เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เก็บเล็กผสมน้อย...ร้อยเป็นเรื่องปลายฟ้า
(3) ความง่ายที่กลายเป็นความยาก
  • ช่วงสายๆ ของวันหนึ่งหลังจากออกจาก รพ.ได้ประมาณเกือบสองสัปดาห์ ฉันยืนอยู่พื้นบ้านชั้นล่างสุด เงยหน้าขึ้นมองสบตากับบันไดที่เคยรองรับเท้าทั้งสองข้างยามเดินขึ้นลง บันไดไม่เคยเป็นศัตรูกับฉันมาก่อน หากวันนี้ มันกลายเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวง เพียงเพราะฉันต้องการเดินขึ้นไปชั้นสอง...

    ย้อนไปในวันที่จะได้กลับบ้าน ฉันนึกขอบคุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ที่มาช่วยดูแลรักษา นับตั้งแต่หมอตา หมอระบบสมอง หมอด้านการติดเชื้อ หมอนรีเวช และสุดท้ายหมอด้านระบบภูมิคุ้มกัน หมอทุกคนมาช่วยกันหาสาเหตุของความผิดปกติที่เกิดขึ้น ค่อยๆสืบเสาะว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นโรคใดเพื่อจะให้การรักษาได้ตรงจุด ทว่าฉันน่าจะเป็นเคสที่การสืบสวนโรคทำไม่ได้ง่ายนัก

    ด้วยความผิดปกติที่ดูเหมือนเกิดขึ้นอย่างไร้แบบแผน ทำให้คนไข้อย่างฉันได้แต่ลุ้นรอฟังผลหลังจากตรวจไปทีละระบบ เมื่อเริ่มต้นการสอบสวนหาคำตอบด้วยอาการจุดแรก ค่อยๆเผยพบคำตอบที่ไม่ตรงกับความคาดหมาย ทำให้หมอต้องค้นหาคำตอบใหม่ในจุดใหม่อีกหลายรอบ เพื่อสรุปผลการวินิจฉัยให้ได้ แต่นั่น...ก็ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย... ความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย ทุกสิ่งทุกอย่างโยงใยถึงกันและกันเกินกว่าที่หมอและคนไข้จะคาดคิด...

    เพราะร่างกายเป็นระบบนิเวศน์ที่พึ่งพาอาศัยกันอยู่ แม้ว่าร่างกายภายนอกของฉันดูเหมือนกลับมาเป็นปกติดีแล้วในวันนั้น แต่ฉันกลับรู้สึกถึงกระบวนการทำงานภายในร่างกายที่ต่างไปจากเดิม ร่องรอยแรกที่ปรากฏคือรอยเขียวช้ำบนข้อมือจากการได้แทงสายน้ำเกลือ ที่ผ่านมาใช้เวลาเพียงสองสามวันจะจางหายไป หากรอบนี้ กลับใช้เวลานานเป็นสัปดาห์ และต้องใช้ยาทาช่วย

    การกินสเตียรอยด์วันละ 12 ​เม็ด บวกกับยากดภูมิ และยาอื่นๆ อีกที่ต้องกินเสริมหลายตัว ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน ผลข้างเคียงจากการได้รับยาเริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อย ในระยะแรก ฉันกลายเป็นคนที่มีไฮเปอร์มาก อยากทำโน่นนี่นั่น หลายสิ่งอย่าง หากความขยันนั้นมาพร้อมกันการหิวบ่อย ทำให้น้ำหนักฉันขึ้นพรวดพราดถึง 4 กิโล เพียงแค่เดือนแรกเท่านั้น

    หลังจากนั้น ขาของฉันเริ่มอ่อนแรงลงหลังจากออกจาก รพ. และดูเหมือนทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ...

    การก้าวเท้าขึ้นบันไดแต่ละขั้น กลายเป็นช่วงเวลาของการสร้างพลังใจ รวบรวมกำลังเพื่อค่อยๆ ยกเท้าวางไปทีละขั้น สิ่งที่มันเคยง่ายจนไม่เคยสนใจ กลับรู้สึกได้ถึงความยากที่เพิ่มขึ้น จนใจฉันเริ่มกลัวว่จะเป็นแบบนี้อีกนานไหม

    ขาที่อ่อนแรงเป็นเหตุให้ฉันต้องหยุดเดินออกกำลังกายที่เป็นกิจวัตรไป ยิ่งร่างกายไม่สามารถขยับได้อย่างเคย  ใจพลอยหดหู่ไปด้วย  โลกภายนอกของฉันเหมือนเลือนหายไป ฉันกลับมาใส่ใจโลกภายในร่างกายตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    ด้วยความอยากฟื้นฟูร่างกาย อยากทำสิ่งที่เคยทำได้ เมื่อพบหมอตามนัด ฉันไม่รีรอที่จะถามเรื่องนี้  ในใจฉันคิดว่าการกลับมาเดินออกกำลังกายจะช่วยให้กล้ามเนื้อขาแข็งแรงขึ้น คำตอบหมอคืออยากให้พักมากกว่า แม้หมอจะไม่ได้ห้ามเด็ดขาด แต่ไม่สนับสนุนให้ทำ ฉันผิดหวังกับคำตอบของหมอมากทีเดียว

    เมื่อกลับบ้านมา ฉันยังวนเวียนอยู่กับความคิดว่ายิ่งไม่ทำอะไร มันจะยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆไหม หรือร่างกายมันจะปรับตัวได้เอง ฉันตัดสินใจที่จะขอลองด้วยตัวเองก่อน ถ้าไม่ดีขึ้น ฉันจะหยุดทันที...

    วันแรกที่เริ่มต้นเดินใหม่ เป็นการต่อสู้ข้างในตัวเอง ระหว่างใจกับกาย ใจที่อยากเดินขณะที่กายไม่อยากขยับ แต่สุดท้ายในค่ำคืนหนึ่ง ฉันตัดใจเปลี่ยนชุดออกกำลังกาย แล้วพาตัวเองมายืนบนถนนในหมู่บ้าน ถนนโล่งๆ ฉันเริ่มออกเดินแบบช้าๆ แบบคนไม่มีเรี่ยวแรง การเดินเพียงแค่ 10 นาที เป็นบททดสอบอันยิ่งใหญ่ ฉันเห็นความคิด เห็นร่างกาย และรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ภายในใจ การทำงานที่ไม่สอดประสานกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้ฉันเหนื่อย และอ่อนแอที่สุดในชีวิต

    ในช่วงเวลาของความเปราะบางทั้งทางร่างกายและจิตใจ ครูทางด้านจิตวิญญาณของฉันได้ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับการพูดคุยโอบอุ้มฉันอย่างอ่อนโยน และยิ่งได้พบว่ายังมีกัลยาณมิตรที่พร้อมเกื้อหนุนใจฉันอยู่เสมอ สร้างพลังให้ฉันกล้าที่จะก้าวเดินต่อไป

    ด้วยแรงหนุนชูใจ กับเป้าหมายของฉันที่ชัดเจนเพียงอย่างเดียวคือค่อยๆทำให้ขาแข็งแรงขึ้น แม้จะรู้ว่าความยากของการทำสิ่งท้าท้ายอยู่ที่การเริ่มต้น  แต่ก็รู้เช่นกันว่าความยากยิ่งไปกว่าคือการทำให้ต่อเนื่อง เพียงแต่ครั้งนี้ ฉันประเมิน และทำตามกำลัง ไม่ฝืนตัวเองจนเกินไป  ซึ่งทำให้ฉันเหนื่อยน้อยลงเรื่อยๆ ในทุกวัน  รับรู้ได้ถึงกล้ามเนื้อขาที่ค่อยๆฟื้นคืนทีละน้อย

    เมื่อเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเดือน ฉันขึ้นลงบันไดได้ดีขึ้นมาก แม้จะเจ็บเข่าบ้างเล็กน้อย ใจเริ่มฟู ร่างกายแค่เกือบนะ เกือบเหมือนเดิมแล้ว ความเปลี่ยนแปลงภายนอกที่เกิดอย่างชัดเจน ทำให้ฉันเปลี่ยนไปคล้ายคนละคน โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เจอฉันมาระยะหนึ่ง มักแสดงสีหน้าตกใจที่ได้เจอ เพราะต่างไปจากฉันคนเดิม ทั้งน้ำหนัก ใบหน้ากลมแบบพระจันทร์*ที่เป็นผลจากสเตียรอยด์  และความคล่องแคล่วว่องไวที่ลดลงไปมาก


    วันเวลายังคงเคลื่อนผ่าน จนถึงนัดการตรวจร่างกายด้านนรีเวช ผลการตรวจ ultrasound ซ้ำ พบว่าขนาดของเนื้องอกที่บริเวณรังไข่ใหญ่ขึ้นมาเกือบเท่า คือจากเดิม 4 ซม. กลายเป็นเกือบ 8 ซม. ในชั่วระยะเพียง 2 เดือน ซึ่งถือว่าผิดปกติ หมอแนะนำให้ผ่าเอาออกโดยเร็ว เพราะถ้าเนื้องอกโตเร็วแบบนี้ โอกาสเป็นมะเร็งค่อนข้างสูง ฉันได้แต่อุทานในใจ เรื่องเก่ายังไม่ทันซา เรื่องใหม่เข้ามาอีกแล้ว จะเกิดอะไรกับฉันอีกไหมหนอ


    self reflection
    1. ความเป็น "ปกติ" เป็นเรื่องที่ดีที่สุด เพราะเมื่อเราเจ็บป่วย เราจะมองเห็นคุณค่าของความปกติทันที
    2. ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว แม้กายไม่พร้อม พลังใจพร้อม เราค่อยๆเริ่มต้นใหม่ได้ แต่ต้องรู้จักประมาณตน ไม่หักโหม ให้เวลา และมีวินัย
    3. ยึดเป้าหมายไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่ต้องเยอะ ขออย่างเดียวก็พอ (ตอนเดิน คือขอขากลับมาแข็งแรงพอ)
    4. สมดุลย์ คือหัวใจ ฝึกปรับให้กาย จิต สมองทำงานอย่างสมดุล อย่างเอียงไปสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป อย่าเอาส่วนใดไปรับใช้ส่วนอื่นมากเกินไป   

    ______________________________________________________
    Cushing Syndrome (กลุ่มอาการคุชชิง) เกิดจากร่างกายมีระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) สูง ซึ่งอาจเป็นเพราะใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์มากเกินไป หรือร่างกายอาจผลิตฮอร์โมนนี้ออกมามากกว่าปกติ ทำให้มีอาการ เช่น น้ำหนักเพิ่มขึ้น มีภาวะอ้วน ใบหน้ากลมผิดปกติ มีก้อนไขมันด้านหลังช่วงระหว่างไหล่ และผิวหนังหน้าท้องแตกลายเป็นสีม่วงหรือสีชมพู เป็นต้น (อ้างอิงจาก  https://www.pobpad.com/cushing-syndrom) 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in