เราเดินไปที่คาเฟ่ที่อยู่อีกด้านของพลาซา เริ่มมื้อเช้าของเรามื้อแรกของวัน ลาเพสั่งชูโรส ขนมปังทอดแท่งยาว จิ้มกับช็อกโกแลต และน้ำส้มคั้น ส่วนผมสั่งกาแฟมัคคิอาโต้แก้วเดียว
“คุณไม่สั่งกาแฟเหรอ ชูโรสกินกับกาแฟเข้ากันได้ดีกว่าน้ำผลไม้นะ” ผมถามพลางยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม
“ทัน ฉันไม่ชอบกาแฟ ฉันชงกาแฟไม่เป็นด้วยซ้ำ” ลาเพพูด
ผมแทบสำลักกาแฟ รีบวางแก้ว ก่อนที่จะทำมันหก นึกย้อนไป ตั้งแต่ขึ้นเครื่องบินมาด้วยกัน ไม่ใช่สิ ตั้งแต่ที่ผมเจอลาเพครั้งแรก เธอปฏิเสธผม ไม่ยอมสอนวิธีชงกาแฟ ตอนที่ทานมื้อเย็นที่บ้านลุง ไม่ว่าที่ไหน ผมไม่เคยเห็นลาเพดื่มกาแฟ หรือชงกาแฟเลย
“แล้วทำไม คุณถึง…”
“ทำไมฉันถึงเขียนหนังสือไลฟ์สไตล์การชงกาแฟใช่ไหม นิยายของฉันขายไม่ได้มาหลายปีแล้วนะ ยอดขายตกลงๆ สมัยนี้ไม่มีใครอ่านนิยายกันแล้ว”
“ผมยังรอนิยายของคุณอยู่นะ”
“เธอเป็นคนอ่านส่วนน้อย น้อยมากๆ สำนักพิมพ์กับฉันตกลงกันว่าฉันน่าจะเปิดตัว แต่งตัว แต่งหน้าสวยๆ มีรูปตัวเองลงหนังสือ ออกหนังสือแนวไลฟ์สไตล์ ฮาวทู อะไรพวกนี้ เผื่ออะไรๆ มันจะดีขึ้นบ้าง”
ลาเพหัวเราะ เธอหัวเราะแค่นๆ ผมรู้สึกเหมือนเธออยากจะร้องไห้มากกว่า
“สมัยนี้เขาชอบดื่มกาแฟกันเนอะ ร้านกาแฟมีทุกที่ ฉันเลยเขียนหนังสือเกี่ยวกับกาแฟน่ะ เมื่อวานสำนักพิมพ์เมล์มาหาฉันนะ ว่ายอดจองเยอะทีเดียว”
ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง ทั้งเรื่องกาแฟ เรื่องที่เธอยอมให้ถ่ายรูปลงหนังสือ ทุกๆ เรื่องที่ผมไม่เคยเห็นนักเขียนขวัญใจของผมทำมาก่อน แล้วเรื่องที่เธอคบกับลุงมิคล่ะ ข่าวลาเพกับลุงมิคลงในเว็บไซต์แทบทุกเว็บ คู่รักนักเขียนสาวกับมหาเศรษฐี ดึงดูดความสนใจได้ไม่น้อย
“คุณรักลุงผมหรือเปล่า”
“เธอถามอะไรออกมาน่ะ”
“ผมเห็นข่าวลุงกับคุณทั่วเน็ต นี่ก็เป็นแผนโปรโมตหนังสือใช่ไหม”
“ก่อนหน้าที่ฉันจะขึ้นเครื่องบิน ฉันรักเขาจากใจจริง”
***
หลังจากออกจากคาเฟ่ เราเดินไปที่พลาซาคาตาลุนยาอีกครั้ง ลาเพเดินไปที่มุมพลาซาด้านที่ใกล้ถนนลา รัมบลา หยิบกล้องถ่ายรูปออกมาจากกระเป๋าถือ เป็นกล้องมิลเลอร์เลส บอดี้สีขาว เธอถ่ายรูปอนุสาวรีย์ฟรานเซส มาเซีย ขั้นบันไดขนาดใหญ่วางบนด้านเอียงลาดของสามเหลี่ยมมุมฉาก ลาเพถ่ายวิวรอบพลาซา เธอไม่ถ่ายรูปตัวเองเลยแม้แต่รูปเดียว
“คุณทำอะไรน่ะ ถ่ายแต่รูปวิว” ผมถาม
“ฉันจะถ่ายรูปหลายมุมๆ ไว้ดูเวลาเขียนหนังสือท่องเที่ยว”
“ต้องมีรูปคุณด้วยสิถึงจะดี ผมถ่ายให้ นะ” ผมยื่นมือไปขอกล้อง
“ฉันไม่อยากยิ้ม ถ่ายรูปที่ร้านมายา ฉันต้องยิ้มๆๆ ฉันไม่ชอบเลย”
“ผมถ่ายให้ คุณไม่อยากยิ้มก็ไม่ต้อง”
ลาเพยอมส่งกล้องให้ผม ผมบอกให้เธอเดินช้าๆ อยากหยุดดูวิวตรงไหนค่อยหยุดเดิน ลาเพเดินไปที่น้ำพุ รอบน้ำพุประดับด้วยกระถางดอกไม้สีสด ผมถ่ายรูปเธอ หน้าด้านข้างของลาเพ ผมถ่ายรูปเธออีกหลายใบ หลังจากนั้นเราก็ไปที่ถนนปาเสส เดอ กราเซีย ลาเพซื้อกระเป๋าฝากผู้ช่วยของเธอชื่อจอย ซื้อเข็มขัดฝากบรรณาธิการ เราเดินเที่ยวกันต่ออีก ถ่ายรูป แวะภัตตาคาร กินอาหารกลางวันแบบฟูลคอร์ส ผมช่วยเธอถือของ ยามที่มือผมไม่ว่าง ผมขอให้เธอเกี่ยวแขนผมไว้ จะได้ไม่พลัดกัน
เรากลับถึงห้องพักที่โรงแรมราวห้าโมงเย็น ผมหอบของที่ซื้อมาไปไว้ที่ห้องนั่งเล่น ปล่อยให้ลาเพจัดการข้าวของที่ซื้อมา ผมเข้าไปที่ห้องนอนเล็ก หยิบตุ๊กตาระบำสเปน ตั้งใจจะให้ลาเพแต่เช้าแล้ว แต่ไม่มีโอกาส ผมเดินไปหาลาเพ ยื่นตุ๊กตาให้เธอ “เมื่อวานผมไปถนนลา รัมบลามา เห็นตุ๊กตานี่น่ารักดี เลยคิดถึงคุณ ผมซื้อมาฝาก”
ลาเพยิ้ม เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเธอยิ้มเต็มที่
สองทุ่มท้องฟ้ายังสว่าง ในฤดูใบไม้ผลิแถบยุโรปจะมืดช้ากว่าเอเชีย ผมชวนลาเพออกไปทานอาหารนอกโรงแรม ผมใส่เสื้อคอเต่าแขนยาว กางเกงผ้าลูกฟูก ส่วนลาเพใส่เสื้อไหมพรมมีผ้าพันรอบคอ ดูอย่างกับเด็กสาวๆ เธอรวบผมไว้หลวมๆ ด้านบนของใบหูทั้งสองข้างของเธอมีผมบังไว้คล้ายม่านบางๆ
เราไปที่ร้านอาหารที่หัวมุมถนน เลือกนั่งโต๊ะนอกอาคาร ลมเย็นของฤดูใบไม้ผลิพัดมาเรื่อย อากาศดี ไม่มีคำอื่นใดจะเหมาะกว่าคำว่าอากาศดี มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมสั่งโคล่าหนึ่งกระป๋อง บริกรเอาแก้วใส่น้ำแข็งเพียงก้อนเดียวมาให้ ผมเปิดฝาเทโคล่าลงในแก้ว แล้วใช้นิ้วกลางข้างซ้ายจุ่มลงไปคนน้ำแข็งให้หมุนวนอยู่ในแก้ว จากนั้นใช้มือซ้ายจับแก้วยกขึ้นมาดื่ม ผมไม่ได้ถนัดซ้ายหรอก ผมแค่เป็นคนที่ไม่ค่อยมีมารยาทบนโต๊ะอาหาร อยากจับแก้วมือซ้ายหรือมือขวาผมก็จับ อยากใช้นิ้วจุ่มลงไปในแก้วผมก็ทำ
กำลังรอดูว่าลาเพจะต่อว่าผมไหม วันแรกเธอยังว่าผมเรื่องพูดจาไม่มีหางเสียงอยู่เลย
“ไม่ดื่มเบียร์เหรอ” ลาเพถาม
ผมไม่โดนว่า แต่ถูกชวนดื่มเบียร์แทน
“เดี๋ยวสิคุณ รีบไปไหน ผมแค่อยากดื่มน้ำอัดลมก่อน”
ตามด้วยเบียร์ เราดื่มเบียร์กันคนละแก้ว
ผมชักจะอยากลืมว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นคนรักของลุง บรรยากาศแบบนี้เหมือนเราเป็นคู่รักกันมากกว่า
...ติดตามตอนต่อไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in