ความละมุนละไม เร่าร้อน และหลากหลายของเสียงดนตรี ที่ล่องลอยไปกับควันบุหรี่ เสิร์ฟพร้อมกับบรั่นดี นั้นใช้บ่งบอกอัตลักษณ์ของความคลาสสิคอย่างยุค50sได้อย่างดี ความลุ่มหลงของเสียงดนตรี ที่ตัวผมมีต่อบริบทสังคมในช่วงเวลานั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ถึงแม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้ลองสัมผัสกับบริบททางสังคม และวัฒนธรรมเหล่านั้นด้วยตนเอง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมนั้น สัมผัส เชื่อมต่อกับมันได้นั้น ภาพยนตร์ ที่มีทั้งภาพและเสียงอาจช่วยได้ในระดับนึง และสิ่งที่ช่วยผมได้จริงๆแล้วนั้น คือ"เสียงดนตรี" อย่าง เพลงสวิงแจ๊ส และโซล ที่หวานนุ่ม และละมุนละไม หรืออาจจะเป็น เพลงร็อคแอนด์ โรล ที่เร่าร้อน และชวนฝัน ที่เพียงแค่ได้ฟัง และนั่งจิตนาการอยู่ดาดฟ้าของที่ไหนซักแห่งและจ้องมองรถยนต์ที่แล่นผ่านไปกับแสงไฟที่ส่องสว่างไปตามท้องถนนยามราตรี เพียงเท่านี้จินตนาการของผม ก็เตลิดแล้วลุ่มหลงวนเวียนอยู่ยุคสมัยที่ผ่านมา
ความละมุนละไมของ เพลงแจ๊สในยุคนั้นยังคงตราตรึงใจฉันมาจนถึงทุกวันนี้
ศิลปินมากมายทั้งชาย หญิงที่ผ่านหูเรามานั้นช่างเป็นอะไรที่มหัศจรรย์ อย่างไม่น่าเชื่อ ศิลปินแจ๊สในยุคนั้นอย่าง Ella Fitzgerald ,Tony Bennett , Ray Charles ,Bobby Darin และLouis Armstrong รวมไปถึงเพลงโซล ซึ่งเปรียบเสมือนจิตวิญญานของคนผิวสีเลยก็ว่าได้ อย่าง James Brown ,Etta James และอีกมากมายที่ได้สร้างสรรห์ผลงานด้วยจิตวิญญาณที่บ่งบอกถึงอัตลักษณ์และการมีตัวตนของคนผิวสี
ไม่พอแค่นั้น เพราะนอกเหนือจากความละมุนแล้ว
ดนตรีในยุคนั้นก็ยังคงมีความเร่าร้อนอยู่ในนั้น นั่นก็คือดนตรีร็อคแอนด์โรล ที่จะทำให้คุณลุกไหม้ ไปทั้งหัวใจ และพร้อมที่จะขยับร่างกายไปตามจังหวะของดนตรี ส่วนที่หนึ่งในใจสำหรับขาร็อคแอด์โรล คงหนีไม่พ้นศิลปินหนุ่มเจ้าของเสียงที่ทรงเสน่ห์อย่าง Elvis Presley แต่ถ้าใหม่หน่อยนั้นส่วนตัวผมก็จะขอยกให้กับ Roy Orbison ศิลปินเจ้าของบทเพลง "Oh, Pretty Woman" ที่ยังคงทำให้ตัวผมรู้สึกเร่าร้อนมาจนถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินจากร้านขายซีดีในตำนานอย่าง "แมงป่อง"
แต่ถ้าจะถามหาเพลงร็อคแอนด์โรลที่เร่าร้อน คลาสสิค และล้ำลึกตามแบบฉบับของคนผิวสีแล้วนั้น Fats Domino และChuck Berry คือความชัดเจนที่ผมได้กล่าวมาเมื่อข้างต้นที่ว่ามา
เสียงเพลงและศิลปินเหล่านี้ตัวแปลสำคัญในการจินตนาการถึงวันวานเหล่านั้นได้ดี เสียเหลือเกิน รสนิยม ที่กลับกลายเป็นความลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้นนั้น มันเป็นเครื่องมือในการย้ำเตือนใจของผมได้ดีถึงความคิดถึงอดีตที่ไม่เคยได้สัมผัส
จินตนาการที่ไม่เคยมองผ่านมาด้วยตาตัวเองเลยซักครั้ง ยิ่งทำให้รู้สึกคิดถึงในอดีต บริบททางสังคมที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับตนเอง แต่เสียงดนตรี ก็ยังคงเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างใจฉันที่ลุ่มหลง และเร่าร้อน กับสมองของฉันที่มีแต่จินตนาการที่เต็มไปด้วยอดีตของยุคสมัยอันหวานฉ่ำที่ยากจะลืมเลือน
“เหมือนกับอดีตที่ไม่เคยสัมผัส แต่กลับหอมหวานชวนให้นึกถึง”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in