เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
unevenlyNungning~
นักเขียนทั้งห้า (2)
  • อะ ต่อ
    4.  พาย—ภาริอร วัชรศิริ
    เรารู้จักน้องพายจากการแนะนำของเบล—jirabell ตอนงานหนังสือเมื่อเดือนตุลาปีที่แล้ว
    เบลบอกว่ามีน้องคนนึงในเฟซบุ๊กที่เรื่องราวและทัศนคติของน้องน่าสนใจมาก
    พร้อมเล่าคร่าวๆ ว่าน้องชอบอัพสเตตัสเกี่ยวกับคุณแม่ที่ไม่สบาย
    "ดราม่ามั้ยอะ..." คือคำถามแรกที่เราถาม, จำได้ว่าเบลรับรองว่า ไม่ดราม่าแน่นอน
    วันนั้นจบการสนทนาด้วยการที่เบลบอกว่า ไว้ผมลองส่งให้พี่อ่านดูดีกว่า...

    จริงจังกว่าต้นฉบับตัวเอง
    เพราะจบงานไม่นานเบลก็ส่งไฟล์ที่ก๊อปปี้สเตตัสเฟซบุ๊กของพายมาให้อ่านหลายหน้าเอสี่
    เรื่องราวไม่ค่อยปะติดปะต่อเท่าไหร่ เพราะเบลน่าจะเลือกเฉพาะอันที่น่าสนใจจริงๆ มาให้ก่อน
    พออ่านจบ ก็เลยบอกเบลว่าขอแอดเฟรนด์น้องไว้เองเลยดีกว่า และเบลก็บอกว่าน้องยินดีมาก
    พอแอดฯ แล้วก็ใช้เวลาร่วมเดือนในการ 'ส่อง' สเตตัสน้องย้อนหลังไปเรื่อยๆ (ดูโรคจิตชิบ)
    วันที่ตัดสินใจแชตไปทักน้องว่าอยากนัดน้องมาเจอที่ออฟฟิศ
    คือวันที่อ่านไปจนเจอว่า บ้านแฟนน้องอยู่ซอยเดียวกับออฟฟิศเราพอดีเลยนี่นา (เกี่ยวอะไร...)

    ต้องเท้าความว่า นอกจากสเตตัสและสิ่งที่น้องพายโพสต์ในเฟซบุ๊ก
    กับคำรับรองจากเบลว่าน้องเป็นเด็กน่ารัก เราก็ไม่เคยรู้จักน้องพายมาก่อน
    นิสัยใจคอเป็นยังไงก็ไม่รู้ แล้วน้องจะอยากเขียนหนังสือจริงไหมก็ไม่รู้
    คือเกิดน้องเข้ามาคุยแล้วมันไม่คลิกกัน เคมีไม่ตรงกัน หรืออะไรอื่นๆ ที่สุดท้ายจะไม่ได้ทำงานร่วมกันน้องเค้าจะได้ไม่มาเสียเที่ยว คิดซะว่ามากินข้าวแถวบ้านแฟนละกันไรงี้...

    ครั้งแรกที่เจอกัน พายเป็นคนร่าเริง (จนน่าตกใจ)
    เรากับน้องๆ ในทีมนั่งคุยกับพาย ให้พายเล่าเรื่องคุณแม่ให้ฟังตั้งแต่ต้น
    แล้วพายก็เล่าด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้เป็นชั่วโมงๆ, ส่วนพวกเรานั้น... นั่งนิ่งกันไปสิ
    และเรื่องที่เรากังวลก็ไม่เป็นผล เพราะพวกเรากับพายเข้ากันได้ดีมาก
    (ที่จริงน้องเป็นคนที่เข้ากับทุกอย่างได้ดีอยู่แล้ว)
    แล้วก็ตกลงกันว่า พายจะกลับไปเริ่มต้นเขียนโครงเล่มและลองเขียนตัวอย่างยาวๆ มาให้อ่าน
    ที่จริงตอนนั้นจำได้ว่าพายเป็นคนสุดท้ายที่พวกเรานัดมาคุยด้วยช่วงสิ้นเดือนพ.ย.
    ปกติถ้าเป็นนักเขียนใหม่ เราจะไม่ค่อยมั่นใจหรือกำหนดเดดไลน์ให้เท่าไหร่นัก
    จนกว่าจะได้ลองอ่านงานจริงในปริมาณที่น่าไว้ใจเสียก่อน ถึงเริ่มจัดการไทม์ไลน์ให้อีกที
    แต่พายบอกว่า ถ้ารู้เดดไลน์แล้วพายจะได้บริหารเวลา (เพราะน้องทำงานเยอะและดูแลแม่ด้วย)
    และขอให้พวกเราเชื่อใจว่า "พายไม่เคยโดนทวงงาน พี่เก็บแรงไว้ทวงคนอื่นได้เลย"
    เชดดดด~ (อุทานในใจ)
    เป็นโควตก่อนกลับบ้านของพายที่ประทับและตราตรึงใจพวกเรามาจนวันนี้

    เพราะพายทำได้จริงๆ พวกเราทั้งกองฯ ได้รู้สึกว่าการทำงานไม่ทันนักเขียนเป็นยังไงก็คราวนี้นี่แหละ
    สุดท้ายจากที่กลัวว่าพายจะเขียนไม่ทัน กลายเป็นว่าพายส่งต้นฉบับจบเป็นคนแรก
    ถ้าเป็นการวิ่งแข่งพายก็วิ่งเข้าเส้นชัยมานั่งกินหนมรอได้เลย

    (เออ ที่จริง HOW I LOVE MY MOTHER เล่มนี้ เป็นเล่มที่เราค่อนข้างกังวล
    ไม่อยากให้คนเข้าใจว่าเอาเรื่องเซนสิทีฟ ดราม่าแม่ป่วย ลูกกตัญญูมาขาย
    แต่ก็เป็นเล่มที่อยากให้คนได้อ่าน เพราะโดยสาระของมันแล้วไม่ใช่ความดราม่าอะไรเลยจริงๆ นะ)

    อุ๊ย ยาวจัง...
    คนสุดท้ายแล้วววว

    5. เจนมานะ—แม็กซ์
    คนนี้หน้าเก่า ทำงานกับเรามาแล้วหนึ่งเล่ม (เคยเขียนถึงไว้เมื่อปีที่แล้ว)

    หลังจากจบงานเล่มแรก แม็กซ์ก็บ่นงึมงำๆ ว่าไม่อยากเขียนเรื่องตัวเองแล้ว
    ไม่ชอบเปิดเผยความคิดตัวเองให้คนอื่นรู้มากเกินไป (เหตุผลโคตรติสต์)
    แต่ที่จริงเหตุผลสำคัญอีกอย่าง คือแม็กซ์เป็นเด็กที่โตมากับการอ่านหนังสือวรรณกรรมอย่างบ้าคลั่ง
    ก็เลยติดใจและอยากลองเขียนเป็นของตัวเองดูบ้าง...
    พอขายฝันให้เราฟังคร่าวๆ แล้วแม็กซ์ก็ใช้เวลาอยู่กับหนังสือเล่มนี้ของตัวเองมาเกือบปีเต็มๆ
    (แม้จะมาสปีดสุดชีวิตในช่วงอึดใจสุดท้ายก็เถอะ, มันน่า...)
    เลยกลายเป็นเล่มที่เราใช้เวลาอยู่กับมันนาน—นานจนกองบ.ก. ก็เปลี่ยนหน้าค่าตากันไปแล้วหนึ่งรุ่น
    ต้นฉบับก็ยังคงวนๆ เวียนๆ อยู่ที่เดิมไม่ไปไหนสักที

    เราเข้าใจว่าฟิกชั่นหรือเรื่องแต่งยาวๆ มันไม่ใช่จะเขียนกันได้ง่ายๆ
    อย่าง The Boy Who Never Grows เล่มนี้ เราได้เห็นเรื่องราวและวิธีการเขียนประมาณ 2-3 เวอร์ชั่น
    เพราะแม็กซ์เป็นนักเขียน (เรียกได้เต็มปาก) ประเภททำงานหนักและเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์
    ถ้าตัวเองไม่พอใจ ก็ไม่เคยหยุดลบ หยุดแก้ อยู่ๆ โละทิ้งไปเลยก็มี เรียกได้ว่าเขียนทิ้งเขียนขว้างเป็นที่สุด
    จนบางทีเห็นมันทำท่าจะลบแล้วอยากจะตีให้มือหัก (จะไม่ทันอยู่แล้วโว้ย!!!)

    อ้อ ยังไม่หมด, ที่จริงเล่มนี้แม็กซ์ตั้งใจว่าจะวาดรูปทั้งเล่มเองด้วย
    แต่ด้วยความที่เขียนก็ยังไม่เสร็จ เพลงก็จะทำ หนังก็จะเล่น จะเป็นดีเจอีกต่างๆ นานา
    พอคับขัน เราเลยต้องหักห้ามใจ หาคนอื่นมาวาดให้แทน (ดีแล้ว เพราะชอบรูปตอนนี้มาก 55)

    ถึงจะหอบผ้าหอบผ่อนมานอนออฟฟิศก็แล้ว หรือหลบไปจำศีลเขียนงานที่อื่นก็แล้ว
    แต่สุดท้ายกว่าจะเขียนเสร็จออกมาเป็นเล่มได้ ก็ใช้เวลา ใช้กำลังใจกันไปมาก ดุด่ากันไปเยอะ
    ต้องงัดความเชื่อมั่นลึกๆ (และเล็กๆ) ทั้งหมดออกมาว่าหนูทำได้! (บีบแตร)
    และทำใจรอกันจนวินาทีสุดท้าย

    เออ แล้วมันก็เอาจนได้จริงๆ
    (แต่คราวหน้าไม่เอาแล้วได้ไหม หัวใจจะวาย - -)




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in