ฉันคงไม่ร่ายปัญหาให้มันครบ 99 ตามชื่อบทความหรอกนะ เพราะคนเราทุกคนมีปัญหามากน้อยแตกต่างกันไป และที่แน่ๆ ไม่มีใครมีปัญหาชีวิตแค่ 99 อย่างด้วย แต่หลักใหญ่อย่างปัญหาเรื่องเงินและงาน มันไม่ได้เกี่ยวข้องแค่กับปากท้อง หรือเศรษฐกิจระดับประเทศ แต่มันเกี่ยวข้องกับความคาดหวังด้วย แค่การจะมีงานทำมันก็แสนจะยากเย็นอยู่แล้ว ยังจะต้องมีปัญหากับที่ทำงานอีก ยิ่งคนมีครอบครัว ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะหัวหน้าครอบครัวหรือไม่ ย่อมต้องแบกรับความคาดหวังของคนในครอบครัวกันทั้งนั้น เช่น ลูกคนโตที่ไม่ว่าจะโง่แค่ไหน ก็ต้องมีงานมีเงินเลี้ยงพ่อแม่และน้องๆ ทำให้พวกเขาภาคภูมิใจ เป็นต้น
ความรักก็เช่นกัน คนที่แอบชอบใครอยู่มักจะคาดหวังให้เขาคนนั้นคิดเหมือนเรา เป็นการสะกดจิตตัวเองให้กล้าเข้าไปจีบ พอเริ่มคบหาศึกษาดูใจไปสักพัก ความคาดหวังก็จะทำให้ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกมาเรียกร้องถึงสถานะที่ชัดเจนในความสัมพันธ์ ซึ่งก็ไม่ผิด ที่ผิดคือการเอาความคาดหวังไปฝากไว้ที่คนอื่นต่างหาก พอเรียนรู้กันลึกซึ้ง ได้เป็นแฟน คู่หมั้น หรือคู่สมรส แล้วอยู่ๆ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพบว่ามันไม่ใช่ ไม่ว่าด้วยเหตุใด การตีตัวออกห่าง ทั้งการหายไปเฉยๆ บอกเลิก ถอนหมั้น ฟ้องหย่า จึงเกิดขึ้น แต่อีกฝ่ายเขาไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันไง มันถึงได้เกิดอาการอกหัก อันเป็นประเภทหนึ่งของความผิดหวังขึ้น
ก็ไม่อยากเปลี่ยนบทความที่ตั้งใจว่าจะพูดเรื่องส่วนรวมให้เป็นไดอารี่ส่วนตัวหรอกนะ แต่ใครมันจะไปคิดล่ะว่าเดือนที่มีจำนวนวันน้อยที่สุดของปีจะมีเรื่องราวมากมายที่สร้างความหลากหลายทางอารมณ์เกิดขึ้นกับฉัน เริ่มต้นวินาทีแรกของเดือนแห่งความรักด้วยความรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจและฉ่ำแฉะหัวค.ว.ย. (ทั้งที่มีและไม่มีจุด) จนฉันเริ่มรู้สึกว่าค.ว.ย. (ความคิด วิเคราะห์ แยกแยะ) ของตัวเองกำลังจะกลับมาเฉิดฉายสยายผมบนพรมแดงอีกครั้ง แต่อะไรๆ ก็ไม่แน่นอนดังหวัง เพราะมันมีเหตุให้เรื่องราวทั้งหมดต้องจบลงทั้งที่ยังไม่ถึงครึ่งเดือน 1 ในเหตุผลที่คนยุคนี้คุ้นเคยกันดีก็คือ อ่านไม่ตอบ
(อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่)
"ขับรถแปบนึง หายไปเลย 3 ปี ขับไปไหน คือมันไม่ make sense ทานโทษนะ น้ำมันยี่ห้ออะไร นานเกิน อาบน้ำอีกอย่าง อาบที่ไหน มันนาน คือถ้าจะไม่คุย พูดได้ ไม่ใช่บอกไปอาบน้ำ ไปกินข้าว ไม่มีใครกินนานขนาดนั้นหรอก ก็ได้แค่หวัง จะขับกลับมาเปล่า จะอาบเสร็จยัง หายไปไหน คุยกันอยู่น่าจะคิดถึงกันบ้าง" - Chrrissa chotijirasathit
เจอโค้งหักศอกแบบนี้ มันแตะเบรกความรู้สึกไม่ทันเลยนะ ยิ่งเอาความขมขื่นไปผสมปนกับเรื่องบ้าๆ มากมายในชีวิตยิ่งกินไม่ได้นอนไม่หลับเข้าไปใหญ่ โชคดีของฉัน (แต่โชคร้ายของเพื่อน) ที่มีโอกาสได้แชร์ความช้ำสะบักสะบอมใจกับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่คนหนึ่งที่ไม่ได้เจอกันมานานแสนนาน ไอ้เราก็พร่ำปัญหาไป เพื่อนก็รับฟังและปลอบใจไปตามเรื่อง กระทั่งเมื่อฉันถามถึงเรื่องราวของเพื่อนบ้าง สิ่งที่พรั่งพรูออกมามีแค่สิ่งเดียว ไม่สั้นไม่ยาว แต่ก็เพียงพอที่ปัญหาทั้งชีวิตของเรามัดรวมกันแล้วก็ยังเทียบไม่ติด เพราะปัญหาที่ว่านั่นก็คือ การตรวจพบว่าตัวเองเป็นโรคร้ายที่ยากจะรักษา ลองคิดดู วินาทีแรกที่ได้รับข่าวร้ายถ้าเป็นเราจะรู้สึกอย่างไร ต้องเคร่งครัดกับการกิน นอน บำบัดรักษา และต้องอึดอัดเพราะบอกใครไม่ได้ การเปิดใจเล่าให้ใครสักคนฟังนี่ถือว่าทำใจได้ในระดับหนึ่งแล้วนะ
บางครั้งการมองเห็นทุกข์ของคนอื่นก็ทำให้ทุกข์ของตัวเองเบาบางลงได้ ฉันไม่เคยเชื่อที่ผู้ใหญ่ชอบบอกว่าเวลามีปัญหาให้มองคนที่เขาลำบากกว่า เพราะฉันคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องเจอ ทำไงได้ แต่พอตัวเองเจอบ้างกลับเอาแต่ถามตัวเองว่าทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดกับฉัน แปลกนะคนเรา จริงๆ ทุกปัญหามีทางออก มันแค่ไม่ใช่ทางที่เราอยากให้เป็น ก็เท่านั้น
เพื่อนสงสัยว่าทำไมฉันไม่ตกใจเลยเมื่อได้ฟังความลับ แหม เพื่อนทั้งคนฉันจะไม่เศร้าได้อย่างไร แต่ฉันก็เป็นคนแบบนี้แหละ ปากหนัก ใจแข็ง เก็บความรู้สึกแต่ในเรื่องที่ไม่ควรทน ใครต่อใครที่เคยดีต่อกันถึงได้จากไป สำหรับใครที่รู้ตัวว่าตัวเองมีข้อเสียอะไรก็ตามแล้วแก้ไม่ได้สักที ฉันขอแนะนำให้รีบแก้ไขโดยด่วน ก่อนที่ตัวเองจะผลักไสคนดีๆ ออกไปจากชีวิตมากไปกว่านี้
แต่ตราบใดที่เรายังหายใจ ปัญหาใหม่ๆ ย่อมเข้ามาโดยไม่ตั้งใจเสมอ ขณะที่ฉันให้รางวัลกับตัวเองด้วยการผลาญเงินมากมายไปกับการซื้อความสุข ซึ่งบางความสุขที่ซื้อก็ไม่ได้ยั่งยืนด้วยซ้ำ ฉันก็เหลืออดกับงานที่ปิดกั้นฉันจากการใช้ค.ว.ย. ฉันจึงยื่นใบลาออก พร้อมๆ กับผลการสัมภาษณ์งานใหม่ที่ประกาศออกมาว่าฉันไม่ติดแม้แต่สำรองอันดับ 2 ตอนนี้ฉันจึงกลับสู่ภาวะไม่มีงาน ไม่มีเงินอีกครั้ง แต่ยังมีค.ว.ย.อยู่
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in