*มึงว่า เข็มทิศ นอกจากจะใช้หาตำแหน่งสถานที่แล้วมันใช้หาอะไรได้อีกวะ?
ก็ไม่น่ามีแล้วป่ะมันก็สร้างมาเพื่อแค่นั้นเอง*
*แล้วมึงเคยได้ยินเรื่อง เข็มทิศ ความสุข ป่ะ?
ไม่อะ...มันคืออะไร?*
งั้นเดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง “เรื่องมันมีอยู่ว่า”
ชายคนหนึ่งที่รู้สึกเหนื่อยกับวิถีชีวิตที่เป็นอยู่ หน้าที่การงานที่ฝืดเคืองเพราะพิษเศรฐกิจ กับเจ้านายผู้กดขี่ข่มเหงพนักงานยิ่งกว่าทาสในเรือนเบี้ย แล้วไหนจะเพื่อนร่วมงานตัวดีอีกล่ะ ที่ทุกคนต่างไร้ซึ่งจิตใจและความเมตตา
เมื่อสุภาษิตที่ว่า “คนล้มอย่าข้าม” ไม่สามารถใช้ได้กับมนุษย์ในสำนักงานแห่งนี้ หรือว่าบางที อาจจะใช้ไม่ได้กับโลกใบนี้แล้วด้วยซ้ำ
สภาพความเป็นอยู่ในสำนักงานใจกลางเมืองเชียงใหม่ เมืองที่ได้ชื่อว่าเกิดมาเพื่อให้มนุษย์ได้ใช้ชีวิต Slow life อย่างแท้จริง แต่กับสำนักงานแห่งนี้ นั้นต่างกันออกไป มันคือสถาการณ์ที่ ที่ผู้คนต่างจ้องที่จะเขมือบกันอย่างช้าๆแทน ดังชาวประมงนั่งรอเวลา ให้ปลามาติดเบ็ด
ทำให้การตามหาความจริงใจนั้น ยากเย็นยิ่งกว่างมเข็มใต้มหาสมุทร ในขณะที่ทุกคนตามหามัน แต่กลับไร้ซึ่งความจริงใจ ที่มีให้กัน
มีเพียงชายคนนี้ ที่เพียงต้องการ ทำงานเก็บเงินเพื่อที่จะได้หนีไปเที่ยวทะเลช่วงปีใหม่กับครอบครัวเพียงเท่านั้น กับหนุ่มน้อยลูกของเจ้านาย ผู้ที่คนในสำนักงาน ต่างรักและเอ็นดู เนื่องจากเป็นลูกของชายผู้กุมชะตาของพวกเขาเอาไว้
ทั้งสองคน มักจะมีโอกาสได้พูดคุยกันอยู่เสมอ เนื่องจากชายคนนี้มักจะอยู่สำนักงานและทำงานล่วงเวลาเป็นประจำ ซึ่งในบางครั้งเขาก็เลือกที่จะนอนที่นั่นมันเสียเลย ส่วนทางเด็กหนุ่มที่เวลาหลังเลิกเรียนมักจะมารอพ่อที่กำลังประชุมที่ทำงานเช่นเดียวกัน ทำให้สำนักงาน เปรียบเสมือนสนามเด็กเล่น และชายหนุ่มก็คือเพื่อนเล่นหลังเลิกเรียนเพียงคนเดียวของเขา
นี่ก็เป็นวันที่ 3 แล้วที่ชายคนนี้ไม่ได้กลับบ้าน เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาเพื่อที่จะเคลียร์เอกสารที่กองเท่าภูเขาจากการที่เจ้านายมอมหมายเข้ามาให้ พร้อมกำหนดส่งที่มีแต่ปาฏิหาริย์เท่านั้น ที่จะช่วยเขาได้ แล้วในวันนี้เด็กชายก็ได้ถามกับชายหนุ่มว่า
“พี่ชอบทำงานเหรอ? วันนี้ก็คงไม่กลับบ้านอีกแล้วสินะหรือพี่ชอบอยู่ที่นี่มากกว่าบ้านอะ”
เด็กชายถามด้วยสงสัยที่ไร้เดียงสา พร้อมกับนั่งเล่นหุ่นนายพรานคู่ใจของเขาอย่างสนุกสนาน
“ก็ทั้งชอบและไม่ชอบจ่ะ แต่งานก็คืองานก็ต้องทำให้เสร็จเรียบร้อย ถ้างานเสร็จพี่กลับละจ้า”
ชายหนุ่มจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เอ็นดู กับมิตรภาพต่างวัยในช่วงดึกของเขา
“แล้วพี่มีความสุขไหม?”
จากนั้นเด็กหนุ่มถามต่อด้วยความสงสัย
ทำให้ให้ชายหนุ่มหยุดคิดไปสักพัก ในขณะที่เด็กหนุ่มก็เล่นของเล่นต่อ ไม่นานชายหนุ่มก็ถามกลับ
“แล้วน้องมารอพ่อแบบนี้ทุกวัน น้องมีความสุขไหม?”
เด็กหนุ่มจึงตอบกลับไปด้วยความไร้เดียงสาว่า
“ก็มีความสุขดีนะพี่ เพราะผมก็มีของเล่นที่พ่อซื้อให้ผมเล่นรอ แล้วก็มีพี่ด้วย ก็ไม่เบื่อเท่าไหร่”
หลังจากนั้นไม่นานก็ถึงเวลาอันสมควรที่ทั้งสองจะต้องแยกย้ายกันในค่ำคืนนี้
“กลับบ้านกันลูก เดี๋ยวพ่อพาไปซื้อไอติมก่อนกลับบ้าน”
จากนั้นเด็กหนุ่มก็ยื่นเข็มทิศของเล่นที่ติดมากับชุดหุ่นนายพรานของเขาให้ชายหนุ่ม ก่อนวิ่งไปหาพ่อ
“อะพี่ผมให้พี่ยืม มันชอบพาผมกับแดนนี่ (หุ่นนายพราน) ไปเจออะกับเรื่องดีๆเสมอเลย”
ชายหนุ่มจึงรับไว้แล้วกลับมาเครียร์เอกสารต่ออย่างตั้งใจ
พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย จนเวลาก็ล่วงเลยมาจนเกือบถึงเช้าวันใหม่แล้ว ตีห้าสี่สิบกับงานที่ลุล่วงจากการหักโหมอย่างไม่หยุดพัก
แต่อีกสองชั่วโมงเขาก็จะต้องกลับมาเข้างานอีกครั้งแล้ว
ชายหนุ่มออกจากสำนักงานเพื่อที่จะออกไปหาอะไรกินก่อนเริ่มงานในวันใหม่ เขาขับรถออกไป พร้อมกับวางเข็มทิศไว้ที่หน้ารถ ในขณะที่รถกำลังเคลื่นไปบนท้องถนนที่เงียบเหงา เสียงของเข็มทิศก็ดังขึ้นอย่างกับว่ามันกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆทำให้ชายคนนั้นถึงกับต้องจอดรถเพราะถ้าเกิดมันพังขึ้นมาเด็กหนุ่มต้องเสียใจมากแน่ๆ
The treasure is this way! เสียงของเข็มทิศยังคงดังต่อเนื่อง แล้วจู่มันก็เงียบไป พร้อมเสียงเคาะกระจกจากที่นั่งข้างคนขับ พร้อมกับกลุ่มคนที่กำลังเรียกชายหนุ่มด้วยชื่อพ่อของเขานั่นเอง
เขาคือกลุ่มเพื่อนของชายหนุ่มที่เพิ่งเสร็จจากการสังสรรค์อย่างสนุกสนาน แล้วมาต่อกันที่ร้านโต้รุ่งแถวนั้น
“ไอ่ป๊อด!! มาเลยมึงลงมาเลยเมื่อคืนก็ไม่รับสายนะ กูจำรถมึงได้ มาๆกินข้าวกัน”
แล้วชายหนุ่มก็ลงไปนั่งกินข้าวกับเหล่าเพื่อนฝูงที่ไม่ได้เจอกันมานาน
ภายในโต๊ะต่างเต็มไปด้วยบทสนทนาที่อัดแน่นไปด้วยความคิดถึงที่ชวนให้ย้อนวันวาน
แต่แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนอาทิตย์เริ่มขึ้นมา ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบล่ำลาเพื่อนอย่างรีบร้อน และรอคอยการกลับมาพบปะกันใหม่ แล้วชายหนุ่มก็รีบขับออกไปพร้อมกับข้าวกล่องที่ซื้อเพื่อกินในที่ทำงาน แล้วรถก็ขับออกไป
ในขณะที่รถกำลังแล่นอยู่นั้นเอง เข็มทิศก็ส่งเสียงขึ้นมาอีกครั้งชายหนุ่มจึงจอดรถเพื่อเช็คมันอีกครั้ง ซึ่งตรงกับที่ พระรูปหนึ่งกำลังเดินบิณฑบาตอยู่ตามกิจของสงฆ์เป็นธรรมดา ชายคนนั้นรู้สึกว่าไหนๆก็ไหนๆเมื่อมีโอกาสแล้ว จึงลงรถไปนิมนต์หลวงพ่อ พร้อมกับหยิบข้าวกล่องลงไปเพื่อบิณฑบาต
“นิมนต์ครับหลวงพ่อ”หลักจากที่กระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้น หลวงพ่อจึงได้เอ่ยถามชายหนุ่ม“ช่วงนี้เหนื่อยหน่อยนะ อะไรที่โยมกำลังแบกอยู่ ถ้าวางได้ก็วางบ้างนะจะได้ไม่ทุกข์จนเกินไป”จากนั้นหลวงพ่อก็เดินจากไป พร้อมกับชายหนุ่มกลับขึ้นรถพร้อมสงสัยว่า เหตุใด หลวงพ่อจึงทักเช่นนั้น แล้วรถก็เคลื่อนตัวกลับลงท้องถนนต่อไปเจ็ดนาฬิกาในเช้าวันศุกร์กับรถที่กำลังแล่นกลับสำนักงาน กับเสียงของเข็มทิศที่ดังอีกครั้ง แต่คราวนี้ชายหนุ่มไม่สนและมุ่งหน้าเดินทางต่อไป จนกระทั่งการสั่นของเข็มทิศนั้นกินเวลานานพอที่จะทำให้มันขยับจนตกลงพื้นรถชายหนุ่มจึงจอดรถเพื่อที่จะก้มไปเก็บมันขึ้นมา แล้วได้แต่ภาวนาว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เข็มทิศนั้นจะส่งเสียงออกมา เปรียบเสมือนสุดเส้นทางการผจญภัย จากนั้นเขาก็พบว่านี่อาจจะเป็นความต้องการที่ถูกปิดกั้นเอาไว้ของชายหนุ่ม เพราะความพยายามจะซ่อนมันเอาไว้ ราวกับว่าจิตใต้สำนึก แต่เจ้าเข็มทิศนั้นรู้ดี ว่าชายคนนี้ต้องการอะไร แล้วนำพาชายหนุ่มมายังจุดหมายแล้วในปลายทางของเข็มทิศนั้นเขาพบว่ามันคือหน้าบ้านของตนเอง และสิ่งที่พบก็คือภรรยาแสนสวยของเขา กำลังอุ้มเด็กน้อยออกมาต้อนรับเขาที่หน้าบ้าน พร้อมกับเปรยคำทักทายแก่สามีอันเป็นที่รักทันที “รอบนี้ค้างที่ออฟฟิศนานเชียว เหนื่อยหน่อยนะ แต่รู้อะไรมั้ย ลูกเราพูดได้แล้วนะคุณ ไหนทักทายพ่อหน่อยสิลูก”และแล้ว น้ำเสียงอันแสนบริสุทธิก็ได้เปร่งออกมา คำๆแรกที่เด็กน้อยคนนึงจะสามารถพูดได้ “ปะป๊า” ทำให้รอยยิ้มที่ห่างหายไปนานจากการทำงานหามรุ่งหามค่ำ กำลังใจอันล้นหลาม กับความสุขที่กลับมาเอ่อล้นนั้นกลับมาอีกครั้งในท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจ โทรหาสำนักงานแล้วขอลาพักร้อนอย่างไม่มีกำหนด พร้อมกับดับเครื่องยนต์ภายในใจเขา แล้วลงจากรถไปพร้อมกับเข็มทิศที่นำพาเขามาพบกับความสุขและความทรงจำที่ดีตลอดเช้าวันใหม่นี้คนเรานั้น มักใช้เข็มทิศในการแสวงหาเส้นทางเพื่อเส้นทางและความก้าวหน้าของตนเอง แต่จงอย่าลืมใช้มัน เพื่อตามหาความสุขในจิตใจด้วยหล่ะด้วยรักและปราถณาดี
จาก เพื่อน มนุษย์ท่านหนึ่ง
ถึง เพื่อน มนุษย์ท่านอื่น
MidnightMessageBox
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in