เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ก่อนตะวันรอนngamdokbua
นวนิยายเรื่อง : ก่อนตะวันรอน ตอนจบ : ยอมรับเพื่ออยู่ร่วม
  • นวนิยายเรื่อง ก่อนตะวันรอน

    ตอนจบ  ยอมรับเพื่ออยู่ร่วม


    พิธีฝั้นสายสิญจน์รุ่นของเดอลาเสร็จสิ้นลงด้วยความทุลักทุเล หลังจากนั้นที่หมู่บ้านดอนผักหวานก็ไม่มีพิธีกรรมนั้นอีกเลย ชมรมที่เดอลาและกรีนนี่อยากชวนเพื่อน ๆ และสมาชิกชาวดอนผักหวานทำก็ถูกพับเก็บ แสงหลังจากได้เจอกับนกแก้วอีกครั้งเขาไม่ยอมผิดหวังอีก ขอตามติดนกแก้วไปถึงต่างประเทศยอมลาออกจากงานที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ารักหรือไม่ รู้อย่างเดียวคือทำงานอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องสานต่อคณะหมอลำของลุงคำก้อน

    ส่วนกบกับติ่งก็จับมือร่วมกันทำงานผิดกฎหมาย ต่างก็ดำดิ่งสู่ธุรกิจมืดจนกู่ไม่กลับเพราะเอาความไม่มีและไม่พอเป็นตัวตั้งต้นในการหาเงิน เพื่อให้ได้เงินมาพวกเขาไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น เพราะคำว่ามีแล้วพอแล้วพวกเขาไม่รู้จัก สุดท้ายแล้วติ่งก็ถูกตำรวจจับดำเนินคดี ส่วนกบก็ถูกลูกน้องคนสนิทหักหลังเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ต้องสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินส่วนครอบครัวก็บ้านแตกสาแหรกขาดไม่เหลืออะไรเลย

    ศักดิ์ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับตำแหน่งรองปลัดอำเภอเนื้อหอมเอามาก ๆ มีทั้งสาวน้อยสาวใหญ่มารุมจีบและเลือกที่จะลงหลักปักฐานกับพยาบาลสาวประจำอำเภอเพราะที่ทำงานใกล้กันเจอกันทุกวัน

    จนทั้งสองมีลูกและดูแลดีมาก ๆ คอยบอกคอยสอนแต่สิ่งดี ๆ ห้ามไม่ได้คบเพื่อนไม่ดี แต่สุดท้ายแล้วข่าวเศร้าก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อน้องคุณลูกชายของศักดิ์ต้องถูกจับเพราะมียาเสพติดไว้ครอบครอง

    เดอลาและกรีนนี่กรีนนี่ได้ตัดสินใจลงขันกันเปิดร้านตัดเสื้อภายใต้ชื่อแบรนด์เดอลาหรือเด้อหล่าภาษาอีสานนั่นเอง โดยเดอลาทำหน้าที่ตระเวนหาผ้าพื้นเมืองทั้งในและนอกประเทศมานำเสนอให้กรีนนี่เป็นคนออกแบบตัดเย็บตามคอลเลคชั่นที่ทั้งสองได้วางแผนกันไว้ ลูกค้ามีทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ ด้วยวัสดุที่มีคุณภาพและการออกแบบในสไตล์ร่วมสมัยของแบรนด์เดอลาทำให้สินค้ามีเสน่ห์มากขึ้นจนลูกค้าติดใจมียอดขายเพิ่มขึ้นทุกวัน

    สำหรับเหตุการณ์หลังจากพิธีฝั้นสายสิญจน์เดอลาก็ไม่กล้ายื่นข้อเสนออะไรให้กับทางหมู่บ้านอีกเลยไม่ว่าจะดีหรือร้าย นาน ๆ ทีจะได้ข่าวจากทางบ้านบ้างว่าใครถูกหลอกให้ไปลงทุนทำธุรกิจแล้วเจ๊งบ้าง ลูกใครหลานใครกลายเป็นหัวขโมยบ้างติดยาบ้าง หลายครอบครัวมีปัญหาพ่อแม่ลูกไม่เข้าใจกันเพราะต่างคนต่างไม่มีเวลาให้กัน ข่าวคราวที่ว่าแย่ ๆ ตามสื่อต่าง ๆ มีอะไรบ้าง ที่หมู่บ้านดอนผักหวานก็มีไม่ต่างกันเลย

    จนมาถึงวันนี้เวลาได้ผ่านไปหลายปีแล้วภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นเดอลาไม่เคยลืมมันเลย ทุกครั้งที่เธอมีโอกาสกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดได้เห็นอะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป เธอเจ็บปวดทุกครั้งที่ไม่เธอช่วยอะไรหมู่บ้านที่เธอรักได้เลย ความสามารถเธอมีช่วยเหลือที่อื่นมาก็เยอะ แต่ที่นี่ทำไมพวกเขาไม่เปิดโอกาสให้ลูกหลานรุ่นใหม่ได้นำเสนออะไรเลย เพียงเพราะว่าพวกเธอเป็นลูกเป็นหลานอายุน้อยกว่าแค่นั้นหรือ ส่วนบางคนถึงอายุยังน้อยแทนที่จะเร่งเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพื่อปรับใช้กับวิถีชีวิตให้มันดีขึ้นกลับเห็นแก่เงินทองเพียงเล็กน้อย คิดแล้วก็น่าน้อยใจ

    “คนดีอยู่ยากเลยไม่มีใครอยากจะอยู่อยากจะทำมันแล้วความดีเนี่ย” กรีนนี่บ่นกับเดอลาบ่อย ๆ แต่เธอก็ได้แต่ให้กำลังเพื่อน “คนดีต้องมีที่ยืนสิ เราต้องยืนและส่องแสงออกไปจากตัวเรานี่แหละเพื่อน เราจะไม่เรียกร้องอะไรจากใครแล้ว คิดดีแล้วก็ทำเลย ทำให้คนที่คิดอยากทำให้เขาเห็นว่ามีคนคิดเหมือนเขาและลงมือทำแล้วนะ เขาก็จะเริ่มส่องแสงแห่งความดีออกจากตัวเขาเช่นกัน หลาย ๆ คนช่วยกันส่องสว่างในหลาย ๆ พื้นที่เดี๋ยวบ้านเมืองเราก็จะสว่างเองนั่นแหละ” แทบทุกครั้งเดอลาก็จะจบการสนทนากับกรีนนี่เรื่องการทำความดีด้วยการให้กำลังใจแบบนี้

    ในวันนี้เดอลาต้องกลับมาที่บ้านแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา เพราะเป็นการถูกเชิญจากสมาชิกในหมู่บ้านให้กลับมาช่วยกันหาทางออกช่วยกันว่าจะทำอย่างไรให้พี่น้องในหมู่บ้านมีอาชีพและสร้างรายได้โดยไม่จำเป็นต้องออกไปหางานที่อื่น เพราะตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาหมู่บ้านดอนผักหวานแทบจะไม่มีวัยผู้ใหญ่หลงเหลืออยู่เลย มีแต่เด็กเล็กและผู้เฒ่าผู้แก่ที่ใช้โทรศัพท์เลี้ยงลูก ๆ หลาน ๆ แทนจนลูกหลานเสียผู้เสียคน ในเมื่อความทุกข์และปัญหาต่าง ๆ มันสุกงอมก็เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะเริ่มตระหนักถึงการหาทางออก และในวันพรุ่งนี้ก็เป็นวันแรกที่หลาย ๆ คนหลาย ๆ วัยจะได้กลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง

    ที่บ้านของเดอลาในขณะที่ทุกคนกำลังนั่งล้อมวงกินข้าว ซึ่งตอนนี้สมาชิกในบ้านเหลือแค่พ่อสีแม่นางและเดอลาเท่านั้น เพราะต้นน้องชายของเดอลาตอนนี้รับราชการตำรวจอยู่ที่ต่างจังหวัดนาน ๆ จะกลับมาที ส่วนน้าต้อยหลังแต่งงานก็ได้ย้ายไปอยู่บ้านน้าเขื่อนอีกคุ้ม บรรยากาศพักหลัง ๆ มานี้สำหรับเดอลาจึงค่อนข้างเงียบเหงา

    แม่นางยังคงเป็นห่วงเดอลา เพราะเธอจดจำเหตุการณ์เมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้นได้ดี นางเคยเตือนลูกสาวแล้วว่าที่หมู่บ้านไม่เหมือนเดิมแล้ว ป่วยการที่จะมาทำงานอาสาอะไรแบบนี้ ถ้าเอาเงินมาให้เขาเอาแต่จะให้เขามาเสียเวลาด้วยนั้นไม่มีหรอก ขนาดคนที่เขามีตำแหน่งหน้าที่โดยตรงอย่างผู้ใหญ่บ้านและอบต. เขายังไม่สนใจกันเลย มาคราวนี้เธอก็อดที่จะเป็นห่วง

    “มีประชุมกันจักโมงหล่ะมื้ออื่นลูกหล่า? ”

    “เก้าโมงเซ้าแม่เดี๋ยวเคนมาฮับ”

    “เคนได๋อีกหรือผู้บ่าวบ่ แม่สิได้ลูกเขยแล้วบ่? ”

    “โอ้ย ผู้บ่าวทางได๋แม่เคนกะบักเขียวหนั่นหล่ะ” เดอลาหัวเราะคิกคักหลังเห็นสีหน้าของพ่อสีและแม่นางที่ดูผิดหวัง

    “อ้าว กะนึกว่าสิได้ลูกเขยนำบ้านนำเมืองเขาแล้ว สี่สิบแล้วเด้อบ่แมนหน่อย ๆ เด้อ” แม่นางเริ่มทำเสียงเข้ม

    “โอ๊ยมันกะบ่ได้หาง่ายคือย่างในตลาดเด้แม่ กว่าสิพ้อคนดีบ่กินเหล้ากินยาบ่เจ้าชู้บ่ตีบ่ฆ่าเฮาแหม”

    “คือสิเทศน์เอาป่านพระแท้ชาตินี้สิได้ลูกเขยนำบ้านเขาบ่น้อ” พ่อสีหัวเราะก่อนที่จะลงมือปั้นข้าวเหนียวคุ้ยลาบฝีมือตัวเองอย่างเอร็ดอร่อย

    “เอ้อแม่มื้อแลงพาหนูไปวัดแนอยากไปกราบแม่ชีม่านฟ้า”

    “ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเนาะ”

    เดอลาขอร้องแม่นางให้พาไปวัดเพื่อไปกราบแม่ชี เพราะตั้งแต่งานฝั้นสายสิญจน์คราวก่อน เธอก็มัวโกรธเพื่อน ๆ และได้หนีลงกรุงเทพฯ โดยไม่ได้บอกลาใครเลยนอกจากกรีนนี่ที่สนิทกัน มาทราบข่าวภายหลังว่าแม่ชีม่านฟ้าได้บวชเป็นแม่ชีหลังจากทำพิธีเสร็จตั้งแต่วันนั้นเลย

    หลังจากกินข้าวมื้อเย็นเสร็จเดอลาก็รีบจัดการยกถ้วยชามไปล้างทันที ก่อนที่จะพาแม่นางขับมอเตอร์ไซค์ตรงไปยังวัดป่าดอนนากที่ตั้งอยู่ด้านหน้าดอนหลบภัย

    ซึ่งก่อนหน้านี้มีแค่พระแวะเวียนมาปักกลดชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ตอนนี้พื้นที่ตรงนั้นได้ถูกสร้างเป็นวัดป่าไปแล้ว แต่ก็มีเพียงศาลาหลังเล็ก ๆ และกุฏิพระและแม่ชีเพียงไม่กี่หลังเท่านั้น

    สำหรับเดอลาถึงเวลาจะผ่านไปกี่สิบปีบรรยากาศของป่าดอนหลบภัยแห่งนี้ยังดูเยือกเย็นและน่าเกรงขามอยู่ดี อาจจะด้วยต้นไมน้อยใหญ่ที่ขึ้นปกคลุมเต็มพื้นที่แห่งนี้หรืออาจเป็นเพราะว่าเวลานี้เป็นเวลากลางคืน

    “แม่ชีฟ้าอยู่บ่จ้า ?” เดอลาร้องเรียกแม่ชีม่านฟ้าอยู่หน้ากุฏิแม่ชีหลังจากที่สอบถามแม่ขาวที่กำลังเตรียมน้ำปานะไว้ถวายพระและให้แม่ชีอยู่ที่โรงครัว

    “แมนไผน้อมาค่ำแท้” แม่ชีม่านฟ้าเดินออกมาจากกุฏิ

    “หล่าจำได้บ่”

    “อ้อเดอลาจำได้ มาเข้ามาทางในนี้มาเดี๋ยวบ่สำบายอยู่นี้หมอกลงประจำเลย”

    “ไปจังได๋มาจังได๋น้อสำบายดีอยู่บ่”

    “สำบายดีอยู่จ้า แม่ชีเด้สำบายดีบ่ขอโทษหลาย ๆ เด้อจ้าบ่ได้ตามข่าวเลยตั้งแต่งานฝั้นสายสิญจน์เทือนั้น” เดอลาทำสีหน้าเศร้าเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น

    “บ่เป็นหยังดอกแม่ชีเองกะบ่ได้อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง ไปปฏิบัติธรรมหลายหม่องยุนี่กะหัวแต่มาบ้านนี่หล่ะ”

    “อืม แม่ชีรู้บ่จ้าว่ามื้ออื่นสิมีประชุมกัน”

    “รู้ยุ เป็นหยังหล่ะยังกังวลอยู่บ่? ” แม่ชีม่านฟ้าถามเดอลาได้ตรงประเด็นจนทำให้คนที่ถูกถามต้องระบายความในใจให้ฟัง

    “แมนจ้าแม่ชี ถึงคะเจ้าสิเชิญมาเองแต่ข้าน้อยกะยังบ่แน่ใจว่าคะเจ้าอยากสิเปลี่ยนแปลงหมู่บ้านเฮาอีหลีบ่ สิพากันจริงจังขนาดได๋”

    “บ่ต้องกังวลดอกสุอย่างให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ในเมื่อมื้อนี้ธรรมชาติของชาวดอนผักหวานส่วนหลายเรียกร้องอยากให้มีการเปลี่ยนมันกะต้องเปลี่ยนอยู่ดี

    เห็นบ่เทือก่อนตรงข้ามกันเลยเพราะธรรมชาติของคะเจ้าในเวลานั้นบ่ได้ต้องการเปลี่ยนแปลงหรือมีกะส่วนน้อย เพราะฉะนั้นผลที่ออกมามันก็เป็นไปตามธรรมชาติของคนส่วนหลายหนั่นเอง ในเมื่อเฮายังอยู่ในสังคมเฮากะต้องเคารพกฎของธรรมชาติหนั่น โตบ่ต้องคิดหยังหลาย”

    “เขาขอมาแล้วมื้ออื่นกะเฮ็ดหน้าที่ของจะของให้มันเต็มที่ ถ้าคิดว่าตัวเองดีแล้วกะให้คงความดีไว้คือแสงไฟอย่าให้มันมอด เอาไว้ส่องทางให้เจ้าของส่องทางให้ผู้อื่นนำ คิดดีแล้วกะอย่าคิดซื่อ ๆ ลงมือเฮ็ดนำให้มันเกิดผล มื้อนี้ลงมือบ่ได้มื้อหน้ากะมีโอกาส เจ้าของลงมือบ่ได้กะส่งต่อให้ผู้อื่น เมื่อส่งต่อแล้วเขาสิเอาไปปฏิบัติต่อบ่กะอีกเรื่องหนึ่ง ขึ้นอยู่กับธรรมะของเขาแล้ว”

    “สาธุจ้าแม่ชี ข้าน้อยยอมรับอีหลีว่ากังวลหลาย อยากซ่อยเหลือบ้านเฮา อยากพัฒนาบ้านเฮาให้มันดีขึ้นอีหลี เดี๋ยวนี้อยู่ยากหลายบ้านเฮาบ่มีความสุขคือเก่า คนสิเข้าวัดเข้าวามาฟังธรรมะแบบนี้กะบ่ค่อยมี อย่างหลายถวายแต่ปัจจัยกะไปหาเมาแอ๋เมาแอ่น ผู้ลางคนกะฟ่าวไปเฮ็ดแต่เวียกแมนบ่แม่? ”

    แม่นางได้แต่อมยิ้มหลังจากที่ลูกสาวพูดกระทบ

    “สำบายใจขึ้นแนบ่หล่ะ? ” แม่ชีม่านฟ้ายิ้มบางให้กับเดอลาหลังจากที่เห็นสีหน้าคลายความกังวลลง

    “ดีขึ้นหลายเลยจ้าแม่ชีกราบขอบคุณแม่ชีเด้อจ้า”

    นอกจากเดอลาแล้วแม่นางเองก็พลอยมีความสุขไปด้วยที่ลูกสาวเลิกกังวลอีกแล้ว เพราะตั้งแต่ช่วงเย็นแล้วที่เธอเห็นเดอลานั่งเหม่ออยู่ข้างกอไผ่ริมห้วยแดงเป็นนานสองนาน ถึงเธอจะไม่ได้ถามลูกสาวตรง ๆ ตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน แต่เธอก็ดูอาการออกเพราะรู้ว่าพรุ่งนี้เธอมีประชุมกับชาวบ้านดอนผักหวานเรื่องการจัดตั้งชมรม ที่เธอเคยถูกปฏิเสธไปก่อนหน้านี้

    “มื้ออื่นขอเรียนเชิญแม่ชีไปเป็นเกียรติในที่ประชุมแนเด้อจ้า ข้าน้อยอยากให้ไทบ้านเฮาได้ฟังธรรมะดี ๆ จากแม่ชีนำ”

    “ให้ไปจักโมง? ”

    “เก้าโมงเซ้าจ้าเดี๋ยวมาฮับ”

    “บ่ต้องดอกเดี๋ยวแม่ชีไปเอง อยู่โรงเรียนแมนบ่? ”

    “จ้าอยู่โรงเรียนจ้า”

    “มันเดิกแล้วเฮาลาแม่ชีเมือเถาะลูกเพิ่นสิได้พักผ่อน” แม่นางชวนเดอลากลับบ้านหลังจากที่นั่งง่วงนอนสักพักแล้ว เพราะช่วงกลางวันเธอยังคงทำงานหนักเหมือนทุกวันถึงแม้ว่าลูก ๆ จะขอร้องให้เธอเพลา ๆ ลงบ้างแล้วก็ตาม

    หลังจากได้ฟังธรรมะจากแม่ชีม่านฟ้าเดอลาก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจเป็นพิเศษ เดินยิ้มออกมาจากกุฏิของแม่ชีจนลืมความเย็นยะเยือกของสถานที่ไปแล้ว เพราะในหัวใจของเธอไปด้วยไฟที่คุกรุ่นอีกครั้ง ไฟที่เธอจะส่องสว่างให้ผู้คนด้วยความเข้าใจโดยที่ไม่คาดหวังเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

    รุ่งเช้าที่หน้าบ้านของเดอลา

    “แล้วไปหญิง” เสียงของเคนหรือกรีนนี่ในอดีตร้องเรียกเดอลาอยู่หน้าบ้านตั้งแต่เช้าตรู่

    “เขียวบ่ลูกมาเข้ามาก่อนนางหล่ากำลังแต่งโตอยู่” แม่นางเรียกเคนเข้าไปรอในบ้าน เธอยังคงเก้อเขินกับชื่อเคนอยู่เพราะก่อนหน้านี้ก็ให้เรียกกรีนนี่พอวันนี้ให้เรียกเคน เธอเลยเรียกเขียวตามชื่อดั้งเดิมเสียเลย แต่เคนก็ยิ้มรับไม่ว่าแม่นางหรือใครจะเรียกชื่ออะไร อาจเป็นเพราะเขาเริ่มโตขึ้นเข้าใจมากขึ้นว่าชื่อเสียงเรียงนามไม่ได้สลักสำคัญมากมาย เขาก็ยังคงเป็นเขาเช่นเดิม

    “คือมาแต่เช้าแท้เคน” เดอลาชะโงกหน้ามาจากในห้องเพื่อถามเพื่อนรัก

    “กะฟ่าวจักหน่อยพอดีมีข่าวมาบอก”

    “ข่าวหยัง? ”

    “มื้อนี้โรงเรียนมีงานต้อนรับผู้อำนวยการใหม่นำ”

    “เออกะฮู้แล้วว่ามีงานต้อนรับหน่ะ นี่บ่ข่าวดีหน่ะ”

    “แล้วเธอฮู้บ่ว่าไผมาเป็นผู้อำนวยการคนใหม่? ”

    เดอลาเลิกคิ้วพักการแต่งตัวไว้แล้วเดินออกมาหาเคนเพื่อถามเอาคำตอบ เพราะดูท่าทางของเคนดูตื่นเต้นเอามาก ๆ

    “ไผวะ? ”

    “อ้ายอาร์ต!” เคนสีหน้าตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิมอีกหลังจากที่ได้นำข่าวมาบอกเพื่อนสาว

    “อ้ายอาร์ต!” เดอลาเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กันแต่ก็ชั่วครู่เท่านั้น

    เพราะเธอนึกขึ้นได้ว่าข่าวล่าสุดเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเขากำลังจะเข้าพิธีหมั้นกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน จนป่านนี้คงมีลูกหลายคนแล้ว เมื่อนึกมาถึงตรงนี้เดอลาก็หุบยิ้มทันที

    “ฟ่าวไปแต่งโตหนั่นเดี๋ยวสิสวย” เคนเร่งอีกฝ่าย

    สักพักทั้งสองก็ไปถึงบริเวณโรงเรียนบ้านดอนผักหวานใช้เวลาเพียงห้านาทีเท่านั้นเพราะขับรถถ้าเป็นสมัยที่พวกเธอยังเด็กจากบ้านกว่าจะมาถึงโรงเรียนทั้งวิ่งทั้งเดินใช้เวลานานพอสมควร

    ภายนอกโรงเรียนถนนหนทางมีการพัฒนาแล้วจากถนนลูกรังเมื่อก่อนได้กลายเป็นถนนคอนกรีตเป็นที่เรียบร้อย จะมีหลุมมีบ่อบ้างก็ตามสภาพการใช้งาน บ้านเรือนผู้คนเปลี่ยนจากบ้านไม้มีใต้ถุนสูงไว้นั่งเล่นลมโกรกเย็นสบาย ตอนนี้กลายสภาพเป็นบ้านปูนชั้นเดียวบ้างสองชั้นบ้าง ถ้าบ้านใครติดแอร์ก็อยู่ได้ในช่วงหน้าร้อนแต่ถ้าไม่ก็คือร้อนตับแตก บางครั้งเดอลาและเขียวก็ไม่เข้าใจตรรกะหลาย ๆ อย่างในการพัฒนาเหมือนกัน เหมือนหลาย ๆ คนที่ต้องใส่เสื้อสูทจัดเต็มไปทำงานทั้ง ๆ บ้านเมืองก็ร้อนอบอ้าวซะขนาดนั้น

    ถึงแม้ว่าการพัฒนาแบบการก้าวกระโดดบ้างไม่กระโดดบ้างของผู้คนรอบนอก ขึ้นอยู่กับปัจจัยและความอยากเปลี่ยนแปลงของแต่ละคนว่ามีมากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่เดอลาและเคนเห็นว่าแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยนั่นก็คือวัดและโรงเรียนนี่แหละ

    เมื่อเคนค่อย ๆ เลี้ยวรถเข้าเขตรั้วโรงเรียน แนวสุมทุมพุ่มไม้ยังคงหลงเหลือให้เด็ก ๆ ได้หลบแดดบ้าง ศาลาชื่นฤดีที่สมัยก่อนพวกเขาใช้เป็นสถานที่เล่นที่กินและที่เรียนบ้างตอนนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว ภาพที่เห็นคือล้อยางระบายสีสันต่าง ๆ ที่เริ่มหลุดลอกออกเกือบหมด ถ้าให้เดาน่าจะเป็นสนามเด็กเล่นที่ทางโรงเรียนทำไว้ให้เด็ก ๆ เล่นกัน

    “จอด ๆ จอดหม่องนี้หล่ะเฮาอยากไปเบิ่งสนามเด็กเล่นใกล้ ๆ ”

    เดอลากระตุกแขนเคนให้จอดรถใต้ต้นหูกวาง ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับสนามเด็กเล่น ทันทีที่ทั้งสองคนลงจากรถก็เดินตรงไปยังล้อรถหลากสีที่ถูกจัดแต่งไว้แทนที่ศาลาชื่นฤดีในอดีตทันที

    “มันคือสนามเด็กเล่นของลูก ๆ หลาน ๆ เฮาอีหลีบ่หนิ!” เดอลาเอ่ยถามเคนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

    “คิดว่าแมนหล่ะหญิง” เคนตอบเสียงเรียบ

    “พวกเฮาเฮ็ดหยังกันอยู่วะคือปล่อยโรงเรียนเฮาเป็นแบบนี้” เดอลาได้แต่ว่าตัวเอง

    “ขอเรียนเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านเข้ามาในบริเวณงานได้เลยนะคะ” เสียงคุณครูพัชรีซึ่งทำหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนประกาศให้ทุกคนไปรวมกัน

    “ไปเถาะเดี๋ยวค่อยเว้ากันใหม่” เคนสะกิดเดอลาให้เข้าไปในงาน

    วันนี้นอกจากจะมีการประชุมเรื่องชมรมแล้วยังมีพิธีเลี้ยงต้อนรับครูใหญ่ด้วย และการประชุมจัดตั้งชมรมในครั้งนี้คนที่เป็นตัวตั้งตัวตีก็คือครูใหญ่นั่นเอง

    “สวัสดีพ่อแม่พี่น้องทุกคนนะครับกระผมนายอรรถศาสตร์ แสนคำ วันนี้รู้สึกตื่นเต้นและดีใจเป็นที่สุดที่ได้มารับตำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนบ้านดอนผักหวานซึ่งเป็นโรงเรียนที่กระผมมีความผูกพันเสมือนบ้านมาตั้งแต่เด็ก ๆ

    เพราะมีโอกาสติดสอยห้อยตามแม่สมัยมาเที่ยวที่นี่บ่อย ๆ ในช่วงที่ท่านเป็นคุณครูสอนที่นี่ หลายท่านที่อยู่ที่นี่คงจำผมได้นะครับ ด้วยความรักและความผูกพันกับโรงเรียนบ้านดอนผักหวานผมจะตั้งใจพัฒนาโรงเรียนและนำพาเด็ก ๆ ให้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ เห็นคุณค่าตัวเองและผู้อื่น รู้จักรักและให้อภัยกันและกัน

    ด้วยเหตุผลนี้ผมและทางชาวบ้านดอนผักหวานหลาย ๆ คนได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันว่าจะมีส่วนช่วยผลักดันงานนี้ได้สำเร็จ และเห็นว่าแนวทางการปฏิบัติงานของชมรมฮ่วมฮักที่ทางสมาชิกหมู่บ้านได้ร่างโครงการไว้เมื่อหลายปีก่อน พอดีผมมีโอกาสได้เก็บไว้และวันนี้ผมได้เข้ามารับหน้าที่ครูใหญ่ที่โรงเรียนบ้านดอนผักหวานแห่งนี้จึงขออาสาเป็นตัวแทนของพี่น้องชาวบ้านทุกคนร่วมปรึกษาหารือถึงแนวทางที่จะจัดตั้งชมรมฮ่วมฮักนี้ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาครับ”

    “เบิ่งทรงโครงการของเฮาบาเป็นหมันแล้วหล่ะหญิง” เคนสะกิดเดอลาเพื่อบอกให้เพื่อนมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่หัวเดียวกระเทียมลีบอีกแล้ว

    “ครูใหญ่คะก่อนที่เราจะประชุมกันดิฉันอยากฟังเหตุผลของชาวบ้านก่อนค่ะ ว่าพวกเขาสนใจอยากจะทำชมรมตามแนวทางที่พวกดิฉันร่างขึ้นเพราะอะไร ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนสมาชิกส่วนมากพากันปฏิเสธไปแล้ว” เดอลามองไปรอบ ๆ อยากจะเห็นสีหน้าแต่ละคนว่าจริงจังมากแค่ไหน

    “ถ้าอย่างนั้นผมขอเริ่มก่อนเลยนะครับ” ศักดิ์เสนอตัว

    “สำหรับปัญหาของผมเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านคงรู้กันบ้างแล้วเพราะหมู่บ้านของเราไม่ได้ใหญ่โตอะไร ตอนนี้ลูกของผมถูกดำเนินคดีอยู่ที่สถานพินิจ ด้วยข้อหาที่ผมไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยว่าจะเกิดขึ้นกับลูกของผมนั่นคือยาเสพติด ทั้ง ๆ ที่ผมก็เลี้ยงดูลูกมาอย่างดีบ้านก็มีรั้วรอบขอบชิด ผมคิดเสมอว่าถ้าเราเลี้ยงลูกเราดีแล้วข้างบ้านจะไม่ดีก็ช่าง นั่นเป็นความคิดที่ผิด” ศักดิ์เริ่มปาดน้ำตาเพราะความแค้นอกแค้นใจที่ปล่อยให้เรื่องเลยเถิดมาจนถึงวันนี้

    “ไหวบ่ศักดิ์” เคนเอาน้ำเข้าไปให้ศักดิ์พร้อมตบไหล่ให้กำลังใจ

    “ไหว ๆ เพื่อน มื้อนี้จังได๋เฮาต้องได้ระบายขอเฮาเว้าอีกแน” ศักดิ์เค้นเสียงพูดต่อ


    “ผมรู้ซึ้งแล้วครับว่าถ้าอยากอยู่อย่างมีความสุขสังคมรอบข้างเราต้องมีความสุขด้วย การที่ผมสนใจแต่ลูกตัวเองในบ้านโดยไม่ใส่ใจลูกหลานในชุมชนเลยมันก็ไม่ได้ช่วยให้ความเป็นอยู่ของผมดีขึ้น ถ้าสังคมดี สังคมสงบสุขลูกผมอาจจะไม่มีชะตากรรมแบบนี้ก็ได้ ผมจึงอยากเป็นส่วนหนึ่งในการปูพื้นฐานชีวิตให้พี่น้องชาวดอนผักหวานของพวกเราได้อยู่กันอย่างร่มเย็นผาสุกมากขึ้น อยากให้เด็กเล็ก ๆ ที่กำลังจะเติบโตมาให้พวกเขาได้อยู่ในชุมชนที่ดี ผมรู้นะครับว่ามันใช้เวลาแต่ถ้าทุกคนร่วมมือกันอนาคตของหมู่บ้านดอนผักหวานของเราก็จะมีความสุขมากขึ้น ไม่ต้องคอยกังวลว่าลูกหลานเราจะไปทำอะไรไม่ดีกับใครที่ไหน เพราะตามหลักการการทำงานของชมรมฮ่วมฮักที่เพื่อน ๆ พวกเราได้วางโครงการไว้นั้นมีกิจกรรมให้ทุกเพศทุกวัยได้ทำร่วมกันตลอดเลย” ศักดิ์มีสีหน้ามั่นใจมากขึ้นเมื่อหันไปสบตากับครูใหญ่เดอลาเคนและทุก ๆ ที่นั่งอยู่ในบริเวณงาน

    “พวกเฮาเอานำเด้อปลัด อยู่แบบสุมื้อนี้อยู่ยากขนาดเป็นห่วงลูกหลานคัก นอนกะบ่หลับดึก ๆ ดื่น ๆ จักพากันไปหยัง” เขื่อนเอ่ยเพราะลูกของเขากับต้อยก็ย่างเข้าสู่วัยรุ่นพอดีถึงจะเป็นผู้ชายก็อดห่วงไม่ได้

    “วันนี้เรามีแม่ชีม่านฟ้าให้เกียรติมาแบ่งปันข้อคิดในการทำงานอาสาเพื่อให้กำลังใจทุกคนด้วยนะคะ ขอกราบเรียนเชิญแม่ชีค่ะ” คุณครูพัชรีกล่าวเชิญแม่ชีม่านฟ้าก่อนที่จะออกไปบอกเด็กนักเรียนจัดเตรียมน้ำมาให้แขกดื่ม

    “ขอบคุณจ้าที่เชิญแม่ชีมาในวันนี้ หลังจากที่ได้ฟังครูใหญ่คนใหม่และท่านปลัดศักดิ์แล้วแม่ชีก็แทบจะไม่มีอะไรแบ่งปันแล้วจ้า อย่างที่ได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับสมาชิกบางท่านในที่นี้เมื่อวานในเรื่องของการทำงานอาสาหรืองานอะไรก็ตามแต่ ทุกอย่างก็ล้วนจะต้องเป็นไปตามกฎของธรรมะ หรือกฎของธรรมชาตินั่นเอง ในเมื่อวันนี้ธรรมชาติของพวกท่านทุกคนต้องการจะเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินชีวิตให้ดีขึ้น เพราะเห็นว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันไม่ดีแล้ว ในเมื่อเราอยู่ในสังคมมีผู้คนเยอะแยะเต็มไปหมด


    แน่นอนว่าความต้องการของแต่ละคนนั้นมีทั้งเหมือนและแตกต่างกันไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คนหมู่มากต้องการจะหันหัวลูกศรไปทางไหนผู้คนส่วนที่เหลือจะมีอันต้องร่วมเดินทางไปทิศทางนั้นด้วย และวันนี้หัวลูกศรของแต่ละคนมีเป้าหมายมีทิศทางที่ชัดเจนแล้วแม่ชีก็ขออวยพรให้ทุกท่านทำงานเพื่อส่วนรวมอย่างมีความสุขมีสติและพึงระลึกไว้ว่าการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกนั้นจะต้องยอมรับซึ่งกันและกัน ก่อนอื่นต้องยอมรับในตัวเองให้ได้ก่อนเราถึงจะยอมรับผู้อื่นได้ ยอมรับและเห็นคุณค่าในตัวเองและคุณค่าของผู้อื่นด้วย มาถึงตอนนี้แม่ชีก็มั่นใจว่าทุกท่านคงจะช่วยกันทำชมรมโฮมฮักให้เกิดขึ้นได้แน่นอน ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งจ้าที่ให้เกียรติแม่ชีได้มาแบ่งปันข้อคิดในวันนี้ขอบคุณจ้า”

    ทุกคนต่างก็ตั้งอกตั้งใจฟังธรรมะจากแม่ชีม่านฟ้า และหลังจากฟังธรรมะแล้วทุกคนต่างมั่นใจมากยิ่งขึ้นในสิ่งที่กำลังจะทำเพื่อชุมชน

    “สุคนมื้อแลงไปปาร์ตี้ฉลองกันบ่” เคนเอ่ย

    “ปาร์ตี้หยังยุหนิ”

    “ปาร์ตี้ฉลองต้อนรับครูใหญ่กับฉลองชมรมเฮาเป็นรูปเป็นร่างแล้ว”

    “เอาหยังหล่ะมาปาร์ตี้”

    “อากาศหนาวจังสิกะปาร์ตี้ข้าวกี่ตั้วหญิง”

    “เอ้าสั้นไปยุคันปาร์ตี้ข้าวกี่อยู่เฮือนโตบ่เคน”

    “บ่อยู่เฮือนหญิงหล่าพู้น”

    “อิหยังวะจะของชวนหมู่คึสิมาเฮือนเฮา”

    “เอาหน่ะเฮือนโตบรรยากาศดีมีทุ่งนานำ ไปตอนนี้เลยเด้อไผพร้อมหน่ะเดี๋ยวพวกเฮาล่วงหน้าไปก่อนเชิญครูใหญ่และครูท่านอื่น ๆ ด้วยนะครับ บรรยากาศบ้าน ๆ สนุก ๆ กัน”

    “ไผบอกให้ชวนครูใหญ่เผื่อเลาฟ่าวกลับไปหาลูกหาเมียเพิ่น” เดอลากระซิบเคน

    “ผมยังไม่มีครอบครัวครับ” ชายหนุ่มตอบเสียงนุ่มแต่ก็ทำเอาใครบางคนที่ได้ยินหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะทีเดียว

    “แล้วเจอกันนะครับผมขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”

    “หญิง! โอ๊ยฉันอยากกรี๊ดแทนเธอ” เคนรีบเข้ามาเขย่าแขนเพื่อนสาวโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกอะไรแล้วเพราะมัวแต่ตื่นเต้น

    “มา ๆ ขึ้นรถฟ่าวไปเตรียมสถานที่” ว่าแล้วเคนก็รีบดึงแขนเดอลาผลักให้ไปนั่งข้าง ๆ คนขับส่วนตัวเองก็รีบวิ่งไปทำหน้าที่ขับก่อนจะสตาร์ทรถออกไป

    เมื่อเคนและเดอลามาถึงบ้านก็ตรงไปขออนุญาตพ่อสีเพื่อใช้สถานที่สำหรับทำปาร์ตี้ข้าวกี่ทันที โดยเลือกใช้ทุ่งนาที่ติดกับลานหน้าบ้านของเธอ ใกล้กันนั้นยังมีต้นมะขามใหญ่อีกด้วย ดึกมาเผื่อว่าหมอกลงเพื่อน ๆ จะได้เข้ามานั่งที่ใต้ต้นมะขามใหญ่นี้

    เพื่อน ๆ หลายคนช่วยกันขันอาสานึ่งข้าวเหนียวมาคนละนิดละหน่อย บางคนก็เอาถ่านมาด้วยบ้านใครมีเป็ดมีไก่ออกไข่ก็ถือมา ข้าวของเยอะแยะมากมาย

    “แม่หนูวานแม่ตำแจ่วบองให้หนูแน เอาไว้ให้คะเจ้ากินนำข้าวกี่คือสิแซบ” เดอลาทำเสียงออดอ้อน

    “เอาหลายป่านได๋หล่ะ” แม่นางส่งยิ้มหวานให้ลูกสาว

    “เอากระปุกใหญ่ไปเลยจ้าเผื่อบ่อิ่ม”

    “สิได้แจ่วบองมมันมีความสุขป่านนั้นบ่ลูกหล่าคือยิ้มบ่เซาจักเทือ? ” แม่สีแสร้งถามลูกสาวส่วนเดอลาหัวเราะคิกคักอย่างพอใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแม่จะทำปลาร้าบองให้เธอหรือเป็นเพราะใครบางคนที่ยังโสดอยู่กันแน่

    เมื่อถึงเวลานัดหมายทุกคนเริ่มทยอยกันมางานปาร์ตี้ข้าวกี่ งานนี้ทุกอย่างฟรีทำให้เด็ก ๆ ที่มาร่วมงานดูตื่นเต้นมาก ๆ ชาวบ้านดอนผักหวานทุกคนก็ดูมีความสุขเป็นพิเศษ เพราะบรรยากาศการร่วมงานกันโดยไม่มีเงินเข้ามาตัวแปรห่างหายไปจากหมู่บ้านดอนผักหวานนานแล้ว แต่คราวนี้ทุกคนอาสาช่วยกันใครมีอะไรก็เอามาช่วยกัน ใครไม่มีก็ออกแรงช่วยจัดสถานที่ แม้แต่เด็ก ๆ ยังช่วยเสิร์ฟข้าวกี่ให้กับทุกคนอย่างสนุกสนาน

    “หญิงเอาข้าวกี่ไปให้ครูใหญ่แหมะ” เคนยื่นข้าวกี่ให้เดอลา

    “หึย! ไผสิกล้าไป”

    “เฒ่าแล้วสิอายหยังอีกสี่สิบแล้วหมู่เขาได้เหลนเหมิดแล้ว ไปฟ่าวไป!”

    “ไปเป็นหมู่เฮาแน” เดอลายังเก้ ๆ กัง ๆ ไม่กล้าไป

    “มีข้าวกี่เหลือบ่ครับ” เสียงคุ้น ๆ ดังมาจากทางหลังแต่คราวนี้พูดภาษาอีสานทำให้เดอลาไม่แน่ใจว่าใช่เขาไหม

    “ครูใหญ่!”

    “เรียกพี่อาร์ตเหมือนที่เคยเรียกก็ได้นะหรือจะเรียกอ้ายอาร์ตดี” ชายหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่มทำเอาหญิงสาวหน้าแดงทั้งตกใจทั้งมึนงงที่เขาพูดภาษาอีสานได้ชัดและยังเข้ามาใกล้เธอขนาดนี้

    “มะ มะ มีค่ะ” เดอลาหันซ้ายหันขวากะจะมองหาเคนเพื่อนรักให้มาช่วยกันรับหน้ากับครูใหญ่ด้วยกันแต่ก็ช้าไปแล้ว นอกจากเคนจะไม่อยู่เขายังเรียกรวมสมาชิกไปฟังหมอลำจากคณะคำก้อนซึ่งตอนนี้มีแสงและนกแก้วมาช่วยกันบริหารวงอีกด้วย โดยแสงได้พาคณะหมอลำมาลำเพลินให้ชาวดอนผักหวานได้ฟังฟรี ๆ อีกด้วย

    “บ่ต้องเหลียวหาไผดอกคะเจ้าไปเบิ่งหมอลำคำแสงกันเหมิดแล้ว” อาร์ตรวบมือข้างที่หญิงสาวถือไม้ข้าวกี่มากุมไว้ทำเอาอีกฝ่ายหน้าแดงระเรื่อ

    “เว้าอีสานเก่งป่านนี้กะบ่เว้าแต่ตอนแรกหึ๋ย” เดอลาทำเฉไฉพยายามดึงมือกลับ

    “ให้แล้วกะให้เลยตั้วสิเอาคืนเฮ็ดหยัง”

    “ข้าวกี่บ่แมนมือคน” ยิ่งพยายามดึงมือออกจากการกอบกุมของชายหนุ่มแต่ดูเหมือนฝั่งตรงข้ามยิ่งกุมมือแน่นขึ้น

    “อ้ายอยากได้มือคนนำ” ชายหนุ่มยิ้มอย่างมีความหมายแต่ก็ยอมปล่อยมือเธอแต่โดยดี ถึงแม้ว่าเขายังอยากจะจับมือเธอไว้อยู่อย่างนั้นตลอดไป

    เดอลาไม่ยอมพลาดให้เขาฉวยโอกาสได้อีกเธอรีบเดินไปรวมกลุ่มกับทุกคนที่กำลังนั่งฟังหมอลำกันอย่างสนุกสนาน

    สำหรับค่ำคืนนี้ชาวบ้านเลือกใช้คบเพลิงขี้ไต้ที่ได้จากต้นยางนา ทำให้บรรยากาศกลางทุ่งนาในยามพลบค่ำที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าเช่นนี้ไม่มืดสักทีเดียว ความงามรำไรจากแสงอาทิตย์ยังทอทอดให้ความสว่างอยู่บ้างทางฝั่งตะวันตก ส่วนฝั่งตะวันออกก็มีคบเพลิงที่ชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจกันบริจาคมา

    ภาพที่ปรากฏตรงหน้าของเดอลาช่างสวยงามและอบอุ่นเหลือเกิน กับบรรยากาศที่เธออยากสัมผัสมาตลอดหลายไปมันได้เกิดขึ้นแล้ว เธอนึกขอบคุณตัวเองที่ยึดมั่นในอุดมการณ์อยากจะพัฒนาให้หมู่บ้านที่มอบความสุขให้เธอสมัยเด็กให้ดีขึ้นควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งที่มีค่าไว้ วันนี้เธอได้กำลังใจจากทุกคนไฟในตัวของเธอได้ลุกโชนและส่องสว่างพร้อมที่จะนำความรู้ความสามารถที่มีมาร่วมขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ ให้กับหมู่บ้านของเธอพร้อมกับทุกคนในชุมชนแล้ว


    ผู้อ่านหล่ะคะไฟใกล้จะดับหรือยัง เรามาปลุกไฟในตัวของเราขึ้นมาเพื่อสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้กับสังคมเรากันค่ะ ไม่ต้องไปไหนไกลเริ่มจากพัฒนาที่ตัวเรา ครอบครัวเราหมู่บ้านเรากันค่ะ ถ้าทุกคนร่วมมือร่วมใจกันทำเช่นนี้แสงสว่างก็จะเกิดขึ้นพร้อมกันจากทุกพื้นที่ โดยไม่มีใครต้องเดินทางไปไหนไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนเลย


    จบบริบูรณ์

    ด้วยฮัก จากงามดอกบัว

    สงวนลิขสิทธิ์

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in