้าอยู่ตรงนี้แหละครับ แต่คุณต้องเดินต่อลงไปข้างล่างนะครับ ขอตั๋วด้วยครับ
ฉัน: นี่ครับผม แล้ววันนี้คนเยอะไหมครับ
พนักงาน: วันนี้ไม่มีคนเลยครับ คุณต้องการรายละเอียดการเยี่ยมชมเป็นภาษาอะไรดีครับ
ฉัน: ขอเป็นภาษาอังกฤษแล้วกันครับ
พนักงาน: เรียบร้อยครับ ขอให้สนุกกับการเยี่ยมชมครับ
ประตูโค้งสีขาวหม่นๆขนาดเท่าคนตัวใหญ่เพียงหนึ่งคนที่จะสามารถเดินผ่านไปได้ตั้งโดดเด่นอยู่เบื้องหน้า แสงไฟสะท้อนความงดงามของประตูถึงแม้ว่าประตูจะไร้ลวดลายวิจิตร เบื้องหลังของประตูมีเพียงแสงไฟสลัวๆส่องไปยังขั้นบันไดที่เรียงรายอยู่เบื้องหน้า มันถอดตัวยาวลงไปสู่ชั้นล่างอย่างไม่มีจุดจบ แสงสว่างไม่มากเพียงพอให้เห็นจุดสิ้นสุด เหมือนชีวิตของฉันที่ส่องสว่างเพียงพอให้ฉันก้าวเดินต่อไปในแต่ละก้าวเท่านั้น เบื้องล่างที่มีเพียงความืดมิดทำให้หัวใจเต้นรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ ขนเส้นเล็กเรียวสีดำบริเวณต้นแขนเกร็งตัวเรียงกันเป็นแถวอย่างพร้อมเพรียงกัน ขาทั้งสองข้างดูเหมือนจะพร้อมใจกันหยุดนิ่งไร้การเคลื่อนไหวใดๆ และดูเหมือนจะไม่มีท่าทีที่ก้าวย่างไปเบื้องหน้า คล้ายกับถูกคำสาปให้กลายเป็นหินอย่างไม่ทันตั้งตัว กล้ามเนื้อต้นขาดูเหมือนจะไม่มีแรง ขนหน้าแข้งที่หยาบกระด้างเกร็งตัวตั้งชันเมื่อมีลมเอื่อยๆพัดผ่าน จากที่เคยถือแผนที่ในมือด้วยความอ่อนโยน กล้ามเนื้อและกระดูกหดตัวเข้ารัดแผ่นกระดาษที่ราบเรียบให้เกิดริ้วรอยยับยู่ยี่อยู่กลางฝ่ามือ ดวงตาหยี่ให้เล็กลงเพื่อเพ่งพิจารณาความเป็นไปได้เบื้องหน้า สมองเริ่มกลั่นกลองความคิดและโอกาสในรูปแบบต่างๆก่อนที่จะมีความคิดที่จะเดินกลับออกไปจากสถานที่นี่ซะเดี๋ยวนั้น ก่อนที่อีกเพียงชั่ววูบสมองเริ่มพิจารณาต้นทุนที่จ่ายและที่เสียโอกาสทั้งหมดกว่าจะมาถึง ณ ที่แห่งนี้ สมองสั่งการให้ปอดบีบรัดเร่งการเผาผลาญก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อเพิ่มปริมาณอ๊อกซิเจนเฮือกใหญ่ ดวงตาเบิกกว้างเพื่อพร้อมปรับสภาพกับความมืดมิดและเงียบงันเบื้องหน้า ก่อนที่จะขาทั้งสองข้างจะถูกขับเคลื่อนก้าวข้ามผ่านประตูโค้งสีขาวหม่นเบื้องหน้าไปสู่ความมืดดำที่ชัดเจนที่สุด และความเงียบสงบที่ส่งเสียงดังก้องกังวาลที่สุด
ฉันยืนอยู่บนบันไดหินสีขาวขั้นบนสุดของสนามแข่งขัน Arènes d’Arles สไตล์กรีกโบราณ สนามดินสีน้ำตาลอ่อนรูปทรงรีถูกล้อมรอบไปด้วยอัฒจันทร์หินอ่อนหลายสิบขั้น สนามแห่งนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงหินโบราณที่มีซุ้มประตูขนาดใหญ่รายล้อม ขนาดของสนามสามารถบรรจุปริมาณผู้อาศัยอยู่ในเมืองได้อย่างพอดิบพอดี ด้วยความสูงเทียบเท่ากับอาคารบ้านเรือนสี่ชั้นทำให้อากาศด้านบนเย็นสบายถึงแม้จะต้องต้านทานกับแสงอาทิตย์ที่เจิดจ้าร้อนแรง ฉันสวมเสื้อสีขาวที่ทำจากใยฝ้าย แขนสั้นจนสามารถเห็นกล้ามเนื้อที่เกรียมแดดบริเวณต้นแขน เมื่อลมพัดผิวหนังกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เป็นสีน้ำตาลเข้มจะถูกเผยให้เห็น กางเกงขาสั้นที่ทำมาจากหนังอันแข็งแกร่งของม้าช่วยปกป้องความหนาวเย็นได้ประมาณนึงและไม่ทำให้ดูอนาจารจนเกินไป แต่เผยให้เห็นต้นขาที่มีมัดกล้ามเนื้อสีน้ำตาลเข้มเรียงตัวกันอย่างแข็งแกร่งทนทาน หน้าแข้งถูกปกคลุมไปด้วยเสื้อขนสีดำตรง รองเท้าที่ทำด้วยการสานเยื่อของลำไผ่ที่มีความยืดหยุ่นทำให้ง่ายต่อการเดินทางระยะไกล ผู้คนมากมายหลั่งไหลกันมาจากทั่วสารทิศเพื่อ
ฉันเดินพ้นออกจากซุ้มประตูด้านหนึ่งที่เป็นรูปทรงโค้งขนาดเท่ากับความสูงของฉัน หินของประตูเป็นสีเขียวตะไคร่น้ำจากความชื้นใต้ดิน ด้านล่างนี้ยังคงเงียบสงบเหมือนเช่นเคย และยังคงความมืดได้อย่างพอเหมาะถึงแม้จะมีแสงไฟเรียงรายไปตลอดทางเดิน แสงไฟสีเหลืองอ่อนสลัวๆ ทำให้การจินตนาการของฉันเพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่มีเขตจำกัด จะเป็นหนังฆาตกรรมซักเรื่องดีไหม หรือมาในเมืองแบบนี้จะเป็นค่ายกักกันนาซีดีหล่ะ หรือว่าจะเป็นหลุมหลบภัยของชาวยิว หรือว่าจะเป็นหนังผีซอมบี้ ฉันเกลียดการคิดจินตนาการของตัวเองที่สุดก็ตอนนี้ สถานที่เที่ยวช่วงฤดูหนาวจะไม่ค่อยมีคนมาเยี่ยมชมเท่าไหร่ ช่วงโลว์ซีซั่น และตอนนี้เพิ่มความเพ้อเจ้อไปกับความคิดตัวเองด้วยเสียงหยดน้ำที่ไหลมาจากท่อน้ำใต้ดิน ถ้าข้างหน้ามีเตียงนอนคนป่วยซักหน่อยฉันก็คิดว่านี่อยู่ในฉากหนัง Saw หรือเปล่า ถึงแม้จะบ้าบอขนาดไหนฉันก็ยังคงเดินสำรวจทางเดินของเมืองเก่าใต้ดินนี้ไปเรื่อยๆ เขาว่าจริงๆแล้วเมืองเก่านี้มันอยู่บนดินแต่ว่าพื้นดินเกิดการยุบตัวและทรุดตัวลงไปอยู่ข้างล่างโดยการสร้างตึกขึ้นมาแทนที่บนพื้นดินด้านบน กระดาษแผ่นนั้นว่ามาแบบนั้น แต่มาขนาดนี้แล้วไม่ต้องอ่านมันอีกแล้ว ใจหนึ่งก็อยากจะรีบเดินให้เสร็จๆ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะเพลิดเพลินกับโอกาสการเยี่ยมชมสถานที่ที่ไม่ค่อยมีคนแบบนี้ ไม่ควรจะต้องรีบร้อนมากนักหรอก ฉันเดินไปจนสุดทางแล้วเลี้ยวขวาไปยังทางเดินก่อนหยุดที่ทางแยกด้านซ้านเป็นทางเดินที่มีแสงไฟสว่างกว่าอีกด้านหนึ่ง ฉันไม่ต้องคิดรีรอเดินไปทางด้านที่สว่างกว่าเพื่อสำรวจดู ฉันพบกับห้องต่างๆมากมาย อาจจะเป็นห้องนอน หรือห้องทำอาหาร ก็เป็นได้ ก่อนที่ฉันจะเดินวกกลับมาที่ทางแยกเดิมอีกครั้ง ยืนอยู่ด้านหน้าทางแยกที่ไปในส่วนห้องที่มืดกว่า หัวใจเต้นอย่างรุนแรงอีกครั้ง ก่อนจะก้าวย่างเลี้ยวขวาไปยังห้องนั้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรรอฉันอยู่เบื้องหน้า
ฉันนั่งอยู่บนอัฒจันทร์หินอ่อนสีขาวอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นบันไดขั้นสั้นๆไม่สูงมาก ฉันยังคงอยู่ที่ขั้นบนสุดของชั้นหินที่จะสามารถนั่งลงได้ ฉันชอบชั้นบนสุดเสมอ เบื้องหน้าฉันมีกลุ่มนักแสดงหญิงสาวมากมายหลากหลาย กำลังหมกหมุ่นอะไรบางอย่าง เหมือนว่ากับจะต้องซักซ้อมการแสดงที่สลักสำคัญที่กำลังจะจัดขึ้นในอีกไม่กีวันข้างหน้า หนึ่งในมีน้องสาวฉันเข้าร่วมอยู่ด้วย เธอเป็นคนที่ดูจะสดใสร่าเริงมากที่สุด อาจจะเรียกได้ว่ากระตือรือร้นมากที่สุดกับการแสดงนี้ มีบางคนหน้าตายังง่วงนอนอยู่เป็นแน่ บางคนก็ดูเหมือนจะถูกเพื่อนๆลากกันมา หน้าจึงอาจจะดูบึงตึงขึงขังอยู่ซักหน่อย ลานด้านหน้ารูปทรงครึ่งวงกลมของ Théâtre Antique สามารถรองรับคนได้ประมาณสามสิบสี่สิบคน อัฒจรรย์ก็เป็นทรงครึ่งวงกลมล้อมรอบสนามไว้อีกทีหนึ่ง ที่นี่ฉันชอบมาอยู่บ่อยๆยามเช้าเพื่อมาอ่านหนังสือ ที่นี่อาจจะไม่ยิ่งใหญ่มากนัก ผู้คนจึงไม่ค่อยนิยมมากันมากเท่าไหร่ เว้นแต่จะมีการจัดแสดงต่างๆที่จัดขึ้นในแต่ละอาทิตย์ นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ฉันชอบที่นี่ ชอบความเงียบสงบและไม่พลุ่กพล่านของที่แห่งนี้ นักรบชายหนุ่มของเมืองนี้ต่างชื่นชอบความใหญ่โตโอ่อ่า อลังการ แต่นั้นเป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้น ไม่มีนักรบคนไหนสนใจความสำคัญของสิ่งต่างๆที่มีอยู่จริงจากภายใน สถานที่แห่งนี้ของฉันเรียกได้ว่าเป็นสถานที่กล่อมเกลาจิตใจที่ดีที่สุด โดยเฉพาะช่วงเช้า ไม่มีผู้คนเดินขวักไขว่ มีแต่เพียงเสียงลมพัดเย็นๆและเสียงนกร้อง
พนักงาน: ขอบคุณครับที่มาเยี่ยมชม ลาก่อน ขอให้โชคดี
ฉัน: ขอบคุณครับ ลาก่อน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in