เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ท้องฟ้าของเมื่อวานsur sur normal-sky
ผีตากผ้าอ้อม
  • สายลมพัดผ่านได้ยินเสียงของใบไม้เสียดสีกันอย่างชัดเจน ลมกระทบกับใบหูเกิดเป็นเสียงสายลม นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรให้พูดถึงอีก ที่นี่เป็นบ้านของย่าผม ที่รอบ ๆ มีแต่ต้นไม้และสวน ผมจะไม่ลงรายละเอียดแล้วกัน เพราะมันไม่สำคัญเลย สิ่งสำคัญคือ ที่นี่ไม่สัญญาณโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ตก็ไม่มี สิ่งที่ผมทำได้ก็มีแค่นั่ง กิน นอน และทำสวนกับย่าของผมซึ่งผมก็ไม่ค่อยชอบเท่าไร เพราะมันทั้งเหนื่อยและน่าเบื่อ ถ้าถามว่าไม่ชอบที่นี่แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่ มันก็มีเหตุผลอยู่ว่า เมืองที่ผมอยู่ อยู่ดี ๆ ก็เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ บ้านของผมก็ไม่รอดน้ำท่วมชั้นหนึ่งจนต้องขนของขึ้นไปชั้นสองจนหมด พ่อของผมจึงส่งผมมาที่บ้านย่าเพื่อความปลอดภัยส่วนตนยังอยู่ที่บ้านเพราะยังห่วงของที่บ้านอยู่ วันนี้ท้องฟ้าใกล้มืดลงแล้ว ที่นี่ไม่มีบ้านหลังอื่นเลย คงเพราะย่าเป็นคนรักสันโดษแน่ ๆ ผมนึกอยากถามเรื่องนี้กับย่าแต่ก็ไม่กล้าถามสักที ถ้าถามย่าว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียวคงได้คำตอบที่ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไร่ ผมออกมานั่งที่หน้าระเบียงบ้านชั้นหนึ่งเป็นระเบียงชั้นหนึ่งที่ให้ความรู้สึกเหมือนที่เคยเห็นในการ์ตูนญี่ปุ่นเลย ท้องฟ้าตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกดินของที่นี่ดูสวยกว่าที่เมืองของผม ตอนกลางคืนของที่นี่ก็เห็นดาวชัดเจน ต่างจากที่เมืองของผมที่ไม่เคยได้เห็นดาวบนท้องสวย ๆ แบบที่นี่เลย ผมชอบมานั่งดูท้องฟ้าช่วงพระอาทิตย์ตกดินจนถึงฟ้ามืด เป็นกิจกรรมที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่การมานั่งดูท้องฟ้าแบบนี้ทุกวันมันก็เบื่อได้เหมือนกัน วันนี้ผมเลยตัดสินใจที่จะเดินสำรวจรอบนอกบริเวณบ้านสักหน่อยอย่างน้อยก็มีอะไรทำแก้เบื่อ  พอขออนุญาตย่า ย่ากลับไม่อนุญาต แล้วยังบอกอีกว่า "ช่วงเวลาผีตากผ้าอ้อมแบบนี้ใครเขาออกไปข้างนอกกัน เข้าไปบ้านไป"  ใช่แล้วใครเขายังคิดว่านิทานหลอกเด็กแบบนั้นจะมาหลอกเด็กที่โตมาในยุคสมัยที่เราสามารถคุยกับคอมพิวเตอร์ได้แล้ว แต่ด้วยน้ำเสียงทีี่ดูน่ากลัวกว่าผีของย่า ผมเลยไม่กล้าขัดขืนในทันที ผมรอจังหวะที่ย่าเข้าห้องครัวไปเพื่อทำอาหาร แล้วเดินออกมา แม้เวลาที่ย่าทำอาหารจะเกิดเสียงดังมาก ๆ ผมก็ต้องค่อย ๆ เดินอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงดัง เพราะสถานที่ที่เงียบมาก ๆ แบบนี้ถ้าเกิดมีเสียงดังนิดเดียวย่าก็ได้ยินแล้ว ระหว่างที่เดินออกมานอกบ้านและใส่รองเท้าผมค่อนข้างวิตกกังวลมาก ๆ ความรู้สึกเหมือนตอนที่แอบพ่อมาเล่นเกมตอนดึก ๆ ไม่มีผิด แต่สุดท้ายผมก็ทำสำเร็จ ผมรู้สึกเหมือนเป็นผู้ชนะยังไงอย่างนั้น รอบนอกบ้านย่านั้นเป็นป่่าที่มีต้นไม้สูงใหญ่เต็มไปหมด แสงช่วงนี้ทำให้บริเวณที่ผมอยู่เหมือนกับฉากการ์ตูนแนวแฟนตาซีเลย ผมเดินออกไปเรื่อย ๆ ด้วยอารมณ์สุนทรีย์ ฉันคือนักผจญภัยที่หลุดมาจากโลกการ์ตูนยังไงละ ผมคิดในใจ เมื่อเดินไปเรื่อย ๆ ผมก็พบกับสิ่งที่ตอกย้ำความคิดของผม   มันคือหมอกควันที่บดบังทางข้างหน้า มันดูผิดธรรมชาติมาก ๆ ทั้งที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งขนาดนี้แต่กับมีหมอกหนาขนาดนี้อยู่ตรงหน้า ด้วยความสงสัยของผม ผมจึงเดินเข้าไปโดยไม่ได้ทันได้คิดเลยว่าทางข้างหน้าอาจจะมีอันตรายก็ได้ 
    และเมื่อเดินไปข้างหน้าผ่านม่านหมอก ผมก็ได้พบกับสัตว์ประหฃาดที่กำลังตากผ้าอ้อมอยู่จริง ๆ มันมองมาที่ผม ก่อนที่ผมจะได้ทันนึกว่ามันทำสีหน้ายังไง รูปร่างเป็นแบบไหน มันเป็นผีหรือสัตว์ประหลาดกันแน่ ผมก็วิ่งหนีออกมาสุดชีวิต ผมไม่เคยกลัวอะไรแบบนี้มันก่อน มันเหมือนกับว่าผมกำลังวิ่งหนีรถไฟที่กำลังเข้าชนผมยังไงอย่างนั้น (ถึงผมจะไม่เคยวิ่งหนีรถไฟจริง ๆ ก็ตาม) ถึงจะพยายามวิ่งให้เร็วที่สุด แต่ผมก็รู้สึกว่าจะหนีออกไปพ้น แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ผมหยุดวิ่งและมองไปข้างหน้า สิ่งมีชีวิตปริศนาที่ไม่รู้ว่าเป็นผีหรือสัตว์ประหลาดกันแน่ กำลังยืนอยู่ตรงหน้าแล้วมองมาที่ผมด้วยสีหน้าสงสัยซึ่งเป็นสีหน้าสงสัยที่หลอนและน่ากลัวที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลย ร่างกายมันเป็นสีดำม่วง หัวมันใหญ่กว่าร่างกายส่วนอื่น ๆ มีเล็บที่ยาวแหลมเหมือนปีศาจ ผมทรุดตัวลงขยับไปไหนไม่ได้เพราะความกลัว เป็นอีกระดับหนึ่งที่ต่างจากตอนที่วิ่งหนีมา "เธอกลัวฉันหรือ" เป็นคำพูดประโยคแรกของปีศาจตัวนี้ หลังจากที่มันจ้องหน้าผมอยู่นาน น้ำเสียงของมันเป็นน้ำเสียงที่ทุ้มและน่าเกรงข้ามแต่กับบอกไม่ได้ว่านั่นเป็นเสียงของผู้หญิงหรือผู้ชาย "ครับ อย่าทำอะไรผมเลยนะครับ" ผมพยายามจะกลั้นร้องไห้ขณะที่พูดออกไป มันช่างเป็นคำพูดที่ขี้ขลาดและน่าอายมาก ๆ มันพูดตอบกลับมาว่า "มนุษย์นี่ช่างน่าสงสารจริง ๆ เลยนะ" จากนั้นร่างกายของปีศาจก็เปล่งแสงออกมา ร่างกายของมันได้เปลี่ยนกายเป็นหญิงสาวสวยผมยาวดำ ชุดที่ใส่เป็นชุดไทยสมัยรัชกาลที่5 ที่ผมระบุได้ขนาดนี้เพราะผมเคยเห็นในอินเตอร์เน็ต ผิวพรรณรูปร่างหน้าตาของเธอทำให้คงามกลัวของผมนั้นหายไป "ข้าคือคนในโลกแห่งนี้ซึ่งเป็นคนละโลกกับที่เจ้าจากมา ร่างกายเมื่อตะกี้เป็นร่างที่ข้าเอาไว้ป้องกันตัวเองจากภัยคุกคาม" นอกจากน้ำเสียงที่อ่อนหวานและร่างกายสวยงามของเธอ สิ่งที่เธอพูดออกมาและการที่เธอแปลงร่างได้นั้นทำให้ผมเริ่มสับสนและมึนงงเป็นอย่างมาก เธอคงเห็นว่าผมทำหน้ามึนงงอย่างหนักเธอจึงอธิบายต่อไปว่า "เจ้าไม่ใช่คนของโลกนี้ ไม่แปลกที่เจ้าจะตกใจ และสิ่งที่เจ้ารับรู้เกี่ยวกับโลกนี้จะไม่มีทางหลุดรอดออกไป" ประโยคแรกมันเหมือนจะทำให้ผมเริ่มสบายใจขึ้น แต่ประโยคต่อมากลับทำให้ผมเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก "มันหมายความว่ายังไงเหรอครับ" ผมถามเธอ  "หมายความว่าเธอจะไม่มีวันออกไปจากที่นี้ได้อีกนะสิ" และนั่นคือสิ่งที่ผมได้ยิน ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เธอพูดคือเรื่องจริงหรือเปล่า แต่ความกังวล กลัว ของผมก็ได้หายไปจากหัวผม มันเป็นความรู้สึกเคว้งคว้างแปลก ๆ คงเพราะรู้ว่าทุกอย่างอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ความสุขสบายมี่เคยจะไม่มีอีกแล้วหรือเปล่านะ ผมเริ่มสับสนแล้วละ
    "ไม่มีทางที่ผมจะกลับไปได้เลยเหรอ" มันเป็นคำถามที่ไม่ได้คาดหวังคำตอบในทางที่ดีหรอก ผมแค่ต้องการจะพูดอะไรออกไปเพื่อให้ตัวเองฟุ้งซ่านมากเกินไป แต่ดูเหมือนเธอจะครุ่นคิดอยู่นานเลยทีเดียว มันนานจนผมสามารถมองรูปร่างหน้าตาของเธอจนสามารถจดจำรูปร่างหน้าตาของเธอได้ขึ้นใจ จากทีแรกผมยังไม่กล้ามองเธอตรง ๆ เท่าไร เมื่อผมจดจำรูปร่างหน้าตาเธอได้ไม่นาน เธอก็เริ่มพูดออก "มีจอบเวทย์อยู่ท่านหนึ่งที่สามารถลบความทรงจำของคนได้ ถ้าเจ้าไม่มีความทรงจำที่นี่เจ้าก็จะสามารถเดินทางกลับไปยังโลกของเจ้าได้" "แล้วท่านจอมเวทย์เขาอยู่ที่ไหนเหรอ" "ท่านจอมเวทย์ผู้นั้นอาศัยอยู่ที่เทือกเขาแห่งดอกไม้ เจ้าต้องไปหาเอาเองว่าท่านจอมเวทย์อยู่ที่ภูเขาลูกไหนในเทือกเขาดอกไม้" จากนั้นเธอก็เสกกิ่งอันหนึ่งมาให้ผมแล้วบอกว่ามันจะนำทางผมไปยังเทือกเขาดอกไม้ ผมเตรียมตัวจะออกเดินทาง แต่แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่ผมเจอเธอครั้งแรก เธอกำลังตากผ้าอ้อมอยู่ ผมจึงถามเธอไปว่า "ทำไมคุณถึงมาตากผ้าอ้อมเด็กแถวนี้เหรอครับ"  "เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก เพราะยังไงเจ้าก็ต้องลืมมันอยู่ดี เอาละเจ้าไปได้แล้ว" มันก็คงจริงอย่างที่เธอบอก ผมหันหลังแล้วเริ่มเดินออกไป เมื่อนึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่ได้บอกลาเธอเลย ผมเลยหันไปหาเธอเพื่อโบกมือลา ร่างกายของเธอกับไปเป็นปีศาจหน้าตาน่ากลัวเหมือนเดิม มันทำให้ความรู้สึกกลัวที่พึ่งหายไปกลับมาอีกครั้ง ผมเลยได้แค่หันไปมองไม่กล้าที่จะโบกมือลาเธอเหมือนที่ตั้งใจไว้ "ขอบคุณครับ" เป็นประโยคสุดท้ายที่ผมพูดกับเธอมันดูตลก ๆ ยังไงไม่รู้แหะ ผมเดินทางต่อไปเรื่อย ๆ ทางข้างหน้ายังคงเป็นป่าที่มีต้นไม้รายล้อมเช่นเคย ระเดินทางผมก็ได้แต่คิดว่า ไอ้เทือกเขาดอกไม้เนี่ย มันจะมีดอกไม้เต็มไปหมดเลยหรือเปล่านะ มันจะดูสวยเหมือนในการ์ตูนที่ผมเคยดูหรือเปล่านะ แล้วถ้าเจอท่านจอมเวทย์แล้วต้องพูดอะไรออกไปนะ เรื่องนี้ไม่ได้ถามเธอคนนั้นด้วย แล้วเธอคนนั้นชื่ออะไรกันเรื่องนี้ก็ไม่ได้ถามเธอเหมือนกัน แต่ถ้าถามเธอก็คงไม่ยอมบอกดี  แล้วถ้าเกิดที่ที่เราจะไปมันสวยงามมาก ๆ เราจะยังอยากลืมมันอยู่หรือเปล่า ผมยังหาคำตอบเหล่านี้ไม่ได้ เพราะการเดินทางของผมมันพึ่งเริ่มต้น . 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in