เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ออกไปกับเขา (Partir avec Lui)NuttyyttuN
วันที่ 5 (2) - กับเขา
  •           ความสว่างสดใสเพียงหนึ่งเดียวคือสถานีรถไฟที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า แสงไฟนีออนสีขาวสะท้อนเจิดจ้าภายใต้ท้องฟ้ารุ่งเช้า ยังคงมืดสนิท ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้ามาทักทายผู้คน ผมยืนอยู่นอกสถานีเพียงลำพัง ยืนสูบบุหรี่เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับยามเช้าที่เยือกเย็น รถไฟขบวนแรกที่จะมุ่งหน้าไปยังจุดหมายนั้นออกจากสถานีเวลาตีห้าสามสิบนาที และคงน่าจะถึงไม่เกินเจ็ดโมงเช้า ผมสามารถนับผู้คนที่เดินไปมาในสถานีได้อย่างง่ายดาย เช้าเกินไปจริงๆ แต่ผมตัดสินใจแล้วว่าถึงเวลาที่จะต้องจากลาเมืองนี้เสียที หลังจากที่เขาจากไปในเช้าวันนั้น ผมยังไม่ได้จากไปไหน ผมยังคงตัดสินใจอยู่ต่ออีกซักหน่อย เขาจากลาไปด้วยความเงียบงัน ผมรู้สึกตัวได้ว่าเขาพยายามเก็บข้าวของอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ผมก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา หรี่ตามองดูเขาเดินผ่านประตูไปราวกับเป็นนักโจรกรรม ความเงียบที่เกิดขึ้นนั้นผมแน่ใจว่าไม่ใช่เพราะบรรยากาศภายนอก แต่เป็นเพราะภายในของผมมันเงียบเหงาเสียยิ่งกว่า ผมนอนลืมตาอยู่บนเตียงนอนที่เรานอนอยู่ด้วยกันตลอดสามคืนที่ผ่านมา หลังจากนี้จะกลับมาเป็นแบบเดิม ชีวิตแบบปกติ ก่อนออกเดินทางผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีอะไรที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปมากนัก เขาก็คงคิดแบบนั้นเหมือนกัน เขาไม่ได้ทิ้งข้อความอะไรไว้ หรือแม้แค่คำอำลา เว้นแต่ว่าก่อนเข้านอนคืนก่อนหน้าเขาจะได้กล่าวขอบคุณกับผมมากมาย และกล่าวอำลากันบ้างแล้ว แต่ผมคาดหวังที่เขาจะปลุกผมเสียด้วยซ้ำ ผมเกลียดความคาดหวัง เพราะเมื่อไหร่ที่ผมคาดหวัง ผมมักจะเสียใจเสมอเมื่อผิดหวัง ผมไม่ควรจะคาดหวังอะไรทั้งนั้น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่เคยหมดหวัง แต่ทำอย่างไรดีที่เราจะสามารถมีความหวังได้โดยไม่คาดหวังสิ่งต่างๆ เราจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร บางที่สมองก็คิดเยอะจนเกินไป คิดมากมายเสียจนวันนั้นผมไม่ได้ทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย เดินไปที่ระเบียง นอนสูบบุหรี่ที่เปลญวน เดินกลับไปกลับมาอยู่ในบ้านอย่างนั้น นั่งฟังวิทยุภาษาท้องถิ่น จนกระทั่งความมืดมาเยือนผมจึงตัดสินใจแล้วว่าผมควรจะต้องออกเดินทางต่อไป ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไป เป็นไปตามอะไรซักอย่างที่กำหนดเราอยู่ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มันก็ทำให้ผมมายืนอยู่หน้าสถานีรถไฟแห่งนี้ และคิดว่าพร้อมแล้วที่จะต้องออกเดินทางเพื่อหาอะไรซักอย่างอีกครั้ง

              สถานีรถไฟ Gare d’Arles คลาคลั่งไปด้วยมนุษย์ทำงานที่เดินทางมาจากเมืองข้างเคียง เจ็ดโมงเช้าแล้วท้องฟ้ายังคงมืดครื้ม และเริ่มมีแสงสีส้มจากดวงอาทิตย์ แต่ยังไม่สามารถเอาชนะความมืดสนิทได้ ยังเช้าเกินไปที่จะไปเดินเที่ยวในเมือง ผมออกมายืนรับลมหนาวด้านหน้าสถานี หยิบบุหรี่รสชาติประหลาดออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมเขียวเข้ม และจุดขึ้นสูบมันอย่างไม่รีบร้อนนัก จุดติดยากเล็กน้อย ลมพัดแรงมากหน้าสถานี ด้านหน้าคือลานจอดรถขนาดใหญ่ที่มีรถจอดอยู่แน่นขนัด ด้านข้างมีป้ายรถประจำทาง และมีตึกขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายมือ สถานีถูกขนาบไปด้วยลานที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่ราวกับป่าไม้ขนาดย่อมๆ มันคงน่าจะดูน่าสนใจมากกว่านี้หากไม่ใช่บรรยากาศอันมืดมิดเช่นนี้ ผมเหลือบมองไปทางขวาเห็นเด็กหนุ่มตัวผอมสูงคนหนึ่งกำลังเดินมุ่งหน้ามาหาผม แต่เหมือนเขาจะดูลังเลว่าควรจะเข้ามาดีไหม ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมีท่าทีลังเลที่จะเดินเข้ามาหา เมื่อเขาเข้ามาใกล้ๆ ผมจึง

  • ทักทายเขาด้วยภาษาท้องถิ่นแต่สำเนียงอาจจะไม่ใช่นัก ก่อนที่ท่าทีของเขาดูผ่อนคลายลง ผมยื่นบุหรี่ให้เขามวนหนึ่ง นั่นคือสิ่งที่เขาคาดหวัง ผมกับเด็กหนุ่มยืนคุยกันเล็กน้อย เขาแนะนำให้ผมไปเดินเล่นบริเวณริมแม่น้ำ Rhône ยามเช้า เพื่อดูดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาทักทายมนุษย์บนโลกใบนี้ เขาว่าตรงนั้นจะมีทางเดินเล็กๆเรียบแม่น้ำไปจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำ ซึ่งสามารถเดินข้ามไปอีกฝั่งของเมืองได้อย่างสบายๆ ผมขอบคุณเขา และก่อนที่เด็กหนุ่มจะเดินจากไปเขาหันมาถามว่าผมเป็นคนปารีสใช่ไหม ผมว่าสำเนียงมันชัดและแน่นอนอยู่แล้ว ผมได้เพียงตอบว่าใช่ เขาเดินออกไปจากสถานีและหายตัวไป หายเข้าไปในบริเวณต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง ถึงแม้ทางที่เขาเดินจะมุ่งหน้าไปกลางเมืองใหญ่ แต่การหายตัวไปในความมืดอย่างนั้น ทำให้ผมอดนึกไม่ได้ว่าเขามีตัวตนอยู่จริงไหมเสียด้วยซ้ำ ก่อนที่ผมจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ ผมเดินกลับเข้าไปซื้อนมสดในมินิมาร์ทด้านในสถานี และออกเดินไปตามถนน Avenue Paulin Talabot ที่ถูกส่องสว่างด้วยเสาไฟสีเหลืองนวลตลอดเส้นทาง

              ขนมปังบาเก็ตไส้ปลาแซลมอลและผักกาดถูกกัดกินด้วยความหิวโหย รสชาติที่คุ้นเคย กินอยู่เป็นประจำ ผมนั่งอยู่ที่ม้านั่งสีเสาเข้มด้านหน้า Office de Tourisme ของเมือง ด้านข้างของออฟฟิศมีม้าหมุนขนาดไม่ใหญ่มากตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางสวนสาธารณะด้านข้าง มีเด็กน้อยมาเล่นกันอยู่บางตา ไม่ได้ดูครึกครื้นอะไรมากนัก นกพิราบเดินวนอยู่บริเวณที่ผมนักกินขนมปังอยู่ พวกมันคงได้กลิ่นอาหาร และพวกมันคงคิดว่าน่าจะได้ส่วนแบ่งจากเศษเล็กๆที่หกเรี่ยราดเวลากัดขนมปัง และพวกมันก็คิดถูกซะด้วย ผมนั่งดูพวกมันกินเศษอาหารที่ร่วงหล่นลงบนพื้นหิน บางตัวก็พยายามจะขับไล่นกตัวอื่นไปในพ้นอาณาเขตของมัน เพื่อป้องกันไม่ให้นกตัวอื่นเข้ามาแย่งอาหารของมันได้ ผมรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นหลังจากที่ช่วงเช้าได้ไปเดินเยี่ยมชม Alyscamps ซึ่งตั้งอยู่เลียบกับคลอง Canel de Craponne ซึ่งใช้เวลาเดินประมาณสิบนาทีจาก Office de Tourisme ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ตามถนน Rue Emile Fassin เดินไปจนสุดถนน ตั้งแต่ด้านหน้าทางเข้ายังคงบรรยากาศของสถาปัตยกรรมสัมยโบราณอยู่ไว้อย่างดี และล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่มากมาย และก็คล้ายๆทุกที่ที่ไป ไม่ค่อยมีคนเพราะมันไม่ใช่เทศกาลท่องเที่ยว เท่าที่นับได้มีแค่ผมกับหนุ่มวัยกลางคนอีกคนหนึ่งเท่านั้น ผมรู้แค่ว่าที่นี่เคยเป็นสถานที่ที่ Van Gogh เคยมาพบเพื่อนของเขาคนหนึ่ง แล้วพวกเขาทั้งคู่ก็มาสร้างงานร่วมกัน สถานที่นี่เก่าแก่และมีประวัติศาสตร์ก่อนหน้านั้น มันเป็นเหตุผลที่ทำให้เขามาเยือนที่นี่ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจมันซักเท่าไหร่ บรรยากาศภายในเงียบสงัด หินก้อนใหญ่โบราณสีขาวหม่นๆ แบ่งเป็นหลายๆห้อง โถงตรงกลางมีรูปปั้นตั้งโดดเด่นอยู่เบื้องหน้า ด้านซ้ายและขวามีห้องแคบๆอยู่ด้านละสองห้อง นอกจากนั้นแล้วมีทางเดินลงชั้นใต้ดินอยู่ด้านล่างของฐานรูปปั้น ผมจึงไม่รอช้าเดินไปตรงทางเข้านั้น แต่ในห้องนั้นมืดมากจนมองไม่เห็นอะไรเลย ประกอบกับภายในสถานที่นี้มีนกบินขวักไขว่ เมื่อมีเสียงนกกระพือปีกอยู่ภายในทำให้เกิดเสียงก้องอยู่ภายใน ผมเองก็สะดุ้งอยู่เป็นครั้งคราว จนเมื่อผมรู้สึกว่าไม่สามารถจะทำความคุ้นชินกับเสียงก้องนั้นได้ ออกมาเดินรับแสงอาทิตย์ด้านนอกน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ซึ่งด้านหน้าเป็นแอ่งหิน

  • ขนาดใหญ่ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นสระน้ำ แต่ตอนนี้มีแต่ต้นหญ้าขึ้นเต็มไปหมด แค่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผมเหงื่อไหลเป็นทาง มีลมหนาวผสมกับแสงแดดอันอบอุ่น ระยะทางเดินที่ถือว่าไม่ไกลสำหรับผม แต่มีความร้อนเกิดขึ้นภายในร่างกาย ผมต้องยกความดีความชอบให้กับเสียงกระพือปีกของนกที่ต้องทำให้ผมสะดุ้งโหย่งตลอดเวลา นี่ไม่นับว่าต้องระวังขี้นกตกใส่หัวเวลาเดินอยู่ในนั้นอีกด้วย

              แผนที่ในมือถูกกางออกอีกครั้งเมื่อพบกับความว่างเปล่าเบื้องหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแม้ว่าเส้นทางดูไม่สลับซับซ้อนเท่าไรนัก แต่เมื่อตัดสินใจเลือกที่จะไม่ใช้แผนที่ในโทรศัพท์มือถือเป็นตัวนำทาง ความซับซ้อนของถนนหนทางก็บังเกิดขึ้นมาอย่างง่ายดาย ผมเดินวนไปเดินมาอยู่บริเวณใจกลางเมืองเก่าอยู่เนิ่นนาน ไม่รู้ว่านานเท่าใด ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเวลาที่ผ่านไปมันนานหรือไม่ แต่แค่รู้สึกว่ายาวนานเหลือเกิน จนกระทั่งได้พบกับถนน Rue du Grand Prieuré เสียที ซึ่งจะนำพาผมไปยังสถาปัตยกรรมโบราณอีกแห่งหนึ่ง Thermes de Constantin เป็นสถานที่สำหรับประชาชนที่จะเข้ามาผ่อนคลายไปกับบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่ หรือจะเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมในสระน้ำสาธารณะแห่งนี้ หลังจากเดินผ่านประตูทางเข้า ก็พอกับโครงหินขนาดใหญ่เรียงตัวสูงขึ้นไปในอากาศ ภายในถูกแบ่งซอยเป็นห้องน้อยใหญ่มากมาย สระน้ำมีหลายขนาด สระน้ำในแต่ละห้องก็มีอุณหภูมิของน้ำที่แตกต่างกัน ผมเดินไปดูห้องที่อยู่มุมขวาสุดมีหลังคาล้อมเอาไว้ ผมนั่งลงบนขอบสระน้ำ หายใจหอบเล็กน้อยหลังจากเดินมาอย่างยาวนาน ผมจ้องมองสระน้ำด้านหน้าพยายามจะจินตนาการว่ามีน้ำสีฟ้าสดใสถูกบรรจุไว้จนเกือบเต็มขอบสระ มีไอน้ำล่องลอยขึ้นอย่างต่อเนื่อง อุณหภูมิของน้ำพอเหมาะพอดีกับอุณหภูมิภายในร่างกาย กลิ่นของไอน้ำบริสุทธิ์ ไม่มีสารใดมาเจือปน ร่างกายพร้อมที่จะได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการต่างๆ เสื้อผ้าชิ้นน้อยใหญ่ถูกปลดเปลื้องลงอยู่บริเวณขอบสระ เพียงแค่ปลายเท้าสัมผัสเข้ากับของเหลวภายในสระ เพียงแค่ชั่วพริบตา ราวกับความตึงเครียดทั้งหลายได้สูญสิ้น มลายหายไปในทันที ความพึงพอใจถูกเติมเต็มมากขึ้นหลังจากที่ทั้งร่างกายอันเปลือยเปล่าจมหายไปอยู่ภายใต้พื้นน้ำ เหลือเพียงส่วนศีรษะที่ลอยอยู่พ้นเหนือน้ำ พื้นหลังเสียดสีเข้ากับแผ่นหินสีขาวเหมือนมืออันอ่อนโยนแต่มากประสบการณ์ เค้นคลึงแผ่นหลังและกล้ามเน้นส่วนสัดต่างๆให้อ่อนลง เสียงอื้ออึงในลำคอถูกเปล่งออกมาอย่างแผ่วเบาเพื่อแสดงออกถึงความพึงพอใจ เหมือนมือที่มองไม่เห็นอันนุ่มนวลสัมผัสบริเวณศรีษะ นวดเฟ้นบริเวณกระหม่อมด้านข้าง หลับตาเพื่อรับรู้ถึงสัมผัสอันลึกซึ้งที่แท้จริง เสียงครางอันแผ่วเบาถูกเปล่งออกมาไม่ขาดสาย ตอบสนองต่อความรู้สึกที่ได้รับภายจากภายนอกร่างกาย ไปสู่ภายในอย่างไม่ขาดสาย ร่างกายเริ่มมีปฏิกิริยาตอบโต้กลับไปยังถูกสัดส่วนที่ถูกสัมผัส เร่งเร้าทุกบริเวณผิวหนังให้ตอบโต้กลับ การสัมผัสส่งแรงโต้กลับอย่างหนักหน่วงแต่อ่อนโยน ต่อเนื่องแต่เหมือนไม่เคลื่อนไหว ร่างกายปลอดปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามสัญชาตญาณ ปล่อยการสัมผัสแทรกซึมเข้าไปสู่ทุกเซลล์ที่เรียงตัวอัดแน่นอยู่ภายใน ก่อนที่ทุกอย่างที่ที่ความแน่นหนาภายในร่างกายจะถูกระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับรอยยิ้มแห่งความพึงใจที่หลงเหลือทิ้งไว้บนใบหน้า

              ผมรู้สึกว่าผมได้พบเจอเขาอีกครั้งหนึ่ง ผมรู้สึกได้ว่ามันคือความจริง และนี่แหละคือสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดในตอนนี้

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in