หมอพยายามหาสาเหตุต่อด้วยการตั้งสมมติฐานที่สองคือภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือด การตรวจต่อไปคือการเจาะน้ำไขสันหลังไปตรวจ... ตอนเป็นพยาบาล จำได้ว่าฉันเคยเห็นการตรวจแบบนี้หลายครั้ง กระทั่งเคยได้ยินคนไข้บอกว่ามันเจ็บมาก ในการนอนตะแคง งอเข่าคุดคู้ โก่งหลัง คางแนบอก เพื่อให้หมอสอดเข็มเข้าไปตรงบั้นเอวด้านหลังแล้วดูดน้ำไขสันหลังออกมาตรวจ... วันนี้ ได้เจอของจริงแล้วสินะ
แล้วการเจาะน้ำไขสันหลังผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แปลกใจตัวเองที่ไม่รู้สึกเจ็บอย่างที่ร่ำลือ อาจะเป็นเพราะฉันตั้งใจให้ความร่วมมือเต็มที่ และพาจิตพาใจให้น้อมนำอยู่กับตัวเองตลอดเวลา...นี่เป็นการโดนเจาะครั้งแรก และขอเป็นครั้งสุดท้าย
นอกจากการตรวจน้ำไขสันหลังแล้ว เพื่อให้ค้นหาได้ครบทุกมิติ ฉันโดนเจาะเลือดเพื่อดูค่าต่างๆ ที่อาจสัมพันธ์กับสิ่งที่เป็น กับอัลตราซาวน์ช่องท้อง ซึ่งพบว่ามีเนื้องอกที่บริเวณรังไข่ขนาดประมาณ 4 ซม. แต่ดูๆแล้ว เบื้องต้นไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับอาการที่เป็นแต่อย่างใด
นับตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในโรงพยาบาลตอนเช้า จนเวลาเดินไปเรื่อยๆ และกำลังจะก้าวข้ามเข้าสู่ยามวิกาล ฉันยังไม่ได้รับการรักษาใดๆ นอกจากการตรวจ ตรวจ และตรวจ ดูเหมือนว่าข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากคนไข้ กับอาการที่ปรากฏตรงหน้า คุณหมอหลายคนกำลังช่วยกันปะติดปะต่อให้เป็นภาพจิ๊กซอว์ที่สมบูรณ์ สามารถวินิจฉัยโรคได้ เพื่อจะให้การรักษาที่ถูกต้องสอดคล้องกับโรคนั้นๆ เพียงแต่ผ่านมาเกือบ 12 ชั่วโมงแล้ว ภาพจิ๊กซอว์ยังไม่สมบูรณ์ มันยังขาดชิ้นส่วนสำคัญไป ชิ้นสุดท้ายที่จะยืนยันว่าทั้งหมดทั้งปวงที่เกิดขึ้นกับฉันมาจากสาเหตุใดกันแน่
เมื่อมองดูรูปลักษณ์ภายนอกของฉันในตอนนั้น อาการที่ยังคงอยู่ และไม่ได้ดีขึ้น คือการมีอัมพาต (Palsy) ของใบหน้าด้านขวา หางตา มุมปากด้านนั้นตก มีตาด้านซ้ายที่หรี่เล็กลง
แม้ภายนอกของฉันจะดูน่ากลัวเพียงใด แต่ข้างในฉันกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร ร่างกายก็แค่ยิ้มไม่ได้ข้างนึง กับตาที่กรอกไม่ได้เท่าเดิม การมองเห็นยังซ้อนอยู่ ส่วนสภาพใจยังนิ่งๆดีอยู่ มีความเชื่อมั่นว่าจะได้รับการรักษาที่ดีที่สุด อย่างน้อยมีพี่หมอที่เป็นเสมือนพี่สาวที่ไว้วางใจในยามนี้ดูแลอยู่ห่างๆ
ก่อนจะเข้านอนในสภาพกายแบบนั้น รุ่นพี่หมอได้โทรมาแจ้งว่า แม้จะยังไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าฉันเป็นอะไร แต่ได้คุยปรึกษากับหมอ neuro อย่างถ่ี่ถ้วนแล้ว หมอ neuro ตัดสินใจเริ่มให้ยา steroid ในคืนนี้ เพราะน่าจะเป็นการรักษาที่จะช่วยฉันในเวลานี้ได้ดีที่สุด อืม เจ้ายาตัวนี้ หลังจากที่กินมาได้เกือบเดือนด้วยขนาดยาต่ำๆ กลับมาคราวนี้เธอมาแบบเข้มข้นแถมไหลตรงเข้าทางเส้นเลือดเลย
แม้จะไม่ได้รักใคร่ steroid เท่าไร เพราะผลกระทบมันเยอะมาก แต่ฉันต้องยอมรับว่ามันทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม เพียงคืนเดียวที่หลับไหลไป ตื่นเช้ามา พบว่าร่างกายตอบสนองต่อยาดีมาก ตาซ้ายเริ่มมองได้ดีขึ้นทันที ขนาดของตาแม้จะยังไม่ได้กลับมาเท่าเดิมแต่ก็โตขึ้นมาหน่อย ส่วนใบหน้าด้านขวา เหมือนความมหัศจรรย์ รอยยิ้มที่บิดเบี้ยวกลับมายิ้มได้เกือบเหมือนเดิม ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะมันเกิดกับตัวเอง มิน่าเล่า เขาถึงเรียกยาตัวนี้ว่ายาครอบจักรวาล
การรักษาผ่านมาสองสามวัน ในช่วงบ่ายวันหนึ่ง คุณหมอผู้ชายที่ฉันไม่เคยเจอเดินเข้ามาในห้องผู้ป่วย แนะนำตัวว่าเป็นหมอด้านระบบภูมิคุ้มกัน (immunology) และเริ่มให้ข้อมูลสรุปผลการตรวจทั้งหมดที่ผ่านมา เหมือนกับกำลังจะได้ฟังเล็คเชอร์อย่างไรไม่รู้ อาจเป็นเพราะองค์ประกอบทั้งหมดทั้งบุคลิกภาพ น้ำเสียง สิ่งที่เล่าออกมาที่ดูเป็นวิชาการ ทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้น
"จากผลตรวจร่างกายทั้งหมด มี 3 โรคที่เป็นไปได้สำหรับคุณปลายฟ้า" คุณหมอเริ่มประโยคแรก
"โรคแรก คือเนื้องอกในสมอง โรคที่สองคือติดเชื้อในกระแสโลหิต ซึ่งจากการตรวจ MRI และเจาะน้ำไขสันหลังไม่พบอะไรผิดปกติที่เกี่ยวกับโรคทั้งสอง ดังนั้น โรคที่สามที่เป็นไปได้มากที่สุด ณ เวลานี้คือ autoimmune หรือแพ้ภูมิตัวเอง แต่ไ่ม่ใช่โรคพุ่มพวง**นะ" คุณหมอย้ำ
"มันเป็น autoimmune ชนิดหนึ่งที่คนเป็นน้อยมากๆ ใน 1 ล้านคน น่าจะเป็นประมาณ 8-9 คนเอง โรคนี้มีผลต่อการอักเสบของเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อที่หน้า กับมีผลต่อการอักเสบของเส้นโลหิตฝอย" ฉันนึกในใจ อืม ฉันมีอาการที่ว่านี้ค่อนข้างครบ
"แม้ผลเลือดจะเป็นปกติก็ตาม ในเบื้องต้น หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคแพ้ภูมิชนิด Wegener's"
โอ นี่มันโรคอะไรเนี่ย ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต
"การรักษาโรคคือต้องกินยากดภูมิไประยะหนึ่ง แต่ไม่ต้องกินตลอดชีวิต" หมออธิบายต่อ
"ระยะหนึ่ง" ที่ว่านี้ คุณหมอเอง ไม่สามารถบอกได้ชัดๆว่าเมื่อไหร่ แต่เป็นปีๆ แน่นอน
ฉันซักถามคุณหมอเกี่ยวกับโรคนี้หลายอย่าง มีคำถามอะไรที่ผุดขึ้นมา อยากรู้ ฉันถามหมด ฉันไม่ได้รู้สึกว่าต้องเกรงใจแล้วเก็บไว้ในใจคนเดียว ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับตัวฉัน และหมอจะเป็นคนรักษา ฉันควรจะได้รับรู้ด้วย...
แรกๆ คุณหมอออกจะดูฉงนเล็กน้อยที่คนไข้คนนี้ช่างถามเหลือเกิน ยิงคำถามต่อเนื่อง แต่คุณหมอใจดี และเข้าใจได้ว่าฉันคงกำลังหวั่นไหวกับโรคที่หมอบอกว่าเป็น หมอจึงตอบหมดจดทุกข้อคำถาม จนสุดท้าย เมื่อคุณหมอเห็นฉันนิ่งไปสักพัก เลยถามกลับว่า มีอะไรที่คุณปลายฟ้าอยากรู้อีกไหม เล่นเอาฉันถึงกับต้องหัวเราะออกมาเลย ขำปนเขิน
ฉันออกจากโรงพยาบาลในวันที่เมื่อนับจากวันแรกที่มีอาการจนถึงวันที่กลับบ้านครบหนึ่งเดือนพอดีเป๊ะ ตอนนี้ ใบหน้าซีกซ้ายและขวาสมดุลกันดีแล้ว ดวงตา รอยยิ้มกลับมาเหมือนเดิม ดีจัง ... แต่การได้รับ steroid ถึง 3 ขวดในระหว่างนอน รพ. นั้น ฉันไม่สามารถหยุดยาทันที ฉันต้องกิน steroid แบบ high dose แทน แล้วค่อยๆถอยลงมา ใช้เวลาประมาณ 1 ปีกว่าจึงจะหยุดยาได้ ส่วนยากดภูมิกินควบคู่กันไป เมื่อออกจาก รพ. ฉันต้องระวังเรื่องการกิน การอยู่ให้ดีเพราะจะติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนปกติ
ทุกอย่างคลี่คลาย ดูเหมือนว่าจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายปรากฏตัวแล้ว ไม่ได้คิดว่าบางโรคบนโลกมันซับซ้อนกว่าที่คิดไว้เยอะ... อะไรที่เคยคิดว่าใช่ เมื่อเวลาผ่านไปกลายเป็นไม่ใช่ ส่วนที่คิดว่าไม่ใช่ กลับกลายเป็นใช่
ชีวิตช่วงป่วย 1 เดือนมานี้เหมือนเพิ่งเข้าเรียนชั้นประถม ยังมีชั้นมัธยม อุดมศึกษารออยู่โดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลย...
พูดคุยกับตัวเอง:
1. วิชาใดๆที่ได้เรียน ที่มีอยู่ ตอนในช่วงวิกฤตชีวิต วิชาที่ใช้ได้ดีที่สุดคือวิชาอยู่กับปัจจุบันขณะ
2. ฟังเสียงร่างกายให้ดี ร่างกายส่งเสียงเตือนมาเรื่อยๆ แต่ฉันรู้สึกว่ายังไหว คิดว่าดูแลเขาดีแล้ว แต่บางทีอาจจะดีไม่พอเท่าที่เขาต้องการก็เป็นได้
3. จิตกับกายมีผลเชื่อมโยงกันมาก หลายปีที่ผ่านมาก่อนป่วย ฉันเจอหลายเหตุการณ์ที่ทำให้มีความเครียดสะสมมาตลอด แม้จะรู้ตัว และพยายามวาง แต่ยังวางไม่ค่อยได้ พอป่วยรอบนี้ วางได้หมดจดหมดใจไปเลย
หมายเหตุ: สามารถอ่านตอนที่ (1) วันธรรมดา...ที่ไม่ธรรมดาได้ที่ https://minimore.com/b/CGj0Z/4
___________________________________________________
*Magnetic Resonance Imaging หรือ MRI คือเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ใช้ในการตรวจวินิจฉัยรอยโรคของผู้ป่วย เพื่อนำมาใช้ในการรักษาและติดตามผลการรักษา เครื่องจะส่งสัญญาณคลื่นวิทยุที่มีความถี่จำเพาะ (Radiofrequency) เข้าไปกระตุ้นระบบอวัยวะที่จะตรวจ เมื่ออวัยวะนั้นๆ ถูกกระตุ้นจะมีการเปลี่ยนแปลงระดับพลังงานตามขบวนการทางฟิสิกส์ ที่เรียกว่า การกำทอน (Resonance) หลังจากหยุดกระตุ้นไฮโดรเจนอะตอมภายในร่างกายมีการคายพลังงาน จะมีอุปกรณ์รับสัญญาณที่ได้ออกมา จากนั้นแปลงเป็นสัญญาณภาพบนจอภาพ ปัจจุบันมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย เนื่องจากเป็นการตรวจวินิจฉัยที่ให้ความถูกต้องและแม่นยำสูง เนื่องจากให้ความแตกต่างของเนื้อเยื่อได้ดี ทำได้หลายระนาบ สามารถใช้ตรวจได้ทุกระบบของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของระบบสมองและกระดูกสันหลัง (อ้างอิงจาก https://med.mahidol.ac.th/aimc/th/content/09122017-1414-th)
**โรคพุ่มพวง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง SLE (Systemic Lupus Erythematosus, SLE) เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำลายเนื้อเยื่อร่างกายของตนเอง แต่สาเหตุที่ภูมิคุ้มกันทำงานผิดพลาดนั้นยังไม่แน่ชัด แต่ยังพอสามารถระบุพฤติกรรมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคพุ่มพวงอยู่หลายสาเหตุ โรคนี้ยังต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานและเคร่งครัดเนื่องจากอาการที่กำเริบอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ (อ้างอิงจาก https://www.petcharavejhospital.com/th/Article/article_detail/detail-SLE)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in