เล่มนี้อีกหนึ่งตัวเอกที่สำคัญได้ฤกษ์เปิดฉากค่ะ แต่ก่อนหน้านั้นเราก็จะเห็นเมนชั่นถึงตัวละครนี้เล็กๆ น้อยๆ จากในเล่มแรกแล้วนั่นแหละ นั่นก็คือ
พญากวางเก้าสี ที่อยู่บนปกของเล่ม 2 นี่เอง
สำหรับในเล่มนี้เนื้อเรื่องเดินเร็วมากในช่วงแรก ก็คือพูดถึงประเด็นที่ค้างไว้จากในตอนจบของเล่มแรกเลยค่ะ นั่นคือทางดินแดนซีเป่ยเกิดเหตุฆ่าล้างเมืองสะเทือนขวัญกับหลายหมู่บ้านโดยหาสาเหตุไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องตกเป็นหน้าที่ของสองคนที่ยังอยู่ในหน่วยปราบมารต้าถังนั่นคือ
หลี่จิ่งหลง และ
ข่งหงจวิ้น ขี่ม้าเดินทางไปจัดการถึงที่
การเล่าเรื่องไม่โอ้เอ้ ทั้งสองคนออกเดินทางทันทีพร้อมกับปลาหลีฮื้อผู้สร้างสีสันของเราอย่าง
จื่อหลง เมื่อไปถึงสถานที่เกิดเหตุทั้งคู่ก็ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วศัตรูของพวกเขาในครั้งนี้ไม่ใช่ปีศาจในตำนานอะไร แต่ทว่าคือผีดิบ!
ก่อนจะพูดไปถึงตรงนั้น ขอแวะไปอีกฝั่งหนึ่งก่อน นั่นคือทาง
โม่รื่อเกิน พี่ชายคนนี้ยังคงตามหากวางขาวของตัวเองต่อไปโดยที่ไม่มีเบาะแสใดๆ ในมือดังเดิม แต่ในขณะที่เขาแวะซื้อเสื้อผ้าให้ตัวเองผลัดเปลี่ยนกลับได้เจอกับเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับหงจวิ้น เด็กคนนี้เป็นเด็กทึ่มทื่อเสียสติที่แอบขโมยขนมอบแล้วโดนจับได้ แต่สิ่งที่ตรึงโม่รื่อเกินให้อยู่กับที่เป็นเพราะคนเสียสติผู้นี้พูดออกมาว่า
"กวางผี!" คนคนนี้มีนามว่า
ลู่สวี่ เป็นทหารสอดแนมที่กระเซอะกระเซิงมาจากทางเหนือ พูดจานับคำได้ โม่รื่อเกินกล่อมให้อีกฝ่ายวางใจแล้วจึงให้เขาพาไปยังจุดที่เขาจากมาเพราะเชื่อว่าจะเจอเบาะแสของกวางขาว แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่าที่นั่นคือหมู่บ้านของลู่สวี่ที่ตอนนี้โดนถล่มยับเยินหมดแล้ว เมื่อสืบเบาะแสลึกลงไปก็ได้เจอกับกองทัพผีดิบตัวเป็นๆ นับหมื่นนับแสนในทันที
เนื้อเรื่องในช่วงแรกจะเล่าสลับไปมาระหว่างฝั่งของหลี่จิ่งหลงกับฝั่งโม่รื่อเกิน แต่ก็ใช้เวลาไม่นานนักเพราะพวกเขาได้กลับมารียูเนี่ยนกันอีกหน ซึ่งในเล่มนี้ตัวละครหลักก็คือสี่คนนี้ ส่วนสมาชิกหน่วยปราบมารคนที่เหลืออย่าง
อาไท่ และ
ฉินหย่งซือ จะทยอยตามมาสมทบทีหลัง แต่ถึงอย่างนั้นความสนุกก็ไม่ได้ลดลงเลย
เล่มที่แล้วเราสู้กับปีศาจจิ้งจอก เล่มนี้กลับเป็นผีดิบ แถมไทม์ไลน์ที่เกิดขึ้นยังเป็นช่วงฤดูหนาว เลยช่วยไม่ได้ที่เราจะนึกถึง White Walkers ใน Game Of Thrones แถมการสั่งการของอ๋องผีดิบยังคล้ายกันกับในเรื่องอีก มันเลยเกิดภาพซ้อนช่วยให้จินตนาการได้หน่อย เพียงแต่ว่าในหนังสือบรรยายว่าอ๋องผีดิบหล่อเหลากว่าไนท์คิง 5555
แนบรูปปลากรอบ
เราเคยบอกไปในตอนรีวิวเล่มแรกว่าเล่มแรกเล่นใหญ่มาก มาเล่มสองนี่ก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย so much information เพราะมันไม่ได้พูดถึงแค่ผีดิบ ไอ้เรื่องที่ว่าทำไมผีดิบถึงตระเวนยกทัพยึดเมืองนี่มันลามไปถึงการหายตัวไปของกวางขาว การที่มารฟ้าจะกลับมาเกิดใหม่ สาเหตุที่
ข่งเซวียน บิดาของหงจวิ้นต้องตาย และเรื่องที่ว่าจริงๆ แล้วหงจวิ้น
เป็นอะไรกันแน่
เอาเป็นว่าเราจะไล่ไปทีละประเด็นแบบพยายามไม่สปอยล์ให้มากที่สุด
การที่ผีดิบเคลื่อนทัพแบบนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลัง พูดให้ถูกคือมีคนบงการอยู่เบื้องหลัง และมันคือแผนการที่คิดมาอย่างดี เนิ่นนานนับสิบกว่าปี แยบยลอย่างร้ายกาจจนอ่านแล้วต้องตะลึงไปก่อนเลยหนึ่งดอก
ตะลึงดอกที่สองคือการหายตัวไปของกวางขาว กวางขาวในตำนานเผ่าของโม่รื่อเกินความจริงก็คือพญากวางเก้าสี เป็นกวางที่มีขนกระจุกหนึ่งรวมกันเก้าสี เป็นผู้ที่สามารถสอดส่องความฝันได้ทั้งมนุษย์และมาร มีถ้ำสักการะที่ตุนหวง แต่เกิดเหตุไม่คาดฝันบางอย่างก่อนที่กวางขาวจะหวนกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ทำให้เหตุการณ์หลายๆ อย่างส่งผลต่อกันเป็นโดมิโน
ตะลึงกว่าคือที่มาที่ไปของหงจวิ้น อ่านแล้วก็สงสาร เพราะหงจวิ้นเริ่มรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ในช่วงเวลาครึ่งปีที่ลงเขามาใช้ชีวิตในโลกมนุษย์ทำให้หงจวิ้นเปลี่ยนไปมาก จากเด็กน้อยไร้เดียงสาในเล่มแรกเหมือนค่อยๆ ถูกกัดกินไปทีละน้อยๆ ด้วยความจริงอันแสนร้ายกาจที่เหมือนน้ำเย็นราดใส่หัวเขาตลอดทั้งเล่ม
มันเป็นอะไรที่อ่านไปแล้วพลิกหนึ่งตลบ ไปๆ มาๆ พลิกต่ออีกตลบ ตอนหลังๆ ก็ยังพลิกได้อีกจนเราเหนื่อยแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเอาล่ะเล่มต่อไปใส่ดราม่าหนักกว่านี้ก็จะไม่แปลกใจแล้วนะ 5555
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์พระนายชนิดโชว์บทหวานอะไรนี่ยังไม่มีนะ เค้าแค่ชินกับการนอนด้วยกันเฉยๆ พร้อมกับเอฟเฟ็คต์เล็กๆ น้อยๆ จะมีก็ช่วงท้ายเล่มโน่น คืออันที่จริงหลี่จ๋างสื่อรู้สึกยังไงกับหงจวิ้นคนเค้าดูออกกันหมดอ่ะยกเว้นตัวจ๋างสื่อเอง เพราะงั้นแรกๆ เลยจะยังได้เห็นพฤติกรรมแบบ
"ข้าดูแลเจ้าเหมือนเจ้าเป็นน้องชาย" อยู่ แต่หลังจากที่หลี่จ๋างสื่อปีนเขาตามหงจวิ้นไปเขาไท่หางเพื่อหา
ฉงหมิง ที่วังเย่าจิน เขาก็เริ่มรู้แล้วว่าตัวเองรู้สึกยังไง เหมือนๆ กับหงจวิ้นที่ในเล่มนี้อาจจะเหนื่อยกับน้องนิดหน่อยเพราะอารมณ์น้องไม่มั่นคง กว่าจะเปิดใจอ้าแขนรับความรู้สึกตัวเองก็เล่นเอาคนอ่านอย่างเราเหนื่อยเหมือนกัน
แต่ก็นะ เล่มสามบทหวานแบบ
"ไม่ใช่แค่พี่น้อง" ก็คงมาแน่แล้วล่ะ don't worry ka everyone 555
แล้วก็ไหนๆ เล่มนี้เกี่ยวกับโม่รื่อเกินทั้งที ไม่พูดถึงหน่อยก็คงไม่ได้ อันที่จริงเราไปดูฝั่งจีนมาแล้วเลยรู้เรื่องเกี่ยวกับฝั่งคู่รองนี่นิดหน่อยแต่ยังไม่รู้ว่าพฤติกรรมของลู่สวี่นี่เป็นไงแน่ พูดก็คือเป็นบุคลิกแบบที่ชอบอยู่นะ เราจะได้เห็นเขาในหลายแง่มุมมากๆ แต่หลังจากทุกอย่างจบสิ้นแล้วลู่สวี่ก็เหมือนผู้ใหญ่ในร่างเด็ก โดยรวมค่อนข้างเงียบขรึม ซับซ้อน แต่ก็มีมุมเด็กๆ อยู่ในตัว ยิ่งเวลาอยู่กับหงจวิ้นก็คือจะเป็นอีกคนไปเลย ขี้อ้อนน้วยๆ คำก็พี่ชายสองคำก็พี่ชาย ตัวติดกันจนโม่รื่อเกินเขม่นหงจวิ้น แอแงงง
สำหรับเรารู้สึกว่าความรักของคู่รองนี่ไปในแนวแบบผู้ใหญ่ๆ หน่อย คู่จิ่งหลงหงจวิ้นยังแบบเด็กน้อยนั่งเอาอกเอาใจกัน แต่คู่นี้จะไม่พูดอะไรกันมาก ดูฟีลผู้ใหญ่ หรือเพราะตอนนี้น้องลู่ยังตึงๆ ใส่พี่โม่อยู่ก็ไม่รู้เลยไม่มีซีนอ้อนรัก วงวารก็แต่พี่โม่ เอาอกเอาใจเขาสารพัดแต่เขาก็ตึงใส่ เอาเป็นว่าจะเอาใจช่วยในเล่มต่อๆ ไปนะคะคุณพี่ (แต่เล่มพิเศษที่แนบมาด้วยก็มีขยายความเพิ่มนิดหน่อยนะ)
แล้วก็มีตัวละครใหม่น่าสนใจโผล่มาด้วย ดูจากปกในของเล่มต่อไปกับเล่มจบของทางฝั่งต้นฉบับแล้วตัวละครนี้คงได้เป็นอีกหนึ่งสมาชิกหน่วยปราบมารแน่ล่ะ นั่นคือ
อาสื่อน่าฉยง ชาวทูเจวี๋ย มาด้วยกันกับอาไท่ เท่าที่อ่านแต่ละซีนที่มีบทแล้วเรารู้สึกชอบตัวละครนี้อยู่นะ ต้องไปอ่านกันเองว่าเพราะอะไร (เราแนบรูปปกเล่ม 1-5 ไว้นะคะ แต่ขอเอาไปใส่ด้านล่างสุดแทน)
ก่อนจบขอพูดถึงจื่อหลงหน่อยเพราะเป็นกองอวยเฉพาะกิจของปลาหลีฮื้อตัวนี้ 5555 เล่มนี้มุกตลกอาจไม่ค่อยมีเพราะเส้นเรื่องเริ่มดราม่าแล้ว แต่จื่อหลงยังตบมุกให้ยิ้มได้อยู่เป็นระยะ แล้วนี่รู้สึกชอบมากที่จื่อหลงไม่ลืมว่าตัวเองเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่ม เดี๋ยวน้องรอง เดี๋ยวน้องสาม ตอนดื่มเหล้ากันทุกคนก็ต้องรอให้จื่อหลงดื่มเปิดฉากก่อนคนแรก จนอาสื่อน่าฉยงถามว่าธรรมเนียมพวกเจ้าต้องให้หลีฮื้อดื่มก่อนหรือ อาไท่อธิบายว่า มันเป็นพี่ใหญ่ของเราทุกคนน่ะ อาสื่อน่าฉยง '...' / แต่ถึงเป็นพี่ใหญ่ก็ยังต้องไปตกปลานะ เพราะบนโต๊ะอาหารมื้อสำคัญจะขาดปลาไปไม่ได้ ปลาตัวหนึ่งไม่อยากโดนต้มเลยต้องไปนั่งตกปลาเอามาต้มแทนตัวเอง ตร่กกกก
สรุปคือเล่มนี้สนุก เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมากมายโยงใยเป็นไยแมงมุม ตัวบอสโผล่มาแล้ว พร้อมเปิดเผยเรื่องราวความลับชวนตกตะลึง รวมแล้วค่อนข้างเครียดเหมือนกัน แต่ยังดีที่มีจื่อหลงคอยสร้างสีสันไม่ให้มันเครียดเกินไป เล่มนี้มีแนวคิดเกี่ยวกับพุทธศาสนาแทรกเข้ามาเยอะกว่าเล่มแรกหน่อย มีหลายโควทที่ชอบโดยเฉพาะประโยคนึง จำแบบถูกเป๊ะๆ ไม่ได้ อะไรสักอย่างประมาณว่า "ในความเป็นจริงยังมีจริงมีเท็จ สำมะหาอะไรกับความฝัน" ประมาณนี้
สรุปคือเป็นหนึ่งในเล่มที่อย่างที่บอกไปว่า so much information เนอะ สนุกแต่เครียดขึ้นมาแล้ว เราๆ คนอ่านไม่กังวลหรอก เรื่องเดียวที่กังวลคือมีดีจะออกเล่มสามต่อเมื่อไหร่ ไม่ใช่ว่าให้รอไปอีกปีหรอกนะ มาจับมือภาวนากันค่ะทุกคน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in