เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ออกไปกับเขา (Partir avec Lui)NuttyyttuN
วันที่ 1 - กับฉัน
  •           ฉันลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว กระพริบตาถี่ๆบ่อยๆ ไม่รู้ว่าเพื่อปรับกับแสงสว่างจ้าที่ไม่คุ้นชินหรือว่าเพราะระคายเคืองจากคอนแทคเลนส์กันแน่ ร่างกายกระตุกเล็กน้อยแต่รุนแรงเหมือนทุกครั้งที่ฉันถูกพลังบางอย่างที่ไม่รู้มาจากไหนปลุกให้ตื่นจากพะวังแห่งช่วงไร้สติสัมปัชชัญญะ ร่างกายที่โผล่พ้นเสื้อผ้าถูกปกคลุมไปด้วยความชุ่มชื้นของเหงื่อที่เกิดจากความร้อนภายในร่างกาย ไม่ต้องพูดถึงความอึดอัดเล็กน้อยของร่างกายส่วนต่างๆที่ถูกปกคลุมไปด้วยเสื้อผ้าว่าจะเปียกชื้นมากขนาดไหน ฉันขยับตัวไม่ได้มากนักเนื่องจากกระเป๋าสะพายใบใหญ่และเสื้อคลุมสีดำถูกกองไว้บริเวณด้านหน้าเบาะที่นั่งอย่างไม่สนใจใยดี เสียงหญิงสาวดังมาจากที่ไหนสักแห่ง เป็นเสียงที่ดูไม่ค่อยกระตือรือร้นมากนักที่จะพูดออกมา เสียงไม่ได้มีความสดใสเอาเสียเลย ราวกับเพิ่งตื่นนอน เหมือนกันกับฉัน หล่อนพูดอะไรนั้นฉันฟังไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้นฉันก็นั่งหลังตรงเพื่อรับฟังมันอย่างตั้งใจ ฉันทำได้แต่หันซ้ายหันขวาเพื่อยังจ้องมองออกไปอีกด้านหนึ่งของกระจก ซึ่งฉันมองเห็นเพียงแต่ความมืดที่ปกคลุมบรรยากาศยามเย็น ในใจอยากจะร้องขอให้หญิงสาวคนนั้นกล่าวในสิ่งที่เธอพูดซ้ำไปมาอีกหลายๆครั้ง ทำไมฉันถึงไม่เข้าใจอะไรเลย หล่อนช่วยพูดให้เสียงดังขึ้นหน่อยได้ไหม ทำไมข้างนอกมันถึงมืดแบบนี้ ไม่มีไฟข้างทางมากมายเหมือนบ้านฉันเลย ฉันเอามือป้องกระจกเพื่อหวังว่าจะมีอะไรโผล่ขึ้นมาให้ฉันเห็น แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าการเห็นอะไรบางอย่างมันจะช่วยอะไรฉันได้ไหม แล้วฉันต้องรู้หรือเห็นอะไรหล่ะ

              เขา: ยังไม่ถึงหรอก คุณนอนต่อได้เลย ถ้าถึงแล้วจะปลุกนะ

              ฉัน: อ๋อๆครับ

              เขา: เห็นหลับๆตื่นๆบ่อย สงสัยน่าจะ jet lag แน่เลย

              ฉัน: อาจจะเป็นไปได้ครับ แล้วที่นี่ที่ไหนครับ

              เขา: สถานี Lyon Part Dieu น่าจะอีกชั่วโมงครึ่งก็ถึงนะ

              ฉัน: โอเค ขอบคุณครับ

              เมื่อรถไฟจอดเทียบชานชาลาอย่างเกียจคร้าน ผู้โดยสารต่างเรียงคิวต่อแถวกันเพื่อออกจากตัวถังรถอย่างรีบร้อน บางคนพูดคุยโหวกเหวกโวยวาย บางคนก็บิดขี้เกียจและหาว เหมือนฉันเลย เมื่อฉันเดินถึงประตูรถไฟ เพียงแค่ก้าวขาผ่านประตูเท่านั้น ร่างกายที่เคยอบอุ่นจากภายในกลับเย็นเฉียบไปทั่วทั้งร่างกาย ไม่มีการยกเว้นส่วนใดๆของร่างกาย เสื้อคลุมที่ถูกถอดอย่างไร้เยื้อใยก่อนหน้านี้ถูกนำมาสวมคลุมอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้นขอแค่ให้ร่างกายกลับมาอบอุ่นดังเดิม แต่มันก็ช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นแหละ เท่าที่ความสามารถของมันจะทำได้ ทุกคนลงจากรถไฟเรียบร้อยพร้อมกันกับที่ขบวนรถไฟได้ออกจากสถานีและจากไปจนลับสายตา อาจจะเป็นขบวนสุดท้ายสำหรับค่ำคืนนี้ ลมหนาวพัดอย่างรุนแรงและไม่หยุดยั้ง ฉันยืนประจัญหน้ากับป้ายสถานี Marseille Saint-Charles มิน่าถึงได้ลมแรงขนาดนี้ ชานชาลาเงียบเชียบเหมาะกับที่เป็นยามค่ำคืนของฤดูหนาว มีแต่เพียงเสียงลมหายใจอันแผ่วเบา หายใจแต่ละครั้งแสบสะท้านไปตั้งแต่ปลายจมูกจนถึงภายในโพรงจมูก หวังว่าคงจะไม่เป็นสะเก็ดน้ำแข็ง น้ำมูกไหลออกมาเป็นระยะๆ ฉันเอากระดาษทิชชู่เก็บไว้ตรงไหนนะ

  •           เขา: คุณควรพกกระดาษทิชชู่ติดตัวไว้นะ นี่ผมมีเหลือคุณเอาไปใช้ได้

              ฉัน: ผมเอามาครับ แต่ดันเก็บไว้ในกระเป๋าสะพายใบใหญ่ครับ 

              เขา: แล้วพักที่ไหนเนี๋ยะ

              ฉัน: ยังไม่รู้เลยครับ ว่าจะไปเดินหาๆเอา

              เขา: ไม่น่าจะใช่ไอเดียที่ดีนะที่จะมาเดินหาที่พักในสภาพอากาศแบบนี้ ตอนนี้ก็สองทุ่มกว่าแล้ว และที่พักก็อาจจะเต็มไปหมดแล้วด้วยมั้งเวลาแบบนี้

              ฉัน: อ๋อๆครับ

              เขา: เอางี้ ผมจองห้องพักไว้ที่แถวๆถนน Rue de Tyrans ไม่ไกลจากท่าเรือมาก สนใจจะไปพักด้วยกันก่อนไหม แล้วค่อยคิดว่าจะเอาไงต่อพรุ่งนี้ คืนละ 10 ยูโร นะ

    คงไม่ต้องบอกแล้วหล่ะว่าฉันตัดสินใจอย่างไร ฉันก็แค่ต้องการที่ที่อบอุ่นและง่ายๆเท่านั้นเอง จะคิดมากไปทำไม

              ฉันวางสัมภาระทั้งหมดลงกับพื้นห้องใกล้ๆกับโซฟาของห้องนั่งเล่น พร้อมทั้งเอาเสื้อกันหนาวไปแขวนกับราวแขวนเสื้อริมกำแพงด้านข้างประตูทางเข้า ในห้องอบอุ่นมากจนฉันไม่อยากออกจากห้อง แต่ฉันก็ไม่สามารถทานทนได้กับระเบียงด้านนอกห้องชั้นดาดฟ้าที่เราอยู่ ฉันจึงถือโอกาสระหว่างที่เขาคุยอยู่กับเจ้าของที่พักที่ปล่อยเช่าอยู่ออกมาสูดอากาศความหนาวเย็นด้านนอก ระเบียงด้านนอกของชั้นสี่ของตัวอาคาร หันหน้าเขากับตึกฝั่งตรงข้าม ด้านซ้ายเป็นวิวภูเขาใหญ่ ส่วนด้านขวาเป็นวิวของเมืองและถนนที่จะนำทางไปสู่ท่าเรือของเมือง ฉันนั่งลงตรงเปลนอนพร้อมทั้งหยิบบุหรี่มวนสีขาวขึ้นมาจุดไฟอย่างไม่ลังเล

              เขา: คุณควรซื้อบุหรี่มาหลายๆกล่องก่อนมาที่นี่นะ เพราะบุหรี่ที่นี่แพงมาก

              ฉัน: ผมเห็นด้วยครับ แต่ผมคิดว่าผมคงสูบไม่เยอะมากเท่าไหร่

              เขา: ผมขอบุหรี่ตัวนึงได้ไหม

              ฉัน: อ๋อได้ครับ ไม่มีปัญหา

              เขา: เจ้าของที่พักที่นี่ใจดีมาก สำเนียงฟังปุ๊บรู้เลยว่าเขาเป็นคนที่นี่ เสียดายที่คุณไม่ได้คุยกับเขา

              ฉัน: ผมหวังว่าผมจะฟังและคุยกับเขารู้เรื่องเหมือนกันครับ

              เขา: คุณจะออกไปไหนไหมคืนนี้

              ผม: ยังไม่รู้เลย แต่คิดว่าน่าจะออกนะครับ คุณไปไหมครับ

              เขา: ไปสิ ไปด้วยกัน ถ้างั้นอีก 10 นาที เจอกันนะ

              ฉันยังคงนั่งอยู่ด้านนอกต่ออีกแม้ว่าฉันจะสูบบุหรี่หมดแล้วก็ตาม ฉันได้แต่นั่งเหม่อลอยไปเรื่อย เหม่อมองไปบนท้องฟ้าเวลาประมาณสามทุ่ม ดวงดาวมากมายล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า เปล่งแสงระยิบระยับสดใสเคียงคู่อยู่กับดวงจันทร์สีเหลืองนวล เมฆสีขาวปกคลุมท้องฟ้าอยู่บางส่วนมีบางครั้งที่เมฆเหล่านั้นเคลื่อนลอยผ่านดวงจันทร์ ทำให้เกิดเป็นแสงสะท้อนออกมาอย่างสวยงาม เป็นลำแสงของดวงจันทร์ที่โผล่พ้นออกมาตามขอบมุมต่างๆของเมฆที่เคลื่อนผ่าน ลมพัดไม่รุนแรงมากเท่าตอนที่อยู่ที่สถานี แต่ความเงียบยังคงเป็นเหมือนเดิม ซึ่งแตกต่างกับจิตใจภายในของฉันเหลือเกิน มันเหมือนถูกบรรจุทุกสิ่งอยู่อย่างอยู่เต็มไปหมด จนมันเหมือนจะเกิดการจลาจลภายในจิตใจ แต่สิ่งที่บรรจุอยู่ในนั้นกลับเป็นความว่างเปล่ามากมายอัดแน่นอยู่ ไม่รู้ว่าความว่างเปล่าเหล่านั้นมันถูกเก็บจนหนาแน่นได้อย่างไร ฉันยังไม่สามารถหาหนทางกำจัดความเปลือยเปล่าที่อัดตัวกันหนาแน่นภายในได้ บางทีฉันต้องหาคำจำกัดความให้มันก่อนอีกแล้ว พร้อมทั้งสูดลมหายใจอันเย็นยะเยือกเข้าปอดอึกใหญ่ พร้อมทั้งเดินกลับเข้าห้องนั่งเล่นที่ฉันจากมา


  •           เขา: เราดื่มเบียร์ร้านนี้กันไหม

              ฉัน: โอเคครับ

              เรายืนสูบบุหรี่ท้าลมหนาวอยู่หน้าร้านไอริชบาร์ O’Malleys ซึ่งตั้งอยู่บนถนน Quai de Rive Neuve ซึ่งเป็นถนนเลียบท่าเรือที่มีชื่อเสียงของเมือง Marseille บริเวณนี้ยามค่ำคืนยังพอมีผู้คนเดินถนนไปมาอยู่บ้าง ส่วนมากจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่ออกมาเดินเตร็ดเตร่ซะมากกว่า อาจเพราะว่าเป็นวันอาทิตย์ละมั้ง รถราสัญจรไปมาก็บางตาราวกับเมืองกำลังจะร้าง เสียงโหวกเหวกน่ารำคาญส่วนมากก็จะเป็นผู้คนที่เพิ่งดื่มด่ำเมามายไปกับสุรานานาชนิด แต่นั่นก็นานๆทีจะโผล่มากลุ่มนึง เรือยอร์ชสีขาวจำนวนมากมายถูกจอดนิ่งเทียบท่าอยู่ มีเพียงกระแสลมหนาวจากทะเลจะพัดให้เรือยอร์ชเหล่านั้นเคลื่อนไหวขึ้นลงตามจังหวะของคลื่นน้ำ เมฆเคลื่อนตัวไปมาอย่างรวดเร็วย้อนแย้งกับสภาพแวดล้อมของเมืองในตอนนี้ ด้านหน้าร้านมีถังไม้โอ๊คจำนวนมากไว้เพื่อรองรับผู้เข้าใช้บริการ แต่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าด้านนอกนั้นไม่มีแขกคนไหนอยากออกมายืนรับลมชมวิว ฉันก็ถือว่าเป็นวันแรกที่ไม่เลวนักที่ได้ตื่นตาตื่นใจกับอากาศหนาวอีกครั้งหนึ่ง ฉันหยิบบุหรี่ขึ้นมาอีกมวนหนึ่ง คาบมันไว้ที่ปากของฉันที่ชุ่มไปด้วยลิปมัน และฉันจุดเปลวเพลิงขึ้นจากไฟแช็คพร้อมทั้งรับไออุ่นเพียงเล็กน้อยจากเปลวเพลิงนั้นก่อนที่จะยื่นปากที่คาบมวนบุหรี่สัมผัสเปลวเพลิงอันร้อนระอุ ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆและพ่นลมหายใจออกพร้อมกับกลุ่มควันออกมาจากปากและทางจมูก ฉันหลับตาและเงยหน้าเพื่อซึบซับความรู้สึก พร้อมทั้งสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสูบระลอกต่อไป เมื่อฉันลืมตาขึ้นมาฉันเห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มกำลังจ้องมองฉันอยู่ข้างหน้า ฉันผงะถอยหลังหนึ่งก้าวแบบอัตโนมัติ ร่างกายของเขาผอมบาง สูงเทียบเท่ากับฉัน ผมหนาสีดำซึ่งถูกปิดทับไว้ด้วยหมวกแก๊บสีแดง เสื้อผ้าสวมใส่เสื้อยืดและแจ๊คเก็ตทับเพื่อกันหนาว กางเกงยีนส์และรองเท้าคอนเวิร์ดสีน้ำเงินเข้ม แต่ทั้งหมดนั้นจะดูไม่น่าตกใจเลยถ้ามันสะอาดสดใสตามแบบฉบับเสื้อผ้าที่ได้รับทำความสะอาดมาอย่างดี เขาสาวเท้าก้าวมาใกล้ฉันมากขึ้นพร้อมกับพูดอะไรซักอย่างที่ฟังอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง เหมือนเรามาจากดาวคนละดวง เหมือนเราไม่ได้อยู่บนโลกใบเดียวกัน เราสองคนเหมือนมีโลกของตัวเองในพื้นที่ของตนเอง ที่เป็นพื้นที่หวงห้ามไม่มีใครสามารถเข้าถึงกันได้ แต่เขาก็พยายามที่จะเข้ามาล่วงล้ำในพื้นที่ต้องห้ามของฉัน แต่มันไม่ได้มีขอบเขตชัดเจนนี่ว่าตรงไหนคือที่สุดของเขต ชายผู้นั้นยังคงพยายามพูดต่อไปอย่างไม่หยุด จนแล้วจนรอดเราคงไม่สามารถก้าวข้ามผ่านขอบเขตของกันและกันได้ เมื่อเห็นว่าเขาก็คิดเช่นเดียวกันอย่างแน่นอน เขาจึงยกมือขึ้นข้างขวาขึ้นมาพร้อมกับชี้ไปที่บุหรี่มวนที่ฉันคาบอยู่ ขอบเขตพื้นที่ต้องห้ามอันตรธารหายไปอย่างฉับพลัน มุมปากของฉันและชายแปลกหน้าเกิดการยกตัวขึ้นเป็นรอยยิ้ม ฉันก้มลงล้วงกระเป๋าพร้อมหยิบบุหรี่ให้เขามวนหนึ่งและจุดไฟให้อย่างไม่รอช้า และทันใดนั้นเขาก็เขาสวมกอดกับฉันครั้งหนึ่งพร้อมทั้งกล่าวอะไรซักอย่าง ก่อนที่เขาจะเดินลับหายจากไปโดยไม่หันหลังกลับมา มีแต่เพียงฉันที่จ้องมองจนกระทั่งชายแปลกหน้าผู้นั้นลับสายตาไป

  •           ภายในร้านอบอุ่นและอวบอวลไปด้วยผู้คนมากมายแต่ไม่ถึงขนาดกับแน่นขนัด แขกมากหน้าหลายตาต่างพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ โทรทัศน์ภายในร้านเปิดการแข่งขันฟุตบอลอะไรซักอย่าง ผู้คนสนุกสนานและเพลิดเพลินไปกับการเชียร์การแข่งขัน ฉันได้แต่นั่งจ้องมองผู้คนไปเรื่อยๆหลังจากที่ได้เอ่ยคำประหลาดออกไปจากปากเพื่อสั่งเบียร์แก้วนึง ฉันถึงขั้นฝึกคำพูดแปลกๆเหล่านี้ก่อนมาถึงที่นี่ เพื่อที่จะไม่ให้พลาดโอกาสในการลองลิ้มชิมรสชาติของเบียร์ ฉันได้พยายามฝึกพูดอยู่หลายครั้งที่ด้านหน้าบาร์ก่อนที่จะเข้าสู่สนามแข่งขันจริงโดยการเรียกพนักงานเพื่อมารับออเดอร์ ผลลัพธ์เป็นที่น่าประทับใจเพราะพนักงานสามารถเข้าใจได้ภายในครั้งเดียว ฉันแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ซักพัก เหมือนว่าฉันคงจะสามารถก้าวเข้าสู่โลกใหม่ที่ฉันไม่เคยมา ฉันกำลังพัฒนาตนเองเพื่อสามารถกลืนเข้าสู่สภาพและบรรยากาศของที่นี่ได้ ฉันเดินกลับไปที่บาร์อีกครั้งหลังจากพยายามมองหา เขาคนนั้นที่มาด้วยกันกับฉัน แต่ฉันกลับหาเขาไม่เจอ เขาอาจจะไปห้องน้ำหรือคงจะคุยกับคนแถวนี้ที่อยู่ในโลกของเขาเหมือนกัน ฉันสั่งเบียร์ La Chouffe มาดื่มเนื่องจากเป็นราคาที่ฉันพอจะรับได้และรสชาติที่พอจะเข้าท่า ฉันนั่งดื่มอย่างไม่สนใจใยดีต่อเวลาที่เดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า โต๊ะบาร์อยู่หน้าทางเข้าประตูพอดิบพอดี พอเวลาประจวบเหมาะจะมีแขกมากหน้าหลายตาเดินเข้ามาพร้อมทั้งพูดทักทายกันราวกับเป็นเรื่องปกติ โชคดีที่ได้ฝึกคำพูดทักทายไว้ด้วยเช่นกัน และเมื่อบางคนเดินออกไปเราก็กล่าวคำอำลาต่อกันอย่างไม่มีท่าทีขัดเขิล คงมีแต่ตัวฉันที่ไม่คุ้นชินกับอะไรแบบนี้ ในชีวิตหนึ่งๆของคนเราเราจะต้องเตรียมความพร้อมและปรับตัวรับให้กับสถานการณ์ต่างๆให้ได้บ่อยขนาดไหน และมันจำเป็นจริงไหมที่จะต้องทำ ฉันเคยมีความคิดว่าทำไมชีวิตคนเราเกิดมาครั้งหนึ่งมันถึงต้องทำตัวอะไรให้ยากขนาดนั้น หรือว่าที่เราทำทั้งหมดมันเป็นสัญชาตญาณ หรือที่เราทำไปทั้งหมดเป็นการกระทำที่เราสร้างมันขึ้นมาเอง คนในยุคโบราณยังต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมต่างๆที่เปลี่ยนไปเพื่อให้อยู่รอด บางคนเรียกมันว่าสัญชาติญาณของการอยู่รอด แต่มันก็เป็นหนึ่งในการกระทำของเราที่สร้างมันขึ้นมาไม่ใช่หรือ อะไรคือแก่นหรือประเด็นที่แท้จริงของการปรับตัว แล้วถ้าเราไม่ปรับสภาพให้ไปตามสภาพแวดล้อมต่างๆได้ไหม แล้วเราจะยังมีโอกาสอยู่รอดต่อไปไหม ถ้าเบียร์แก้วนี้ที่ฉันดื่มไม่เคยมีการปรับตัวมันจะอยู่รอดต่อไปได้ไหม หรือว่าเป็นตัวฉันกันแน่ที่ปรับตัวเองเพื่อให้พร้อมรับกับรสชาติที่ได้รับจากเบียร์อันนี้ แล้วทำไมฉันถึงต้องปรับสภาพให้พร้อมรับกับเบียร์ปริมาณมากๆ ในเมื่อเบียร์มันอาจะปรับตัวเองให้เข้ากับฉันที่เป็นฉันแบบนี้ แล้วแบบนี้จะมีใครอยู่รอดไหมถ้าไม่มีใครปรับอะไรเลย อันนี้เบียร์แก้วที่เท่าไหร่แล้วนะ ฉันจำไม่ได้ แต่ฉันนี่แหละที่ต้องอยู่รอดให้ได้ ต้องสามารถกลับไปถึงที่พักกับชายคนนั้น แต่ฉันก็ยังไม่เห็นวี่แววใดๆของเขานับตั้งแต่ฉันเดินเข้ามา เขาหายไปไหน เขาชื่ออะไรนะ ยังไม่ได้ถามเลยด้วยซ้ำ เขาจะอยู่รอดไหม แล้วเขาต้องปรับตัวเองเหมือนกับฉันไหม มันยากไหมสำหรับเขาที่ต้องปรับตัวและรู้ได้ไงว่าเขาจะรอด ฉันจะถามคำถามนี้จากเขา ถ้าฉันเจอเขา แต่เขาหายตัวไปไหน ฉันเดินออกไปด้านนอกร้านเพื่อพบกับความว่างเปล่าของสภาพภายนอกร้าน ฉันคาดหวังว่าเขาจะยืนสูบบุหรี่อยู่ด้านนอก ฉันพยายามหยี่ตามองดู หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดอย่างไม่มีพิธีรีตอง และออกเดินทางไปอย่างไร้จุดหมาย

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in